xs
xsm
sm
md
lg

อู่ฮั่น...สู้-สู้ ประเทศจีน...สู้-สู้!!!

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท


ร้านอาหารแม่กำปองเชียงใหม่ ติดป้ายต้อนรับนักท่องเที่ยวจีน
มาถึง ณ ขณะนี้...เรื่องการแพร่ระบาดของ “ไวรัสอู่ฮั่น” ก็ยังคงเป็นข่าวใหญ่ ข่าวโต ไม่ว่าในระดับโลก หรือในประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาอยู่เช่นเดิม ชนิดแทบไม่เหลือพื้นที่ให้กับข่าวคราวอื่นๆ เอาเลยแม้แต่น้อย แต่ไม่ว่าเรื่องตัวเลข คนเจ็บ คนตาย คนติดเชื้อ ไปจนเรื่องผลกระทบทางเศรษฐกิจ ต่อเศรษฐกิจจีนและเศรษฐกิจโลก ถูกนำมาพูดจาว่ากล่าว นำมาอัปด่ง อัปเดต กันชนิดเที่ยวแล้ว เที่ยวเล่า แต่ก็ยังมีแง่มุมบางอย่าง ซึ่งอาจยังไม่ถูกหยิบมาพูดถึงกันมากนัก และเป็นแง่มุมที่มีความน่าสนใจ น่าคิด น่าสะกิดใจ ไม่น้อยไปกว่าเรื่องของการต่อสู้เพื่อเอาชนะ “ไวรัส” มากมายสักเท่าไหร่ นั่นคือการต่อสู้เพื่อเอาชนะ “ไวรัล” นั่นเอง...

คือต้องยอมรับเอาจริงๆ นั่นแหละว่า...การแพร่กระจายข่าวคราว ในแบบปากต่อปาก หรือแบบที่เรียกๆ กันว่า “ไวรัล” นั้น มันได้ส่งผลให้ประเทศจีน รัฐบาลจีน รวมทั้งคนจีนออกจะเสียหาย เสียรังวัดกันไปมิใช่น้อย หรือถึงขั้นก่อให้เกิดกระแสเหยียดชาติเกิดความเกลียด ความกลัวต่อชาวจีน รัฐบาลจีน ไปจนถึงประเทศจีน แบบที่แทบไม่ต่างอะไรไปจาก “โรค” ชนิดหนึ่ง ที่อาจพอเรียกขานกันในนาม “Sinophobia” เอาเลยก็ยังได้ และใครก็ตามที่มีโอกาสได้อ่านรายงานข่าว ของสำนักข่าว “เอพี” เรื่อง “Coronavirus spreads fear and racism worldwide” ที่เว็บไซต์ “ผู้จัดการ” ของหมู่เฮา ได้นำมาถ่ายทอดและเผยแพร่กันอีกที โดยพาดหัวไว้ว่า “เชื้อไวรัสโคโรนาทำให้ความกลัวและลัทธิเหยียดผิวระบาดออกไปทั่วโลก” เมื่อช่วงวันอังคาร (4 ก.พ.) ที่ผ่านมา คงพอนึกภาพออกว่า “เชื้อโรคทางความรู้สึก” ชนิดนี้ มันมีรูปร่างหน้าตา มีลักษณะอาการ ออกมาในแบบไหน อย่างไร

เรียกว่า...ขนาดคนไข้ออสเตรเลีย ไม่ยอมคิดจะจับมือกับหมอที่เป็นผู้ผ่าตัด ผู้รักษาตัวเองแท้ๆ ด้วยเหตุเพราะหมอรายนั้นท่านเป็น “คนจีน” เท่านั้นเอง คนอิตาลี ถ่มน้ำลายใส่นักท่องเที่ยวชาวจีนในเมืองเวนิส หรือด่าว่า ด่าทอ คนจีนที่อยู่ในเมืองตูริน หาว่าเป็นพาหะนำโรคมาให้ ไม่ต่างไปจากหญิงสาวชาวแคนาดาที่ถูกผู้คนต่อว่า ต่อขาน เพียงเพราะเป็นชาวแคนาดาผู้มีเชื้อสายจีน แต่เพียงเท่านั้น ฯลฯ และคงไม่ใช่แต่เฉพาะ “ปุถุชนคนธรรมดา” ที่สามารถติดเชื้อทางความรู้สึกเหล่านี้ได้ง่ายๆ กระทั่งระดับรัฐบาล ระดับนักการเมืองและสื่อฯ ในบางประเทศ โดยเฉพาะประเทศ “คู่กัด” ของจีน อย่างคุณพ่ออเมริกานั่นแหละ การแสดงอาการติดเชื้อโรค “Sinophobia” ก็ปรากฏให้เห็นได้โดยชัดเจน ไม่ว่าโดยการประกาศห้ามคนจีน หรือใครก็ตามที่เคยเดินทางไปประเทศจีนในช่วง 14 วัน ไม่ให้เข้ามาเหยียบดินแดนอเมริกาโดยเด็ดขาด เป็นผู้นำการอพยพคนอเมริกันออกจากเมืองจีนเป็นประเทศแรก ไม่ว่าองค์การอนามัยโลก หรือ “WHO” จะไม่เห็นควรด้วยก็ตาม จนทำให้ประเทศอื่นๆ ที่ห่วงใยผู้คนพลเมืองของตัวเอง อดไม่ได้ที่จะต้องลอกเลียนแบบ ตามอย่างอเมริกา รวมทั้งประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของเราด้วย...

หรือนักการเมืองอเมริกันบางราย...ที่ออกมาตำหนิติติงความไม่มีประสิทธิภาพ หรือความล้าหลังของประเทศจีน ที่ทำให้ไวรัสอู่ฮั่นอุบัติขึ้นมาจนได้ ไปจนสื่ออเมริกันอย่าง “The New York Times” ที่ออกมากล่าวหา เล่นงาน ว่ามาตรการปิดบ้านปิดเมือง เพื่อไม่ให้เชื้อโรคแพร่ระบาดไปยังผู้อื่น หรือไปสู่ชาวโลกเอาง่ายๆ โดยไม่คิดเสียดม เสียดาย เงินๆ-ทองๆ ใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อยของรัฐบาลจีน ถือเป็นการ “ละเมิดสิทธิมนุษยชน” ของชาวจีน หรือชาวอู่ฮั่นไปซะนี่ ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง ที่ทำให้รัฐบาลจีน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ไปจนถึงสื่อทางการของจีน ต้องออกมาสู้กับ “ไวรัล” ไปพร้อมๆ กับการสู้กับ “ไวรัส” อย่างชนิดเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ากันไปมิใช่น้อย...

แต่ในขณะเดียวกัน...สิ่งที่กลายมาเป็น “วัคซีน” ในการยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อโรค “Sinophobia” ก็ดูจะเริ่มปรากฏให้เห็นขึ้นมามั่งแล้ว ไม่ว่าในสังคมบ้านเรา หรือในระดับโลกอีกด้วยเช่นกัน นั่นก็คือ...ความห่วงใย ความปรารถนาดี ความรัก ความเมตตา ฯลฯ อันเป็นสิ่งที่ยังคงแฝงฝังอยู่ในดีเอ็นเอของมวลมนุษยชาติ ไม่ว่าจะเป็นชาติไหนต่อชาติไหนก็แล้วแต่ ไม่ว่าสีผิว เผ่าพันธุ์ จะผิดแผกแตกต่างกันไปเช่นไร แต่ถ้ายังขึ้นชื่อว่าเป็น “มนุษย์” แล้วล่ะก็ โอกาสที่จะลบสิ่งเหล่านี้ออกจากความเป็นมนุษย์ ก็ใช่ว่าจะทำกันได้ง่ายๆ ความพยายามร่วมมือ ร่วมใจ พยายามส่ง “กำลังใจ” ไปให้กับชาวจีน รัฐบาลจีน ประเทศจีน ให้ “อู่ฮั่น...สู้...สู้” หรือ “ประเทศจีน...สู้...สู้” เข้าไว้ ชักกลายเป็นกระแสที่เริ่มตีกลับ หรือเป็น “วัคซีน” ในการยับยั้งเชื้อ “Sinophobia” ได้อย่างน่าสนใจเอามากๆ แม้ประเทศจีนทุกวันนี้ยังคงเป็น “คอมมิวนิสต์” หรือรัฐบาลจีนยังเป็น “เผด็จการ” อยู่เช่นเดิมก็ตาม...

สำหรับบ้านเราที่ได้ชื่อว่า...เต็มไปด้วยน้ำใจไมตรี ตามแบบฉบับ “ความเป็นไทย” มาโดยตลอด ก็น่าจะทำให้คอมมิวนิสต์-ไม่คอมมิวนิสต์ เผด็จการ-ไม่เผด็จการ ซาบซึ้ง ตรึงใจ มิใช่น้อย ต่อการแสดงออกของภาคเอกชน ภาครัฐบาล ที่ร่วมกันเปล่งเสียง “อู่ฮั่น...สู้...สู้” หรือ “ประเทศจีน...สู้...สู้” โดยอาศัย “พื้นฐานแห่งความเป็นมนุษย์” นั่นแหละเป็นหลักยึด โดยไม่จำเป็นต้องไปเกี่ยวข้องกับทัศนคติ หรืออุดมการณ์ทางการเมือง ที่ย่อมผิดแผกแตกต่างกันไปได้ หรือแม้แต่ชาวอเมริกันที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับนโยบายทางการเมืองของรัฐบาล ด้วย “พื้นฐานแห่งความเป็นมนุษย์” ในลักษณะดังกล่าวนี่เอง ที่ทำให้ชาวอเมริกันจำนวนไม่น้อย รวมถึงบริษัทธุรกิจอเมริกัน พยายามรวบรวมเงินบริจาค ตั้งแต่รายละ 1 ดอลลาร์ ไปจนถึงระดับล้านดอลลาร์ ส่งมาให้รัฐบาลและประชาชนชาวจีน เพื่อสู้กับเชื้อไวรัสเป็นจำนวนถึง 22.15 ล้านดอลลาร์ โดยไม่คิด “ฉวยโอกาส” จากความฉิบหายของประเทศจีน เหมือนอย่างรัฐมนตรีพาณิชย์ของตัวเอง เอาเลยแม้แต่น้อย...

การปรากฏตัวขึ้นมาของ “วัคซีน” ในลักษณะเช่นนี้นี่เอง...ที่ดูจะช่วยให้เกิดความหวังกำลังใจต่อบรรดาชาวจีน และรัฐบาลจีน มิใช่น้อย ชนิดถึงขั้นที่คิดจะ “พลิกวิกฤต” ให้กลายเป็น “โอกาส” คิดจะทำให้ประเทศจีนกลายเป็น “แปลงสาธิต” ในการรับมือกับทั้ง “ไวรัส” และ “ไวรัล” แบบที่คอลัมนิสต์สำนักข่าว “รอยเตอร์” อย่าง “นายปีเตอร์ แอปส์” (Peter Apps) เคยวิเคราะห์เอาไว้ในข้อเขียน บทความของตัวเองนั่นเอง ดังที่สื่อทางการของจีน อย่าง “Global Times” โดย “นายหวาง เหวินเหวิน” (Wang Wenwen) ได้สรุปความเห็นไว้ในข้อเขียนเรื่อง “Virus battle China’s chance to show progress” ว่านี่คือโอกาสที่จะแสดงให้โลกเห็นถึงความก้าวหน้าในการรับมือกับวิกฤตของจีน ว่าเป็นไปเช่นไร? โดยอาจไม่ใช่เป็นเพียงแค่ความก้าวหน้าในทางความรู้ วิชาการ หรือทางเทคโนโลยี เท่านั้น แต่อาจลึกลงไปถึง “ระบบ” และ “ระบอบ” ไปจนถึง “ทัศนคติ” ทางการเมือง การปกครอง เอาเลยก็ยังได้...

เช่น การแสดงให้เห็นความแตกต่างในการรับมือ “ไวรัสอู่ฮั่น” (2019-nCoV) ของรัฐบาลจีนช่วงนี้ กับการรับมือ “ไวรัสไข้หวัดหมู” (H1N1) ของรัฐบาลอเมริกัน เมื่อปี ค.ศ.2009 ที่ไม่เพียงแต่ทำให้ตัวเลขคนเจ็บ คนตาย คนติดเชื้อ การแพร่ระบาดทั้งในประเทศและในระดับโลกแตกต่างกันอย่างเห็นได้โดยชัดเจน แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างในแง่ “จิตสำนึก” ระหว่างผู้ที่คิดแต่เรื่องเงิน-เรื่องทอง หรือเรื่องเศรษฐกิจเป็นที่ตั้ง กับผู้ที่คิดถึงสวัสดิภาพ ความปลอดภัยของผู้คน ของชาวโลก เป็นที่ตั้ง โดยไม่จำเป็นต้องไปพูดถึงความเป็น “เผด็จการ” หรือ “ประชาธิปไตย” ใดๆ อีกต่อไป ด้วย “แปลงสาธิต” ในลักษณะเช่นนี้นี่เอง ที่ทำให้นักเขียนของ “Global Times” อย่าง “นายหวาง เหวินเหวิน” จึงสรุปไว้อย่างคมคายและเก๋ไก๋เอามากๆ ประมาณว่า... “จีนคงไม่สามารถเปลี่ยนทัศนคติของชาวโลกได้ แต่สามารถทำให้ชาวโลกเห็นว่าจีนได้พัฒนาและปรับตัวในการรับมือกับภาวะวิกฤตกันไปในลักษณะไหน” นี่...เอาเลย “อู่ฮั่น...สู้...สู้” “ประเทศจีน...สู้...สู้” เอาให้ถึง “อวสานอเมริกา” ให้จงได้!!!

กำลังโหลดความคิดเห็น