ใครที่ยังไม่มีโอกาสได้อ่านข้อเขียน บทความ เรื่อง “Coronavirus solidifies US-China decoupling” ของ “Christina Lin” คอลัมนิสต์ “เอเชียไทมส์” ที่เว็บไซต์ “ผู้จัดการ” ของหมู่เฮา เพิ่งนำมาแปลและเผยแพร่ต่อไปหมาดๆ ในชื่อว่า “ไวรัสระบาดกำลังทำให้การหย่าร้างแยกขาดระหว่างสหรัฐฯ-จีน เป็นจริงเป็นจัง” ก็น่าจะลองไปหาอ่านโดยพลัน เพราะออกจะเป็นอะไรที่น่าสนใจหรือน่าคิด น่าสะกิดใจ เอามากๆ โดยเฉพาะอาจพอช่วยให้เกิด “สติ-ปัญญา” ในการ “มองโลก” มากไปกว่าการ “หูแหก-ตาแหก” แบบไร้สติ-ไร้ปัญญา เพราะมัวเอาแต่ “มองโรค” กลัวติดเชื้อ ติดโรค จนพล่านกันไปทั้งโลกอยู่ในทุกวันนี้...
เพราะสิ่งที่มันอาจน่ากลัวซะยิ่งกว่า...ก็คือบรรยากาศแห่งความขัดแย้ง เกลียดโกรธ อาฆาต พยาบาท และริษยา ระหว่างสองอภิมหาอำนาจระดับโลกอย่างคุณพี่จีนและคุณพ่ออเมริกานั่นแหละ ที่นับวันมันจะแรงขึ้นๆ หนักขึ้นๆ จนทำให้ผู้ที่ได้ชื่อว่าเชี่ยวชาญ ชำนาญการด้านกิจการระหว่างประเทศ ผู้ที่มีความลุ่มลึก ลึกซึ้ง ในการมองความเป็นไปของโลก ไม่ว่าตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต อย่างคุณปู่ “เฮนรี คิสซิงเจอร์” อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกายุค “นิกสัน” ท่านเคยออกมาเตือนๆ เอาไว้ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ในลักษณะที่แทบไม่ต่างไปจากการคาดการณ์ หรือการพยากรณ์ เอาไว้ประมาณว่า... “ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนและอเมริกา อาจทำให้โลกทั้งโลกหนีไม่พ้นต้องเจอกับฉากสถานการณ์ที่เลวร้ายหนักซะยิ่งกว่ายุคสงครามโลกครั้งแรก” เอาเลยถึงขั้นนั้น...
แม้ว่าคำเตือนที่ว่าของคุณปู่ “คิสซิงเจอร์” ...จะมีมาก่อนหน้าการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “Covid-19” ไม่รู้กี่เดือนต่อกี่เดือน แต่ก็ดูจะไม่ได้ช่วยให้เกิดการลดราวาศอก เกิดความพยายามที่จะบรรเทา เบาบาง ความโกรธ เกลียด อาฆาต พยาบาท และริษยาใดๆลงไปได้เลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม...อุบัติการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสตัวใหม่คราวนี้ กลับยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเกลียด ความชิงชัง ที่ฝังลึกลงไปในจิตสำนึก ทัศนคติ อารมณ์-ความรู้สึก โดยเฉพาะในหมู่นักการเมืองและผู้มีบทบาทอำนาจในอเมริกา ที่มีต่อ “คู่แข่ง” อย่างจีน ชนิดที่ยากส์ส์ส์จะหาทางกลบเกลื่อน ลบเลือนกันได้ง่ายๆ หรือยิ่งทำให้ “การหย่าร้างแยกขาด” ระหว่างจีนและสหรัฐฯ อย่างที่คอลัมนิสต์ “เอเชียไทมส์” ว่าไว้ ยิ่งเป็นจริง-เป็นจัง หรือยิ่งเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นไปทุกที...
ดังที่เคยไล่เรียงมาให้เห็นไปบ้างแล้วว่า...ขณะที่จีนกำลังเผชิญกับ “วิกฤต” เผชิญความฉิบหายเพราะโรคระบาด รัฐมนตรีพาณิชย์อเมริกาอย่าง “นายวิลเบอร์ รอสส์” กลับมองเป็น “โอกาส” ของอเมริกาไปซะนี่ ไม่ต่างไปจากที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจทำเนียบขาว อย่าง “นายแลร์รี คัดโลว์” ที่ได้จังหวะตามไปกระทืบรัฐบาลจีน หาว่าปกปิดข้อมูลการแพร่ระบาดของเชื้อโรค หรือ “นายทอม คอตตอน” วุฒิสมาชิกรัฐอาร์คันซอ ที่ฉวยโอกาสแพร่ไวรัสทางการเมือง ตั้งข้อสมมติฐานว่าเชื้อไวรัส “Covid-19” อาจเป็นเชื้อที่หลุดออกมาจากห้องแลปของรัฐบาลจีนไปซะอีกต่างหาก ล่าสุด...ก็ “นายริค สก็อตต์” วุฒิสมาชิกรัฐฟลอริดา ที่ออกมาเรียกร้อง “WHO” ให้กดดันรัฐบาลจีน ด้วยข้อกล่าวหาว่าพยายามปกปิดข้อมูลการติดเชื้อ และอะไรต่อมิอะไรที่ล้วนแสดงให้เห็นถึงความพยายามรุมเหยียบ รุมกระทืบซ้ำ อย่างไม่คิดจะปรานี-ปราศรัยใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย...
ยิ่งระดับรัฐมนตรีกลาโหม รัฐมนตรีต่างประเทศ “นายมาร์ค เอสเปอร์” “นายไมค์ ปอมเปโอ” หรือแม้แต่ประธานสภาคองเกรส “นางแนนซี เพโลซี” ที่เป็นนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามของประธานาธิบดีอเมริกันเอง แต่ในแง่จิตสำนึก ทัศนคติ และอารมณ์-ความรู้สึกที่มีต่อจีน แทบไม่ได้ผิดแผกแตกต่างกันเอาเลยแม้แต่น้อย คือขณะที่เพื่อนร่วมโลกกำลังต้องเผชิญกับโรคระบาด อันไม่ได้มีเชื้อชาติ สัญชาติ ไม่ได้อยู่ฝ่ายใด ไม่ได้คิดเป็นพันธมิตรกับชาติไหนๆ แต่พร้อมจะเป็นศัตรูมวลมนุษยชาติไปในทุกๆ ชาติภายใต้ภาวะเช่นนี้...แทนที่ควรแสดงออกถึงความเห็นอก เห็นใจ หรืออยู่เฉยๆ ก็ยังดี แต่ทั้ง “นายมาร์ค” “นายไมค์” รวมทั้ง “นางแนนซี” กลับฉวยโอกาสหันไปรุมกระทืบจีน หรือรุมกระทืบบริษัทเทคโนโลยีของจีน อย่างบริษัท “หัวเว่ย” ซะแทนที่...
ท่ามกลางความจงเกลียด จงชัง ความเคียดแค้น อาฆาตพยาบาท และริษยา ในลักษณะเช่นนี้นี่เอง...กลับทำให้ความพยายามที่จะเอาชนะ “เชื้อโรค” อันถือเป็นศัตรูของมวลมนุษยชาติ ไม่ว่าชาติไหนต่อชาติไหนก็แล้วแต่ และไม่ว่าจะเป็น “คอมมิวนิสต์” หรือ “ประชาธิปไตย” ก็ตาม ยิ่งทำได้ยากลำบากยากเย็นยิ่งขึ้นไปอีก ดังที่ที่ปรึกษาอาวุโสด้านนโยบายแห่งบริษัท “RAND” “นางJennifer Bouey” ได้ให้การกับคณะกรรมาธิการด้านกิจการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ของวุฒิสภาสหรัฐฯ เมื่อไม่กี่วันมานี้หรือเมื่อช่วงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ว่าก่อนหน้านี้...ความร่วมมือระหว่างแพทย์และนักวิทยาศาสตร์มืออาชีพของจีนและอเมริกา ในเรื่องการควบคุมและป้องกันโรคระบาดแต่ละรูป แต่ละแบบ ต่างมีมาโดยตลอด และเป็นไปโดยใกล้ชิดนับจากการแพร่ระบาดของ “โรคซาร์ส” เป็นต้นมา อันทำให้การป้องกันและควบคุมโรคระบาดต่างๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลพอสมควร แต่ภายใต้ช่วงระยะเวลาประมาณ 2-3 ปีที่ผ่านมา หรือช่วงระยะที่ “ทรัมป์บ้า” ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีอเมริกา พร้อมกับความพยายามแพร่เชื้อโรค “Sinophobia” หรือ “โรคกลัวจีน” กันอย่างเป็นระบบ บรรดาความร่วมมือเหล่านี้เลยค่อยๆ ลดลงๆ จนถึงขั้นสะดุด หยุดกึก ในอีกไม่นาน-ไม่ช้า และนั่นเองที่ทำให้การเอาชนะโรคระบาดทั้งหลาย จึงมีแนวโน้มที่จะเป็นไปในแบบยากลำบากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ...
และก็คงไม่ใช่แค่ความพยายามเอาชนะโรคระบาดเท่านั้น ที่อาจต้องลดทอนประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ไปเพราะความสัมพันธ์ที่แย่ลงๆ ระหว่างสองอภิมหาอำนาจอย่างจีนและอเมริกา แต่แม้กระทั่งความพยายามเอาชนะ “ความถดถอยทางเศรษฐกิจ” ซึ่งกำลังปรากฏให้เห็นกันระดับโลก ความย่ำแย่ของ “เศรษฐกิจจีน” ที่ว่ากันว่า อาจต้องเจอกับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ลดลงเหลือแค่ไม่ถึง 6 เปอร์เซ็นต์ ระหว่างที่ต้องเผชิญหน้ากับโรคระบาดคราวนี้ ก็ไม่ได้ช่วยให้ “เศรษฐกิจอเมริกา” โตวัน โตคืนแต่อย่างใด ตรงกันข้าม...แนวโน้มแห่งการถดถอยทางเศรษฐกิจของอเมริกา ที่ส่งสัญญาณให้เห็นค่อนข้างจะชัดเจน ไม่ว่าในปีนี้ หรือปีหน้าก็ตาม ก็ยิ่งน่าจะถด จะถอย ยิ่งขึ้นไปใหญ่ แค่ดูจาก “ราคาน้ำมัน” ที่หล่นวูบ หล่นวาบ ลดลงไปแล้วกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ นับจากช่วงต้นปีที่ผ่านมา เนื่องจากผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในโลกอย่างจีนเจอปัญหาเข้าจังๆ สิ่งเหล่านี้นี่แหละที่กำลังส่งผลให้อุตสาหกรรมน้ำมัน “Shale Oil” ของอเมริกาซึ่งเคยบูมๆ ทำท่าว่าอาจต้อง “เจ๊ง” กันไปเป็นราย อันเนื่องมาจาก “ต้นทุนการผลิต” ที่สูงกว่าราคาน้ำมันในตลาดยิ่งเข้าไปทุกที...
เพียงเท่านี้...ก็พอสะท้อนให้เห็นถึง “ฉากสถานการณ์อันเลวร้าย” พอสมควรแล้ว แต่ถ้าบรรดาความเกลียด เคียดแค้น อาฆาต พยาบาท และริษยา ในหมู่ผู้มีบทบาทอำนาจทางการเมืองในอเมริกา ยังไม่ทุเลาเบาบาง หรือไม่ลดๆ ลงไปได้มั่ง โอกาสที่เราๆ-ทั่นๆ หรือบรรดาชาวโลกทั้งหลาย จะมีโอกาสได้เห็น “ฉากสถานการณ์ที่เลวร้ายซะยิ่งกว่าครั้งสงครามโลกครั้งที่ 1” อย่างที่คุณปู่ “คิสซิงเจอร์” ท่านได้เตือนๆ หรือได้พยากรณ์เอาไว้ ก็ใช่ว่าจะไม่มีเอาซะเลย...