สำนักงานตำรวจแห่งชาติออกเอกสารประชาสัมพันธ์กรณีผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) นำทีมสืบสวนสอบสวนติดตามคดี "อดีตนักการเมืองเกี่ยวโยงเหตุลักพาตัว" ระบุว่า
ด้วยเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 17.41 น. ได้เกิดเหตุคนร้ายจำนวนหนึ่ง ร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายเอาตัว นายวีรชัย ศุกนตะประเสริฐ อายุ 66 ปี ไปจากบริเวณหน้าศาลอาญากรุงเทพใต้ ซอยเจริญกรุง 63 แขวงยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพฯ ซึ่งในวันเดียวกันนั้น นางสาวพนิดา ศกุนตะประเสริฐ ผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ ซึ่งเป็นน้องสาวของนายวีรชัยฯ ได้ไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.พลับพลาไชย เขต 1 และได้มีการติดต่อกับกลุ่มคนร้ายทางโทรศัพท์ โดยคนร้ายพูดข่มขู่ให้นางสาวพนิดาฯ ซึ่งเป็นผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนคดีอาญาที่ พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ ตกเป็นจำเลย ให้ตัดสินคดีให้คุณประโยชน์ตกแก่จำเลย หาก น.ส.พนิดาฯ ไม่ทำตาม ก็จะไม่ได้เห็นหน้าพี่ชายอีก
พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. จึงได้สั่งการให้ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผบช.ก. , พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น. พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. , พล.ต.ต.สันติ ชัยนิรมัย ผบก.สส.บช.น. ร่วมกันวางแผนดำเนินการสืบสวนจับกุมโดยใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองบังคับการกองปราบปราม ประกอบด้ว พ.ต.อ.ธงชัย อยู่เกฒ ผกก.1 บก.ป. , พ.ต.อ.อรุณ วชิรศรีสุกัญยา ผกก.2 บก.ป. , พ.ต.อ.ปทักข์ ขวัญนา ผกก.4 บก.ป. , พ.ต.อ.เนติ วงษ์กุหลาบ ผกก.5 บก.ป. , พ.ต.อ.วิจักขณ์ ตารมย์ ผกก.กก.สนน.บก.ป. และกองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจนครบาล ประกอบด้วย พ.ต.ท.เผด็จ งามละม่อม ผกก.สส.1 บก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.พรศักดิ์ เลารุจิราลัย ผกก.สส.2 บก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.อิสเรศ ปาลาพงศ์ ผกก.สส.3 บก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.ธีรศักดิ์ จันทราพิพัฒน์ ผกก.สส.4 บก.สส.บช.น. เป็นกำลังหลักในการปฏิบัติ นส่วนของอำนาจการสอบสวนได้มอบหมายให้พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม เป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ
จากการสืบสวนสอบสวนมีพยานหลักฐานเชื่อได้ว่า คนร้ายกลุ่มดังกล่าวคือ พ.ต.ท.บรรยินฯ กับพวก รวมกัน 6 คน ร่วมกันวางแผนและลงมือใช้กำลังประทุษร้ายเอาตัวนายวีรชัยฯ ไป เพื่อต้องการบังคับขู่เข็ญให้ น.ส.พนิดาฯ ผู้พิพากษา ตัดสินคดีให้เป็นคุณประโยชน์กับ พ.ต.ท.บรรยินฯ ซึ่งตกเป็นจำเลยในคดีหมายเลขดำ อ.305/2561 ศาลอาญากรุงเทพใต้ คดีระหว่าง อัยดารคดีอาญากรุงเทพใต้ 3 โจทก์ กับ พ.ต.ท.บรรยินฯ พร้อมพวกรวม 3 คน จำเลย พฤติการณ์ในคดีดังกล่าว โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวก ร่วมกันปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอมของนายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง ในการโอนหุ้นมูลค่าร่วม 300 ล้านบาท ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการเขียนคำพิพากษาโดย น.ส.พนิดาฯ และมีกำหนดอ่านคำพิพากษาในวันที่ 20 มีนาคม 2563
หาก น.ส.พนิดาฯ ตัดสินคดีไปตามที่กลุ่มคนร้ายบังคับขู่เข็ญแล้ว จะทำให้ พ.ต.ท.บรรยินฯ จำเลย กับพวก ได้รับประโยชน์คือ หุ้นที่เป็นข้อพิพาทราคาร่วม 300 ล้านบาท
พนักงานสอบสวนจึงได้ยื่นคำร้องขอหมายจับต่อศาลอาญา และได้รับอนุมัติหมายจับ ดังนี้
1. พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อายุ 57 ปี ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 221/2563 ลง 19 ก.พ. 63
2. นายมานัส ทับทิม อายุ 67 ปี ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 222/2563 ลง 19 ก.พ. 63
3. นายณรงค์ศักดิ์ ป้อมจันทร์ อายุ 49 ปี ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 223/2563 ลง 19 ก.พ. 63
4. ด.ต.ธงชัย วจีสัจจะ อายุ 63 ปี ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 249/2563 ลง 23 ก.พ. 63
5. นายชาติชาย เมณฑ์กูล อายุ 31 ปี ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 250/2563 ลง 23 ก.พ. 63
6. นายประชาวิทย์ ศรีทองสุข อายุ 33 ปี ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 248/2563 ลง 23 ก.พ. 63
รวม 6 หมายจับในข้อหา "ร่วมกันข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย โดยร่วมกระทำความผิดตั้งแต่สามคนขึ้นไป เป็นซ่องโจรโดยเป็นการสมคบเพื่อกระทำความผิดที่มีระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกอย่างสูงตั้งแต่สิบปีขึ้นไป พยายามข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพของผู้อื่น โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป และเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่โดยหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังบุคคลใด"
ต่อมาวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2563 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าตรวจค้นเป้าหมายจำนวน 21 จุด ตรวจยึดของกลางจำนวน 168 รายการ และเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 6 คน ตามหมายจับข้างต้น ในชั้นสอบสวน ผู้ต้องหาจำนวนหนึ่งให้การรับสารภาพว่า นอกจากจะร่วมกันใช้กำลังเอาตัวนายวีรชัยฯ ไปเพื่อเรียกร้องประโยชน์ดังลที่กล่าวมาแล้ว ยังได้ร่มกันฆ่านายวีรชัยฯ และนำศพไปเผาไฟ นำชิ้นส่วนที่เหลือจากการเผาไปทิ้ง ตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2563 ด้วย
ในชั้นนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงต้องสืบสวนรวบรวม พยานหลักฐาน พยานบุคคล อย่างต่อเนื่องต่อไป รวมถึงต้องรอผลการตรวจพิสูจน์วัตถุพยานจากสำนักงานพิสูจน์หลักฐาน และสถาบันนิติเวช หากพบว่ามีพยานหลักฐานเพิ่มเติมที่จะสามารถแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมกับผู้ต้องหาได้ หรือพบว่ามีผู้ร่วมกระทำผิดคนอื่นอีก จะเร่งดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายโดยเร็ว