xs
xsm
sm
md
lg

ตะวันตกกับภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท


การประชุมด้านความมั่นคงมิวนิก (Munich Security Conference) ที่เมืองมิวนิก ประเทศเยอรมนี
เห็นข่าวแวบๆ...ว่าการแพร่ระบาดของเชื้อ “ไวรัสอู่ฮั่น” หรือที่เรียกขานกันในชื่อใหม่ว่า “Covid-19” ชักเริ่มออกอาการ “ทรงๆ” ขึ้นมามั่งแล้ว คือถ้าดูจากจำนวนคนเจ็บ คนตาย คนติดเชื้อ ไม่ถึงกับพุ่งพรวดๆ พราดๆ หวือๆ หวาๆ เหมือนอย่างที่เคยเป็นมา ซึ่งคงต้องถือเป็น “ข่าวดี” หรือ “ข่าวในด้านบวก” อย่างมิอาจปฏิเสธได้ แต่สำหรับเชื้อ “ไวรัสทางการเมือง” นี่สิ!!! กลับเป็นอะไรที่มาแรงแซงโค้ง ไม่ได้ออกอาการหัวตก หรือไม่ได้คิดทรงๆ เอาเลยแม้แต่น้อย นับวัน...มีแต่จะแพร่ระบาดหนักขึ้นๆ อันส่งผลให้โลกทั้งโลก แทบไม่มีโอกาส “อยู่เย็นเป็นสุข” ต่อไปได้เลย...

ดังเห็นได้จากบรรยากาศในเวทีการประชุมด้านความมั่นคงระดับโลก ที่เรียกๆ กันว่า “Munich Security Conference” หรือ “MSC” ครั้งที่ 55 ที่กรุงมิวนิก ประเทศเยอรมนี ระหว่างวันที่ 14-16 กุมภาฯ ที่ผ่านมา งานนี้...ต้องเรียกว่าเต็มไปด้วยเชื้อไวรัสทางการเมืองแพร่ระบาด ชนิดไม่ว่าจะปิดปาก ปิดตะหมูก สวมหน้ากากอนามัยสักกี่ชั้น ต่อกี่ชั้น ก็น่าจะ “เอาไม่อยู่” ไปด้วยกันทั้งสิ้น เริ่มตั้งแต่การตั้งหัวข้อ ตั้งประเด็น ของประธานการประชุม “นายWolfgang Ischinger” ให้กับบรรดาแขกเหรื่อ หรือผู้เข้าร่วมในเวทีประชุม อันประกอบไปด้วยผู้นำประเทศทั่วโลก 35 ประเทศ รัฐมนตรีต่างประเทศและรัฐมนตรีกลาโหมอีกจำนวนนับร้อย รวมไปถึงผู้นำระดับสูงในแวดวงต่างๆ จากทั่วโลกกว่า 500 ราย ให้ร่วมออกความคิด ความเห็น ในเรื่องราวที่ถูกบัญญัติศัพท์ บัญญัติถ้อยคำ ไว้ว่า “Westlessness” ที่ตัวประธานการจัดประชุม ได้แปลความ ถอดความ เอาไว้สั้นๆ ว่าหมายถึง “ความเป็นตะวันตก” ที่กำลังลดน้อยถอยลงในหมู่ประเทศตะวันตกด้วยกันเอง ไปจนโลกทั้งโลกโดยรวมควบคู่ไปด้วย...

หรือถ้าว่ากันแบบไทยๆ...ก็น่าจะหมายถึง “ความเป็นฝรั่ง” ที่เคยเป็นอะไรที่ดูสูงส่ง วิเศษวิเสโส มีอารยธรรม มีความเป็นอารยชน และถูกนำไป “ครอบงำ” ใครต่อใครในระดับทั่วทั้งโลก ไม่ว่าในทางการเมือง-เศรษฐกิจ-สังคม จนต้องกลายเป็น “อาณานิคม” ไม่ว่าในทางกายภาพ หรือ “อาณานิคมทางปัญญา” ของพวกฝรั่งมาโดยตลอดนั่นแหละ แต่มาถึงทุกวันนี้ มันชักไม่ค่อย “ขลัง” ไม่ค่อย “ศักดิ์สิทธิ์” เหมือนเดิมอีกต่อไป หรือชักเกิดอาการ “Westlessness” อย่างเห็นได้ชัดเจน ชนิดกระทั่งพวกฝรั่งในประเทศตะวันตกด้วยกันเอง ยังเริ่มไม่เชื่อมั่น เชื่อใจต่อ “ประชาธิปไตยแบบตะวันตก” ในประเทศตัวเองหนักยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ดังที่เคยได้นำเอาผลงานการสำรวจวิจัยชิ้นล่าสุด ของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ที่เพิ่งเผยแพร่ไปเมื่อวันที่ 29 มกราคมที่ผ่านมา มาเล่าสู่กันฟังไปบ้างแล้ว ว่าในจำนวนตัวอย่างผู้ถูกสุ่มสำรวจประมาณ 4 ล้านคน จาก 154 ประเทศ กว่าครึ่งหนึ่งหรือ 57.5 เปอร์เซ็นต์ เริ่มสูญเสียความเชื่อมั่น-เชื่อใจ ต่อระบอบประชาธิปไตยภายในประเทศตัวเอง หรือเริ่มออกอาการ “Westlessness” อย่างเห็นได้ชัด ขณะที่ “ความเป็นตะวันออก” อย่างคุณพี่จีน หรือคุณน้ารัสเซีย ที่แม้เป็นเผด็จการ หรือเป็นประชาธิปไตยที่ไม่ได้มาตรฐานตามแบบตะวันตก กลับเป็นอะไรที่มาแรงแซงโค้งยิ่งขึ้นเรื่อยๆ...

ความสับสน มึนงง ระส่ำระสาย ของพวกฝรั่งหรือบรรดาประเทศตะวันตก...อันเนื่องมาจากความรู้สึกว่า “ความเป็นตะวันตก” ชักเป็นอะไรที่เสื่อมโทรม เสื่อมถอย ลงไปทุกที โดยจะหันหน้าไปพึ่งประเทศตะวันตกด้วยกันเอง ผู้มีสถานะเป็น “พันธมิตรข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก” อย่างคุณพ่ออเมริกา ก็ดันไปเจอกับ “ลูกบ้า” ของ “ทรัมป์บ้า” เข้าซะอีกต่างหาก แต่ครั้นจะโผไปญาติดีกับจีน หรือรัสเซีย ความหวาดระแวงสงสัยในแบบ “ทัศนคติยุคสงครามเย็น” โดยเฉพาะต่อความไม่เป็น “ประชาธิปไตยตามมาตรฐานตะวันตก” ก็ยังคงล้างไม่หมด ล้างไม่หาย ไปซักกะที ด้วยลักษณะอาการเช่นนี้ มันเลยทำให้เวทีการประชุม “MSC” คราวนี้ กลายเป็นเวทีแห่งการเพาะเชื้อ และแพร่เชื้อ “ไวรัสทางการเมือง” ได้เป็นอย่างดี...

และนั่นเอง...ที่ทำให้เกิดการหยิบยกเอาเรื่องภัยคุกคามจากจีน ที่แฝงมาในรูป “ม้าไม้เมืองทรอย” (Trojan Horse) หรือมาในรูป “เทคโนโลยี 5G” ของบริษัท “หัวเว่ย” รวมทั้งภัยคุกคามจากรัสเซีย ที่มาในรูปความร่วมมือด้านพลังงาน หรือในโครงการ “Nord Stream 2” มาปล่อยเชื้อ แพร่เชื้อในเวทีแห่งนี้ โดยบรรดาพันธมิตรข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกทั้งหลาย ไม่ว่าตั้งแต่รัฐมนตรีกลาโหมอเมริกัน “นายมาร์ค เอสเปอร์” รัฐมนตรีต่างประเทศ “นายไมค์ ปอมเปโอ” ไปจนแม้แต่กระทั่งประธานสภาคองเกรส ที่เพิ่งฉีกเอกสารคำแถลงของประธานาธิบดีตัวเองไปต่อหน้า-ต่อตา อย่าง “นางแนนซี เพโลซี” ก็ยังเอากะเค้าด้วย ชนิดถึงขั้นอุปมา-อุปไมยถึงความก้าวหน้า ในระบบ 5G ของ “หัวเว่ย” ว่าเป็น “อัตตาธิปไตยแห่งดิจิทัล” (Digital Autocracy) เอาเลยถึงขั้นนั้น ก่อนเสนอแนะทางเลือก ให้ประเทศตะวันตกทั้งหลาย ต้องเลือกเอาระหว่าง “อัตตาธิปไตยหรือประชาธิปไตยแห่งโลกข้อมูลข่าวสาร” ด้วยการสร้างความ “หูแหก-ตาแหก” เอาไว้ก่อนล่วงหน้า ดังคำกล่าวที่ว่า “อะไรจะเกิดขึ้น...ถ้าหากเทคโนโลยี 5G ของหัวเว่ย ถูกนำเข้าสู่ประเทศตะวันตก จะก่อให้เกิดภัยคุกคามต่อระบบการเมืองแบบประชาธิปไตยหรือไม่ และคุณคิดอย่างจริงจังแล้วหรือยัง ว่าความเป็นประชาธิปไตยอาจต้องเสียหาย เพราะความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของบริษัทไฮเทคอย่างหัวเว่ย” นี่...เรียกว่าออกไปทางแพร่เชื้อกันเห็นๆ

ด้วยการแพร่เชื้อ “ไวรัสทางการเมือง” ในลักษณะเช่นนี้...จึงเป็นอะไรที่น่าเกลียด น่ากลัว ซะยิ่งกว่า “ไวรัส Covid-19” ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า เพราะไม่เพียงควบคุมได้ยาก หรือควบคุมแทบไม่ได้ การอาศัยความหวาดระแวง ความสับสนมึนงง ความระส่ำระสาย หรือภาวะ “ภูมิคุ้มกันบกพร่อง” ที่กำลังบังเกิดขึ้นในบรรดาประเทศตะวันตก อันเนื่องมาจากการสูญเสีย “ความเป็นตะวันตก” โดยเฉพาะ “ประชาธิปไตยแบบตะวันตก” หรือ “ประชาธิปไตยแบบเสรีนิยม” ซึ่งกำลังพ้นยุค พ้นสมัย เข้าไปทุกที เป็นช่องทางในการแพร่เชื้อ ปล่อยเชื้อ ชนิดนี้ กลับยิ่งก่อให้เกิดความตึงเครียดแห่งการเผชิญหน้า เกิดการเลือกข้าง เลือกฝ่ายแบบแทบไม่เหลือ “พื้นที่เป็นกลาง” ให้กับประเทศหนึ่ง ประเทศใด ต่อไปอีกเลย หรือทำให้โอกาสที่โลกทั้งโลกจะอยู่เย็นเป็นสุข ดำเนินไปในหนทางแห่งสันติภาพ ยิ่งเป็นไปได้ยากส์ส์ส์ยิ่งขึ้นเท่านั้น...

แต่เอาเป็นว่า...ไม่ว่าพวกฝรั่ง หรือบรรดาประเทศตะวันตกทั้งหลาย ที่ไม่คิดสวม “หน้ากากอนามัย” ไว้บ้างเลย จะเกิดการติดเชื้อ “ไวรัสทางการเมือง” ชนิดนี้ กันหรือไม่ อย่างไร มากหรือน้อยขนาดไหน แต่สำหรับประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาทั้งหลาย น่าจะมี “ภูมิคุ้มกัน” ที่แข็งแกร่งเพียงพอ เลยไม่ได้ออกอาการ “หูแหก-ตาแหก” ใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย เพราะไม่เพียงแต่ถือเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่เปิดรับการลงทุน การวางระบบเครือข่าย 5G ของบริษัทหัวเว่ย มาชนิดก่อนใครเค้าเพื่อน วันวานที่ผ่านมา...ยังเปิดประมูลคลื่น 5G กันไปเป็นที่เรียบโร้ยย์ย์ย์แล้ว ได้เงินเข้าพก เข้าห่อ เข้ามาเป็นรายได้รัฐบาล ปาเข้าไปถึงระดับ 100,193 ล้านบาทเอาเลยถึงขั้นนั้น และกำลังจะกลายเป็นประเทศที่เปิดให้บริการเทคโนโลยี 5G ก่อนประเทศที่ก้าวหน้า ก้าวไกล ทางเทคโนโลยีอย่างญี่ปุ่น เป็นครั้งแรกซะอีกด้วยต่างหาก...
กำลังโหลดความคิดเห็น