หลังจากรอดพ้นจากพงหนาม จากการพิจารณาถอดถอนจากตำแหน่งปธน.-ซึ่งถือเป็นโทษประหารชีวิตสำหรับตำแหน่งปธน.-เพราะเสียงส่วนใหญ่ในวุฒิสภาสหรัฐฯ เป็นรีพับลิกันที่ยอมจำนนหมอบราบคาบแก้วให้กับปธน.ทรัมป์ที่มีคะแนนเสียงในฐานเสียงแน่นปั๋งถึง 94%
เขาก็จัดแถลงข่าวประกาศชัยชนะ (จากศึกถอดถอน) และ “รุก” ทันทีว่า การพยายามถอดถอนเขาทั้งในสภาผู้แทน (ซึ่งเขาแพ้-แต่เขาไม่ยอมรับ) และในวุฒิสภา (ที่เขาชนะ) -เป็นความสามานย์ที่ใช้ทั้งเล่ห์และกลของฝ่ายเดโมแครต ที่ต้นเหตุคือ-เดโมแครตแพ้เลือกตั้งปธน.-เพราะฮิลลารีเจ้าเล่ห์ (Crooked Hillary)-ซึ่งเมื่อแพ้เลือกตั้ง (เพราะจริงๆ คะแนนโพลต่างๆ ให้คะแนนฮิลลารีชนะนำทรัมป์มาตลอด) แต่ไม่ยอมแพ้-เดโมแครตก็แสดงท่าทีว่าจะต้องเดินหน้าถอดถอนทรัมป์ตั้งแต่วันแรกที่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งที่ทำเนียบขาว
เขาประกาศก้องว่า เขาบริสุทธิ์ผุดผ่อง แม้จะมีพรรคเดโมแครตที่ทั้งเจ้าเล่ห์, สารเลว, น่าขยะแขยง (Very, Very, Bad, Horrible, Disgusting)
เขาประกาศว่าประเทศสหรัฐฯ ต้องเสียเวลาจมปลักอยู่กับกิจกรรมถอดถอนที่ทำให้ประเทศชาติเดินหน้ากับภารกิจต่างๆ ต่อไปไม่ได้ เพราะพรรคที่ไม่ทำงานอะไรเลยเพื่อชาติ (do-nothing party...สังเกตตัวอักษรแรกคือ “d” ซึ่งตรงกับ “democrat party” ด้วย) นอกจากมีแต่เดินหน้าสอบสวนเพื่อถอดถอนซึ่งเสียทั้งเวลา และค่าใช้จ่าย...เพื่อโค่นล้มเขาออกจากตำแหน่ง-เป็นการย่ำยีต่อคะแนนเสียงของประชาชนอเมริกาที่เลือกเขาเข้ามาบริหารบ้านเมืองที่ทำเนียบขาว-ก็เพราะเดโมแครตไม่เคารพหรือยอมรับคะแนนเสียงที่ชอบธรรมของประชาชน (เป็นการบิดเบือนเอาจำนวนเสียง electoral college ที่ประชาชนส่งคะแนนเสียง-มากลบ-การกระทำที่ผิดกฎหมายของเขา-คล้ายกับที่ประเทศไทยมีการพิจารณาที่อดีตผู้นำไม่โปร่งใสในการแจ้งสินทรัพย์ แล้วมีการอ้าง 19 ล้านเสียงที่เลือกเข้ามาให้บริหารประเทศ แต่กลับถูกขัดขาไม่ให้บริหาร โดยกล่าวหาถึงการกระทำผิดกฎหมายการแจ้งทรัพย์สิน-ก็เพื่อขวางไม่ให้เขาอยู่ในตำแหน่ง)
หลังประกาศชัยชนะต่อการโกหกพกลมปรักปรำจากฝ่ายเดโมแครต เขาก็เดินหน้าล้างแค้นเหล่าบรรดาพยานที่ให้การว่าเขากระทำผิดรัฐธรรมนูญ โดยเอาผลประโยชน์ของชาติไปแลกกับผลประโยชน์ส่วนตัวทางการเมืองของเขา
เขาสั่งปลดพันโทVindman (ที่ปรึกษาด้านยูเครนประจำสภาความมั่นคง-ที่ได้รับเหรียญกล้าหาญจากการต่อสู้เพื่อชาติในสงครามอิรัก) โดยสั่งให้หน่วยรักษาความปลอดภัยของทำเนียบขาวไปนำตัวพันโทวินด์แมน (ขณะกำลังนั่งทำงานที่ทำเนียบขาว) ให้ออกไปจากทำเนียบขาวอย่างไม่ทันตั้งตัว เป็นการปลดแบบเหยียดหยามต่อนายทหารที่ได้เหรียญกล้าหาญ และแต่งตัวเต็มยศพร้อมเหรียญกล้าหาญมาทำงาน...พร้อมๆ กับปลดฟ้าผ่าน้องชายฝาแฝดของพันโทวินด์แมน (ที่ทำงานเป็นที่ปรึกษากฎหมายของสภาความมั่นคง) ในเวลาเดียวกัน
ในบัญชีแรกของการล้างแค้นนี้ ยังมีปลดฟ้าผ่าทูต Sondland ประจำอียู ที่เข้าให้การในคณะกรรมาธิการสภาล่างว่า ทรัมป์ได้แลกผลประโยชน์ของชาติกับผลประโยชน์ต่างตอบแทนของทรัมป์ (quid-pro-quo)
และกำลังจะมีการปลดอีกหลายตำแหน่ง สำหรับข้าราชการที่ไปให้การว่าทรัมป์ทำผิดกฎหมาย กรณีโทรทัศน์ (เมื่อ 24 ก.ค. 62) พูดกับผู้นำคนใหม่ของยูเครน
สำหรับผู้ทำงานให้แก่ทรัมป์จนประสบผลสำเร็จ และเขาได้เข้าทำเนียบขาว เขาก็จะต้องตอนแทนแน่นอน ซึ่งในวันศุกร์นี้ ศาลกำลังจะตัดสินลงโทษมิตรร่วมรบของทรัมป์ ซึ่งเป็นผู้กว้างขวางทางการเมือง และนักล็อบบี้ที่น่าเกรงขาม ชื่อ Roger Stone ที่เป็น Political Fixer หรือผู้สามารถเนรมิตแก้ปัญหาการเมืองต่างๆ ได้อย่างน่าพิศวง และเป็นตัวละครสำคัญที่ช่วยทรัมป์ในนาทีวิกฤต ในช่วงสุดท้ายของการหาเสียง ที่สามารถพลิกให้ทรัมป์จากที่คะแนนกำลังดิ่ง (เพราะมีการปล่อยเทปดูถูกผู้หญิงที่เป็นเทปเก่าแก่จาก NBC) ให้กลับมานำฮิลลารีได้อย่างน่ามหัศจรรย์ เพราะนายโรเจอร์ สโตน นี้มีปรัชญาการทำงานการเมืองเหมือนทรัมป์คือ มีแต่ “โจมตี, โจมตี และโจมตี” อย่างเดียว จะไม่มีการตั้งรับ (defend) ถ้าเกิดทำงานพลาดแล้วกำลังถูกโจมตี-ก็ต้องพลิก-ไปหาเรื่องใหม่ที่จะโจมตีคู่ต่อสู้...และนั่นคือ...ทรัมป์ได้บอกให้คนไปตามหาโรเจอร์ สโตน (“Get me Roger Stone”) เพื่อให้ประสานกับรัสเซียในการนำเทปลับของฮิลลารีและของกรรมการพรรคเดโมแครต-เพื่อนำไปให้นายJulian Assange ที่ลอนดอน แล้วนำออกเผยแพร่เทปลับนี้ทาง WikiLeaks เป็นการรุกต่อฮิลลารี และทำให้คะแนนฮิลลารีเริ่มต่ำลงทันที
ช่วงนั้น ปธน.โอบามาก็ได้รับทราบจากเอฟบีไอว่ารัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้งสหรัฐฯ แต่โอบามาไม่กล้าออกมาชี้แจงต่อประชาชน เพราะเกรงว่าจะถูกกล่าวหาว่าเข้าข้างฮิลลารี ก็เลยเก็บเงียบเอาไว้-จนหลังเลือกตั้ง โอบามาได้มีคำสั่งขับนักการทูตฝ่ายข่าวกรองของรัสเซียออกไปจากสหรัฐฯ ในวันที่ 31 ธันวาคม 2016
ต่อมาเอฟบีไอได้มีการตั้งคณะสอบสวนการแทรกแซงการเลือกตั้งจากรัสเซีย ซึ่งนายโรเจอร์ สโตน ก็ถูกเอฟบีไอสอบ ซึ่งเขาให้การโกหกตลอด รวมทั้งเขาได้มีการข่มขู่พยานที่ร่วมทำงานกับเขา และเริ่มเปิดปากซัดทอดถึงเขา
อัยการ 4 คนที่ทำคดีโรเจอร์ สโตน เสนอให้ลงโทษ 7 กระทงข้อหา ด้วยการขังคุก 6-9 ปี เพราะการให้การเท็จหลายข้อหา และร้ายแรงมากคือข่มขู่จะฆ่าพยานที่เปิดปาก
พอข่าวออกมาว่า อัยการเสนอโทษหนัก เพราะเกรงในอิทธิพลของเขา...
ทันที...ปธน.ทรัมป์ได้ทวีตกดดันรมต.ยุติธรรม Bill Barr ว่า โทษทำไมหนักเกินไปสำหรับโรเจอร์ สโตน (ที่อายุ 67 ปีแล้ว) เพราะทรัมป์บอกว่า การพิจารณาคดี “ไม่เป็นธรรม” เนื่องจากมีลูกขุน 1 คนที่โน้มเอียงไปทางเดโมแครต และอีก 1 คนก็ไม่ชอบทรัมป์...ทั้งๆ ที่คณะลูกขุนได้ถกกันอย่างหนัก จนคะแนนออกมาเป็น “เอกฉันท์” (ซึ่งต่างกับการพิจารณาคดีอดีตผู้นำของเรา, ที่คะแนนสูสีชนิด 7 ต่อ 8 ไม่ใช่เอกฉันท์)
การกดดันของทรัมป์ ถือว่าผิดกฎหมาย เพราะการพิจารณาคดีต้องไม่อยู่ใต้อิทธิพลของฝ่ายบริหาร
แต่เพราะทรัมป์ได้ชัยชนะจากการถอดถอน และคิดว่า-เขาจะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น ตามอำนาจของฝ่ายบริหาร (เพราะการรอดการถอดถอน ทำให้เขาผยองว่าเขาอาจทำอะไรที่เหนือกฎหมายได้)
ในช่วงพิจารณาถอดถอนในวุฒิสภา มีวุฒิสมาชิก 3 คน (ส.ว.คอลลินส์ จากรัฐเมนน์, และส.ว.จากรัฐอะแลสกา ส.ว.จากรัฐแอละแบมา) ได้ตัดสินใจนาทีสุดท้าย ยกมือไม่ถอดถอนทรัมป์ แต่ออกมาพูดกับประชาชนว่า ทรัมป์ทำผิดกฎหมาย หรืออยู่ในข่ายผิดกฎหมาย, ไม่เหมาะสม แต่น่าจะทำให้ทรัมป์ได้เรียนรู้จากบทเรียนว่า เขาได้กระทำสิ่งที่ท้าทายผิดกฎหมาย-และจะไม่ทำผิดเช่นนี้อีก...เขาจะต้องสรุปบทเรียน
ที่ไหนได้ ทรัมป์พูดอย่างเดียวว่า เขาทำถูกต้องหมดทุกอย่าง...เขาถูกกลั่นแกล้งปรักปรำ...และการกดดันรมต.ยุติธรรมให้ลดโทษให้โรเจอร์ สโตน ถือเป็นเรื่องที่ไม่สมควรยิ่ง
อัยการ 4 คนที่คุมคดีโรเจอร์ สโตน ออกมาประกาศลาออกจากคดีนี้ เพราะไม่พอใจที่ทรัมป์ออกมาก้าวก่ายการพิจารณาคดี
มีอดีตอัยการ อดีตที่ปรึกษา และอดีตเจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรมกว่า 2 พันคน ได้ลงชื่อในจดหมายเปิดผนึกให้รมต.ยุติธรรม บิลล์ บาร์ ลาออก เพราะบิลล์ บาร์ ได้ขานรับการกดดันของทรัมป์ โดยบาร์ก็บอกว่า โทษดูจะหนักไป
ทรัมป์ถึงขนาดขู่ว่า คดีโรเจอร์ สโตน นี้หลังศาลตัดสินแล้ว ปธน.ทรัมป์ก็สามารถให้อภัยโทษตามอำนาจปธน.ได้
ซึ่งเรื่องโรเจอร์ สโตน นี้อาจนำไปสู่การดำเนินคดีถอดถอนต่อทรัมป์อีกเป็นครั้งที่ 2-หลังจากที่เขาอาจได้รับเลือกตั้งเข้ามาเป็นวาระที่ 2-ในข้อหาลุแก่อำนาจ และขัดขวางขบวนการยุติธรรม...อีกครั้งหนึ่งก็เป็นได้