ด้วยเหตุเพราะต้องนั่งเฝ้าหน้าจอทีวีตั้งแต่หัวเช้าไปยันดึกดื่นเที่ยงคืน...เพื่อตรวจสอบติดตามรายการ “ยุทธการอรุณร่วง(รุ่ง)” ปะทะกับ “ยุทธการดับสุริยา” เลยแทบไม่มีโอกาสได้เปิดเล้า เปิดฝาเข่งไป “อะราวนด์ เดอะ เวิลด์” ณ ที่ไหนๆ ซึ่งในเรื่องของการไล่งับ ไล่ฟัด ไล่กัด หรือรายการแค้นจัด-กัดดะ-ฝังเขี้ยวจมน่อง ระหว่าง “ฝ่ายค้าน” กับ “ฝ่ายรัฐบาล” ในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจคราวนี้ ก็น่าจะพอทราบๆ กันดีอยู่แล้ว คงไม่ต้องเสียเวลาหยิบมาพูดถึง กล่าวถึงอะไรกันมากมาย แต่สำหรับเหตุการณ์ความเป็นไปของโลก เมื่อมาถึง ณ ขณะนี้...คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ ว่ายังหนีไม่พ้นต้องวนมา-วนไป อยู่กับเรื่องเชื้อไวรัส “COVID-19” อยู่เช่นเดิม...
อาจด้วยเหตุเพราะการ “แพร่ระบาด” มันชักกินขอบเขตพื้นที่ปริมณฑล ที่กว้างขวางออกไปยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ชนิดอาจต้องเรียกว่าแทบจะแพร่ระบาดไปทั่วทุกซีกโลกไปแล้วก็ว่าได้ ไม่ใช่แค่กระจุกตัวอยู่แต่เฉพาะเมืองจีนเหมือนช่วงแรกๆ ไม่ว่ายุโรปที่หนักสุดแถวๆ อิตาลี ยังเริ่มลุกลามเข้าไปยังออสเตรีย โครเอเชีย ไปจนถึงสวิตเซอร์แลนด์ ฯลฯ โน่นเลย ส่วนอเมริกาก็ใช่ว่าจะสบายเนื้อสบายตัว มีโอกาสสร้างข่าวปลอม ใส่ร้ายป้ายสี ใครต่อใครได้แบบคล่องเนื้อคล่องตัวสักเท่าไหร่ เพราะแนวโน้มการแพร่ระบาดและการขยายตัวของไวรัสชนิดนี้ในอเมริกาก็ชักแรงขึ้นๆ พอๆ กับการแพร่ระบาดของ “ไข้หวัดหมู” หรือ “Swine Flu” (H1N1) เมื่อช่วงปี ค.ศ. 2009 เข้าไปทุกที แม้แต่ตะวันออกกลางก็ยังอุตส่าห์ติดเชื้อ ติดโรคไปจนได้ หนักที่สุดเห็นว่าแถวๆ อิหร่าน แต่ก็เริ่มลุกลาม หรือเริ่มก่อให้เกิดอาการ “หูแหก-ตาแหก” ต่อไปถึงอิรัก กาตาร์ เลบานอน คูเวต โอมาน ยูเออีฯลฯ จนต้องเริ่มปิดบ้าน ปิดเมือง ปิดพรมแดกันมั่งแล้ว ส่วนแอฟริกานั้น ไล่มาตั้งแต่อียิปต์ และทำท่าว่าจะเริ่มโผล่ขึ้นมาแถวๆ จิบูตี ประเทศเล็กๆ ที่เป็นที่รองรับฐานทัพนอกประเทศแห่งแรกของจีน โดยจะลามไปถึงประเทศไหนต่อประเทศไหน ก็ยังมิอาจสรุปได้ และด้วยเหตุที่ประสิทธิภาพ ศักยภาพด้านสาธารณสุข ในการรับมือกับเชื้อโรคร้ายๆ เช่นนี้ ของบรรดาประเทศในแอฟริกา ที่ยังไม่ได้แข็งแกร่งเพียงพอ ยิ่งทำให้ภาพการแพร่ระบาดของ “COVID-19” ยิ่งเป็นอะไรที่น่าเกลียด น่ากลัว ยิ่งขึ้นไปใหญ่ ฯลฯ ฯลฯ...
และนั่นอาจเป็นเหตุที่ทำให้ “ตลาดหุ้นดาวโจนส์” ตั้งแต่ช่วงวันจันทร์ (24 ก.พ.)ที่ผ่านมา...เกิดอาการ “หัวทิ่ม-หัวตำ” เถลือกไถลไปถึง 1,031.61 จุด หรือร่วงหนัก ร่วงแรงที่สุดในช่วงรอบ 2 ปีที่ผ่านมา ราคาน้ำมันเลยต้อง “ดิ่งเหว” ตามไปด้วย ลดลงเหลือแค่ 51-56 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะราคาสินทรัพย์ที่เสี่ยงน้อยสุด อย่างทองคำพุ่งพรวดพราด ระเบิดเถิดเทิงไปถึง 1,676.60 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือทำให้แนวโน้มทางเศรษฐกิจระดับโลก ที่ว่ากันว่า...น่าจะ “เผาจริง” ในปีนี้ ยิ่งออกไปทาง “กุศลาธรรมา-อกุศลาธรรมา” หรือรอเพียงพระสวดบทส่งท้ายอีกแค่ไม่กี่จบ ก็เป็นอันลงมือเผากันได้เลย...ไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ...
ว่าไปแล้ว...อาการ “แพร่ระบาด” ที่ทำให้ตัวเลข “ผู้ติดเชื้อ” ทั่วโลก พุ่งขึ้นไปถึง 80,000 กว่าคน และตัวเลขคนตายเพิ่มขึ้นไปเป็น 2,000 กว่าๆ นั้น ถ้าลองนำไปเทียบเคียงกับครั้งการแพร่ระบาดของไวรัส “H1N1” หรือ “Influenza virus” อย่าง “ไข้หวัดหมู” ช่วงปี ค.ศ. 2009 ที่อุบัติขึ้นมาแถวๆ อเมริกา ก็ยังน่าจะน้อยกว่าแบบแทบไม่เห็นฝุ่น เห็นหาง เพราะครั้งนั้นจำนวน “ผู้ติดเชื้อ” ในระดับโลก ปาเข้าไปถึง 150,000-575,000 คนเป็นอย่างน้อย หรือเผลอๆ อาจปาเข้าไปถึง 11-21 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนประชากรโลกช่วงนั้นเอาเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ได้ถูกกักตัวกักกันเอาไว้ในสถานที่กักกันโรค ว่ากันว่า...อาจมีจำนวนสูงถึง 700-1,400 ล้านคนก็ไม่แน่ เพราะเมื่อดูจากตัวเลขจำนวนคนตายปาเข้าไปถึง 18,000 คน สูงกว่าจำนวนคนตายจาก “COVID-19” ในช่วงขณะนี้เกือบ 20 เท่า โดยเฉพาะเมื่อ “ธรรมชาติ” ของการระบาด เริ่มแพร่ไปสู่ช่วงที่เรียกๆ ว่า “ช่วงระยะที่ 3” หรือช่วงที่มันสามารถลุกลามจากคนสู่คนไปในระดับข้ามชาติ ข้ามประเทศ ได้แบบสบายๆ...
แต่เหตุที่ “COVID-19” คราวนี้ ออกจะน่าเกลียดน่ากลัวไม่น้อยไปกว่า หรืออาจมากซะยิ่งกว่า “H1N1” เมื่อช่วง 10 กว่าปีที่แล้วอาจเป็นเพราะมันถูกเสริมด้วยองค์ประกอบหลายต่อหลายอย่างที่ไม่เหมือนเดิม หรือผิดแผกแตกต่างไปจากเดิมไม่มากก็น้อย เช่น “ความหวาดระแวง” “ความกลัว” “ความเป็นปรปักษ์” ฯลฯ ระหว่างผู้คนในแต่ละชาติ แต่ละประเทศ ดูๆ มันจะเพิ่มระดับสูงขึ้นไปกว่าเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วหลายต่อหลายช่วงตัว ไม่ว่าระหว่างผู้นำโลกอย่างคุณพ่ออเมริกากับมหาอำนาจคู่แข่ง อย่างจีนและรัสเซีย ความพยายามต่อต้าน เล่นงานชาติที่เป็นศัตรู หรือประเทศที่สร้างความเสียหาย เสียเปรียบ ให้กับผลประโยชน์ของตัวเอง ด้วยการแซงชั่น การปกป้องกีดกันทางการค้า ฯลฯ ฯลฯ มันเลยทำให้การ “แพร่ระบาด” ของเชื้อโรค “COVID-19” ในครั้งนี้ ถูกแพร่ไปพร้อมๆ กับเชื้อโรคแห่งความหวาดระแวง การใส่ร้าย-ป้ายสี ไปจนถึงการเหยียดเชื้อ เหยียดชาติ เอาเลยก็ยังมี...
และนั่นเอง...ที่ทำให้อะไรต่อมิอะไรมันดูหนักหน่วงรุนแรงกว่า “ธรรมชาติ” เท่าที่มันควรจะเป็น หรือไม่ใช่เป็นแค่เรื่อง “เชื้อโรค” ล้วนๆ เรื่องของ “โรคระบาด” ธรรมดาๆแต่เพียงเท่านั้น แต่มันยังเป็นตัวกระตุ้นให้เกิด “เชื้อโรคทางความรู้สึก” ขยายตัวไปพร้อมๆ กับการแพร่ระบาดของเชื้อโรคโดยปกติ และทำให้ “ผลกระทบ” อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดในลักษณะนี้ อาจหนักหนาสาหัสกว่าโรคระบาดเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า เมื่อครั้งโรคระบาด “ไข้หวัดซาร์ส” (SARS) ช่วงปี ค.ศ. 2002-03 ว่ากันว่าส่งผลให้ “GDP” โลกสูญหายไปประมาณ 33,000 ล้านดอลลาร์ ถ้าว่ากันตามตัวเลขของธนาคารโลก ส่วนครั้ง “ไข้หวัดหมู” ช่วงปี ค.ศ. 2009 ว่ากันว่า...ความสูญเสียที่คิดเป็นเงินๆ ทองๆ ปาเข้าไปถึง 3 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 1.9 ล้านล้านปอนด์ แต่มาถึงครั้ง “COVID-19” มันจะหนักหนาสาหัสไปถึงขั้นไหนก็ยังมิอาจคาดคะเนได้ แต่ภายใต้การแพร่ระบาดของ “เชื้อโรค” โดยปกติไปพร้อมๆ กับ “เชื้อโรคทางความรู้สึก” ที่ออกจะหนักหน่วงรุนแรงกว่าแต่ละครั้งที่ผ่านมา มันเลยทำให้ “ผลกระทบ” จากการแพร่ระบาดคราวนี้ อาจก่อให้เกิดแนวโน้มทางเศรษฐกิจ ในระดับที่อดีตกรรมการผู้จัดการ “IMF” เคยเตือนๆ เอาไว้เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ว่าอาจถึงขั้น “The Great Depression” ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาซะเลย...
อันนี้นี่แหละ...ที่ไม่เพียงแต่ส่งผลให้บรรยากาศความเป็นไปของโลกนับจากนี้ ออกไปทาง “เผาจริง” หรือหนักไปทางไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี ยิ่งเข้าไปทุกที จนแม้กระทั่งประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา ที่แม้จำนวน “ผู้ติดเชื้อ” จะแทบไม่ขยับ แถมจำนวนคนตายยังคงเป็น “ศูนย์” ด้วยประสิทธิภาพ ด้วยฝีมือความสามารถ ความเสียสละทุ่มเทของบรรดาบุคลากรทางสาธารณสุขทั้งหลาย แต่เมื่อเจอกับ “เชื้อโรคทางความรู้สึก” ที่ยากจะหาทางควบคุมป้องกัน กันได้ง่ายๆ โอกาสที่จะต้องเจอกับการ “เผาจริง” หรือการไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี ไปกับใครต่อใครเขาด้วย ชนิดไม่ต้องรอ “ยุทธการอรุณร่วง” หรือ “ยุทธการพินอคคิโอ” ใดๆ เอาเลยก็ยังได้ แค่รอพระสวด “กุศลาธรรมา-อกุศลาธรรมา” อีกไม่กี่จบ ก็เตรียมตัวรับมือกันได้แล้ว...