xs
xsm
sm
md
lg

ว่าด้วยความน่ากลัวของไวรัสทางการเมือง

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท


นายTom Cotton วุฒิสมาชิกสหรัฐฯ ประจำมลรัฐอาร์คันซอ
ต้องหายหน้า-หายตาไปร่วมๆ สัปดาห์...ด้วยเหตุเพราะมีธุระปะปังต้องเดินทางไปในพื้นที่ที่ค่อนข้าง “ไกลปืนเที่ยง” อยู่พอสมควรโอกาสติดตามความเคลื่อนไหวของบ้านเมือง หรือความเป็นไปของโลก เลยออกจะติดๆ ขัดๆ ไปตามสภาพ แต่หลังจากมีโอกาสได้กลับมานั่งจิ้มๆ ทิ่มๆ อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ตามปกติ สิ่งที่ยังปรากฏให้เห็นเป็น “ไฮไลต์” สำหรับความเป็นไปของบ้านเมืองและความเป็นไปของโลก ก็ดูจะยังเป็นเรื่อง “ไวรัสอู่ฮั่น” หรือที่เรียกขานกันในนามใหม่ว่า “Covid-19” อยู่เหมียนเดิมม์ม์ม์...

อาจด้วยเหตุเพราะความรู้ ความเข้าใจ ต่อรูปร่างหน้าตา ต่อวิถีทางความเป็นไปของ “ไวรัส” ตัวนี้ มันยังไม่ถึงกับชัดเจนมากมายสักเท่าไหร่นัก บรรดาความไม่รู้ ไม่เข้าใจต่างๆ เลยถูกนำไปแพร่สะพัด แพร่ระบาด จนเป็นอะไรที่น่าตกอกตกใจ น่าหวาดหวั่น ขวัญสยอง ซะยิ่งกว่า “ตัวไวรัสแท้ๆ” ไม่รู้กี่สิบ กี่ร้อยเท่า ยิ่งการเติบใหญ่ เติบโตของอภิมหาอำนาจรายใหม่อย่างคุณพี่จีน อาจเป็นตัวนำมาซึ่งความอิจฉาริษยา ไปจนความเคียดแค้น อาฆาตพยาบาท หรือก่อให้เกิดความรู้สึกถึง “ภัยคุกคาม” ต่ออภิมหาอำนาจรายเก่า หรืออภิมหาอำนาจสูงสุด อย่างคุณพ่ออเมริกา หรือไม่ อย่างไร ก็แล้วแต่จะไปสรุปกันเอาเอง การแพร่ระบาดของไวรัส “Covid-19” ตัวนี้ มันเลยออกจะมีลักษณะอาการหนักไปทาง “ไวรัสทางการเมือง” หรือ “Political Virus” ควบคู่ไปด้วยอย่างมิอาจปฏิเสธได้...

ดังที่วุฒิสมาชิกอเมริกันแห่งรัฐอาร์คันซอ “นายTom Cotton” พยายามออกมาแพร่เชื้อความกลัว ไว้เมื่อไม่กี่วันมานี้ ด้วยการตั้งข้อสมมติฐานที่ออกจะน่าเกลียด น่าทุเรศ เอามากๆ ว่าไวรัสตัวนี้ อาจเป็นเชื้อไวรัสที่หลุดออกมาจาก “ห้องแลบ” ของรัฐบาลจีนเอง แถมยังพยายามขยายผลแห่งความกลัว ว่าการระบาดคราวนี้ อาจมีความร้ายแรงยิ่งกว่าการแพร่กระจายรังสีนิวเคลียร์ เมื่อครั้งการระเบิดของโรงงานไฟฟ้า “เชอร์โนบิล” ในสหภาพโซเวียตยุคปี ค.ศ. 1986 ซะอีกต่างหาก ตามด้วย “นายLarry Kudlow” ที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจทำเนียบขาว ที่ออกมากล่าวหารัฐบาลจีน ว่าขาดความโปร่งใส หรือพยายามปกปิดข้อมูล ข้อเท็จจริง เกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสตัวนี้ ไปจนถึงผู้อำนวยการองค์กร “CDC” (Center for Disease Control and Prevention) ของสหรัฐฯ “ดร.Robert Redfield” ที่เคยขอส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปร่วมตรวจสอบเชื้อไวรัสตัวนี้ในประเทศจีน แต่ทางการจีนปฏิเสธ เลยได้จังหวะออกมาแพร่เชื้อความกลัว ด้วยการประมาณการไว้ว่า การที่มีชาวอเมริกันจำนวน 15 รายติดเชื้อไวรัสตัวนี้ กระจายอยู่ในรัฐต่างๆ จำนวน 7 รัฐด้วยกัน อาจส่งผลให้เกิดการแพร่กระจายเชื้อไวรัสตัวนี้ไปทั่วทั้งประเทศอเมริกาในปีนี้ หรือปีหน้า เอาเลยก็ไม่แน่ แม้ว่าก่อนหน้านี้ (ปี ค.ศ. 2017-18) บรรดาอเมริกันชน เคยติดเชื้อโรคหวัดธรรมดาๆ จำนวนถึง 800,000 คน และเด๊ดสะมอเร่ อิน เดอะ เท่งทึง ไปถึง 61,000 คน กลับไม่ถูกหยิบยกมาพูดถึงซะยังงั้น!!!

ตามด้วยการไปหยิบเอาความคิด ความเห็น ของนักระบาดวิทยาชาวฮ่องกง อย่างศาสตราจารย์ “Gabriel Leung” ประธานสาธารณสุขฮ่องกง ซึ่งจะเป็นญาติห่างๆ หรือเคยรู้จักมักจี่กับนักประชาธิปไตยชาวฮ่องกง อย่าง “โจชัว หว่อง” หรือไม่ อย่างไร ก็มิอาจสรุปได้ แต่ระหว่างเดินทางมาเข้าร่วมประชุมกับ “WHO” นักระบาดวิทยาชาวฮ่องกงรายนี้ ได้ถือโอกาสให้ความเห็นส่วนตัว ถึงการแพร่ระบาดของไวรัสตัวนี้ที่ออกจะน่าเกลียด น่ากลัว เอามากๆ คือเปรียบเทียบว่าเป็นแค่ “ยอดภูเขาน้ำแข็ง” ที่โผล่ให้เห็นเป็นบางส่วนเท่านั้น โดยส่วนที่ลึกๆ ลงไปกว่านั้น อาจมีจำนวนผู้ติดเชื้อสูงขึ้นไปถึง 60 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากรโลกก็เป็นได้ หรือปาเข้าไปประมาณ 5,000 ล้านคน และแม้ความร้ายแรงของเชื้อไวรัสตัวนี้ จะทำให้จำนวนคนตายอยู่ในระดับประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่นั่นก็อาจหมายถึง...จำนวนพลโลกประมาณ 100 ล้านคน อาจต้องเด๊ดสะมอเร่ อิน เดอะ เท่งทึง ในอีกไม่ช้า-ไม่นาน นับจากนี้...??? ??? ???

นอกเหนือไปจากนั้น...ยังเริ่มมีการหยิบเอาข่าวคราวการแพร่ระบาดของไวรัสตัวนี้ ข้ามพรมแดนประเทศจีนไปยังเกาหลีเหนือ โดยหนังสือพิมพ์ “Chosun Ilbo” ของเกาหลีใต้ และสำนักข่าวญี่ปุ่นบางสำนัก ที่อ้างถึงช่องว่าง ช่องโหว่ ของเส้นกั้นพรมแดนระหว่างประเทศจีนและเกาหลีเหนือประมาณ 800 ไมล์ อันเป็นช่องทางในการแพร่ระบาดของไวรัสตัวนี้ จนก่อให้เกิดข้อสรุปแบบคิดเอง-เออเองประมาณว่า สาเหตุที่ทำให้ผู้นำเกาหลีเหนืออย่าง “คิมน้อย” ตัดสินใจยกเลิกพิธีสวนสนามประจำปี โดยไม่ได้อธิบายรายละเอียดใดๆ ไว้เลย ก็น่าจะเนื่องมาจากสาเหตุแห่งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสตัวนี้นั่นเอง ที่ทำให้ผู้ติดเชื้อชาวเกาหลีเหนือตายไปแล้ว 5 ราย ที่เมือง “Sinuiju” เมืองซึ่งอยู่ติดพรมแดนจีนและเกาหลีเหนือ รวมทั้งได้สร้างจินตนาการเอาไว้ล่วงหน้า ว่าด้วยเหตุเพราะการถูก “แซงชั่น” มาโดยตลอด ย่อมให้ประสิทธิภาพในการรับมือกับไวรัสตัวนี้ของเกาหลีเหนือ ย่อมอ่อนปวกเปียกเอามากๆ และทำให้ความน่ากลัวของไวรัส “Covid-19” เลยยิ่งน่าเกลียด น่ากลัว เพิ่มขึ้นไปตามลำดับ...

แต่อาจด้วยเหตุเพราะความน่าเกลียด น่ากลัว ของไวรัสตัวนี้ มันชักมีลักษณะออกไปทาง “ไวรัสทางการเมือง” หรือ “Political Virus” ยิ่งเข้าไปทุกที เลยทำให้บรรดาผู้บริหารระดับสูงขององค์กร “WHO” ที่เคยออกมาให้ “เครดิต” ประเทศจีนเอาไว้ไม่น้อย ไม่ว่าในแง่ประสิทธิภาพ ความโปร่งใส การแสดงออกถึงความรับผิดชอบต่อชีวิตของชาวจีนและชาวโลก ด้วยการทุ่มเทกำลังคนและทรัพยากรต่างๆ ชนิดแทบจะหมดหน้าตัก ในการรับมือกับเชื้อไวรัสตัวนี้ ไม่ว่าจะเป็นตัวผู้อำนวยการ อย่าง “ดร.Tedros Adhanom Ghebreyesus” หรือระดับรองๆ อย่าง “ดร.Michael Ryan” ที่ต้องหันไปขอความร่วมมือ ขอร้องวิงวอนต่อบรรดาผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเผยแพร่ข่าวสารและข้อมูลทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง “Google” ไปจนถึง “Twitter”, “Facebook”, “Tencent” และ “Tik Tok” ฯลฯ ให้ช่วยควบคุมและยับยั้งการแพร่ระบาดของข้อมูลแบบผิดๆ-ถูกๆ หรือแบบที่เรียกๆ กันว่า “Infodemic” อันอาจเป็นอะไรที่ร้ายแรงซะยิ่งกว่าแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสตัวนี้เอาเลยก็ไม่แน่ ดังคำพูดของผู้อำนวยการ “WHO” ที่สรุปไว้ว่า...“สิ่งที่โลกปรารถนาและต้องการในขณะนี้ คือข้อมูลที่เป็นความจริง ไม่ใช่ข้อมูลอันมีที่มาจากความหวาดกลัว ข้อมูลที่เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ข่าวลือ เพราะสิ่งที่โลกต้องการคือความร่วมมือ ไม่ใช่การใส่ร้ายป้ายสี...”

และด้วยเหตุที่ผู้ซึ่งมีบทบาทเอามากๆ ในการแพร่ระบาด “ไวรัสทางการเมือง” และ “Infodemic” ในลักษณะนี้ ก็คือคุณพ่ออเมริกานั่นเอง จึงส่งผลให้คอลัมนิสต์ชาวจีน อย่าง “Ai Jun” อดไม่ได้ที่จะให้ข้อสรุปเอาไว้ในข้อเขียน บทความ ในสื่อทางการของจีน อย่าง “Global Times” ประมาณว่า... “การแพร่ระบาดครั้งนี้ ได้แสดงให้เห็นถึงทัศนคติของชาวอเมริกันบางราย ที่มีต่อประเทศจีนอย่างชัดเจน ว่าพวกเขาไม่เคยคิดเปลี่ยนแปลงความรู้สึก ที่ถือว่าจีนคือภัยคุกคามของสหรัฐฯ ทั้งๆ ที่จีนไม่เคยคิดเป็น...คู่แข่ง...กับอเมริกาเอาเลยแม้แต่น้อย แต่จนถึงทุกวันนี้...ถ้าหากบรรดาชาวอเมริกันเหล่านี้ยังคงยึดมั่น ถือมั่นกับแนวคิดทางยุทธศาสตร์ในลักษณะเช่นนี้ เขาเหล่านั้นนั่นเอง ที่ทำให้จีนต้องถูกทำให้กลายเป็น...ศัตรู...ของอเมริกาไปจนได้” ด้วยเหตุนี้เลยคงหนีไม่พ้นต้องสรุปเพิ่มเติมไว้ด้วยว่า ไม่ว่าไวรัสตัวจริง อย่าง “Covid-19” จะส่งผลให้ใครต่อใครต้องตายไปอีกสักกี่ร้อย กี่พัน กี่หมื่นรายก็ตามที แต่ด้วยการแพร่ระบาดของ “ไวรัสทางการเมือง” ที่ยิ่งกลายเป็นตัวก่อให้เกิด “ความเป็นศัตรู” ระหว่างจีนกับอเมริกันอย่างชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก จะส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บ ล้มตาย ตามมาอีกสักกี่แสน กี่ล้าน หรือกี่สิบ กี่ร้อยล้านราย อันนั้น...คงต้องเก็บไป “จินตนาการ” ล่วงหน้า กันเอาเองก็แล้วกัน...


กำลังโหลดความคิดเห็น