xs
xsm
sm
md
lg

ภาวะเศรษฐกิจกับ “กฎแห่งกรรม”

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท


นายวิลเบอร์ รอสส์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ


ตัวเลขคนเจ็บ คนตาย คนติดเชื้อ...อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโคโรนา ไวรัส หรือ “ไวรัสอู่ฮั่น” จะเขยิบขึ้นไปถึงไหนต่อไหน ก็เหนื่อยเกินกว่าที่จะเกาะติด ติดตามอีกต่อไปแล้ว เพราะแม้จะยังน้อยกว่าการระบาดของ “โรคซาร์ส” ช่วงปี ค.ศ. 2002 หรือ “โรคไข้หวัดหมู” ในอเมริกาช่วงปี ค.ศ. 2009 ไม่รู้กี่ช่วงตัว แต่ในแง่ของความ “หูแหก-ตาแหก” แล้ว คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่า มันออกจะระเบิดเถิดเทิงยิ่งกว่าไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า...

ยิ่งได้คุณพ่ออเมริกา...ท่านออกมาช่วยกระพือความกลัว ให้เตลิดเปิดเปิงยิ่งขึ้นไปอีก อย่างที่โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนได้บอกเอาไว้นั่นแหละว่า นอกจากไม่ได้คิดจะช่วย ไม่ได้คิดดูดำ-ดูดีอะไรแล้ว ยังถือเป็นประเทศแรกที่พยายามแพร่กระจายความหูแหก-ตาแหก ให้กลายเป็นแบบอย่างของประเทศอื่นๆ ไปซะอีกต่างหาก และด้วยความหูแหก-ตาแหกในลักษณะเช่นนี้นี่เอง ยังไงๆ...มันย่อมส่งผลต่อภาวะความเป็นไปของเศรษฐกิจจีน รวมทั้งเศรษฐกิจโลก อย่างชนิดน่าหวาดเสียวเอามากๆ...

แค่ดูจากตลาดหุ้นจีน...ที่เริ่มเปิดทำการวันแรกหลังหยุดยาวช่วงตรุษจีน เมื่อวันจันทร์ (3 ก.พ.) ที่ผ่านมา เห็นว่าบรรดานักลงทุนเทขายกันไปถึง 400,000 ล้านดอลลาร์ ร่วงไปถึง 8 เปอร์เซ็นต์ ต่ำที่สุดในรอบปีเอาเลยถึงขั้นนั้น แม้ว่ารัฐบาลจีนพยายามทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างแบบชนิดแทบหมดหน้าตัก ให้กับการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสตัวนี้ รวมทั้งทุ่มเงิน ทุ่มทอง อัดฉีดสภาพคล่องเข้าไปในตลาดถึง 1.2 ล้านล้านหยวน หรือ 174,000 ล้านดอลลาร์ แต่โอกาสที่จะช่วยดำรงรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจ ให้อยู่ในระดับเดิมๆ หรือไม่ต่ำไปกว่า 6 เปอร์เซ็นต์ของตัวเลขจีดีพี ก็ออกจะเป็น “คำถาม” ที่ค่อนข้างท้าทายเอามากๆ เพราะค่อนข้างแน่ๆ พอๆ กับแช่แป้งแล้วว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ แค่ทำให้ตัวเลขจีดีพีของจีน ไม่ต่ำไปกว่า 5 เปอร์เซ็นต์ ก็แทบต้องหายใจทางปาก หรือหายใจทางเหงือก เอาเลยก็ไม่แน่...

ความหวังที่จะควบคุมและหยุดยั้งโรคระบาด ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ เพื่อที่จะช่วยให้เศรษฐกิจช่วงครึ่งปีหลัง พอได้ผงกหัว หรือเงยหน้าอ้าปากขึ้นมามั่ง และทำให้ตัวเลขจีดีพีตลอดทั้งปี อาจโตได้ประมาณ 6 เปอร์เซ็นต์ อย่างที่ทางการจีนปรารถนาและต้องการ เอาไป-เอามาแล้ว...มันอาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับการทุ่มเท เสียสละ ของชาวจีนและรัฐบาลจีนเท่านั้น แต่มันยังคงต้องขึ้นอยู่กับอาการ “หูแหก-ตาแหก” ของชาวโลกควบคู่ไปด้วย ว่าจะแหกน้อย แหกมาก ไปถึงขั้นไหน โดยเฉพาะในยุคที่การสื่อสารและเทคโนโลยี มันออกจะก้าวหน้า ก้าวไกล ชนิดไปไม่กลับ-หลับตื่น-ฟื้นไม่มี กว่ายุคโรคซาร์ส หรือโรคไข้หวัดหมู ไปพอสมควรและนั่นเองที่อาจทำให้สถาบันจัดอันดับทางเศรษฐกิจของรัสเซีย หรือ “Russian National Credit Ratings Agency” หรือ “NCR” เขาเคยออกมา “ฟันธง” เอาไว้กับสำนักข่าว “TASS” เมื่อช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ว่าโอกาสที่จีดีพีของจีนอาจต้องลดลงไปถึง 0.5 เปอร์เซ็นต์ หรืออาจโตได้ไม่เกิน 5.6 เปอร์เซ็นต์ในตลอดทั้งปี มีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ โดยเฉพาะถ้านำเอาอาการ “หูแหก-ตาแหก” ของชาวโลกไปคิดคำนวณควบคู่ไปด้วย...

แต่ก็นั่นแหละ...ไม่ว่าจีดีพีของจีนจะโต 6 หรือต่ำกว่า 6 ภายในปีนี้ ผลกระทบมันคงไม่ได้ตกหนักอยู่กับประเทศจีน หรือเศรษฐกิจจีน แต่เพียงอย่างเดียว เพราะด้วยความที่ “เศรษฐกิจโลก” มันผูกโยง เกี่ยวพันกับ “เศรษฐกิจจีน” อย่างชนิดแทบแยกไม่ออก ในฐานะประเทศที่มีขนาดทางเศรษฐกิจใหญ่โตเป็นอันดับ 2 หรือใกล้ๆ จะอันดับ 1 ของโลก ใกล้ๆ แซงหน้าคุณพ่ออเมริกาอีกไม่นานนับจากนี้ มันเลยย่อมก่อให้เกิด “ผลกรรม” ตามภาวะ “กฎแห่งกรรม” ย้อนกลับมาสู่บรรดาชาวโลก ผู้ซึ่งกำลังหูแหก-ตาแหกทั้งหลาย อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ เพราะแค่การบริโภค “น้ำมัน” ของจีน ที่ขึ้นสู่จุดสูงสุดเป็นอันดับ 1 ของโลกมานานแล้ว ถ้าว่ากันตามการคาดการณ์ของสำนักข่าว “Bloomberg” ที่สรุปเอาไว้ว่า ปริมาณความต้องการดังกล่าวจะลดลงไปประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์เป็นอย่างน้อย เมื่อต้องเจอกับการแพร่ระบาดของไวรัสอู่ฮั่นเข้าไปจังๆ...

และอันนี้...ไม่เพียงแต่ส่งผลให้ระดับราคาน้ำมัน ไม่ว่า “เบรนท์” หรือ “เวสต์ เท็กซัส” ออกอาการหัวทิ่ม หัวต่ำ อย่างเห็นได้โดยชัดเจน คือระดับราคาลดลงไปถึง 20 เปอร์เซ็นต์ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา และอาจลดลงไป 14 เปอร์เซ็นต์ในตลอดทั้งปีเท่านั้น แต่ยังส่งผลให้ประเทศคู่แข่ง หรือ “คู่กัด” ของจีน อย่างคุณพ่ออเมริกา ที่กำลังรวยไม่เสร็จจากการรื้อฟื้นกิจการน้ำมัน “Shale Oil” แบบชนิดเป็นบ้า เป็นหลัง ในยุค “ทรัมป์บ้า” ก็พลอยต้อง “ซวย” ไปด้วยอย่างมิอาจปฏิเสธได้ เพราะอุตสาหกรรมข้างเคียงอย่างอุตสาหกรรมพลาสติกในอเมริกา ไม่ว่าในเท็กซัส ลุยเซียนา นอร์ท เม็กซิโก ฯลฯ ชักทำท่าว่าเริ่มจะ “เจ๊ง” เพราะไม่รู้จะส่งเอาไปขายกันที่ไหน อีกทั้งการที่บริษัทอเมริกันซึ่งเคยลงทุนในจีน ไม่ว่า “Starbucks”, “Levi”, “Apple”, “Google” ไปจนถึง “JP Morgan” ฯลฯ จะหยุดปฏิบัติการในเมืองจีน ขนลูกจ้างกลับบ้านเพื่อไม่ให้ต้องติดเชื้อไข้หวัดอู่ฮั่นตามไปด้วย แต่นั่นก็ใช่ว่าแต่ละรายคิดจะกลับมา “ลงทุนในอเมริกา” ตามที่นักฉวยโอกาสอย่างรัฐมนตรีพาณิชย์อเมริกา “นายวิลเบอร์ รอสส์” เคยคุยโม้ คุยโต เอาไว้ก่อนหน้านี้ แต่อย่างใด...

เพราะสิ่งที่ถือเป็น “ผลประโยชน์สูงสุด” ของบรรดาบริษัทนักลงทุนข้ามชาติทั้งหลาย ก็คือ “กำไรสูงสุด” นั่นแหละ ไม่ได้เกี่ยวกับความเป็นอเมริกง อเมริกา ไม่ได้ “อเมริกามาก่อน” แต่หนักไปทาง “กำไรต้องมาก่อน” อยู่แล้วแน่ๆ ด้วยเหตุนี้...ถ้าดูจากแนวคิดและมุมมองของบรรดานักวิเคราะห์เศรษฐกิจในอเมริกา ที่องค์กร “National Association for Business Economics” เขาเคยสรุปและรวบรวมเอาไว้เมื่อไม่นานที่ผ่านมา ว่าบรรดานักวิเคราะห์เศรษฐกิจเหล่านี้ ต่างเชื่อว่า “ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ” ของอเมริกากำลังจะเกิดขึ้นในช่วงปลายปีนี้ ไม่ก็ปีหน้า จำนวนปาเข้าไปถึง 72 เปอร์เซ็นต์ด้วยกัน 38 เปอร์เซ็นต์เชื่อว่ากำลังจะเกิดขึ้นปลายปีนี้ อีก 34 เปอร์เซ็นต์เชื่อว่าน่าจะเกิดขึ้นในช่วงปีหน้ามากกว่า แต่โดยสรุปความแล้ว...ภายใต้ “ความเชื่อ” เช่นนี้ คงไม่น่าจะมีนักลงทุนรายใด ที่ “โง่” พอจะกลับมาลงทุนสร้างการจ้างงานในอเมริกา อย่างชนิดเป็นล่ำ เป็นสัน เหมือนอย่างที่รัฐมนตรีพาณิชย์อเมริกา คิดจะฉวยโอกาสจากความฉิบหายของจีน เอาไว้ก่อนล่วงหน้า...

และเมื่อไม่น่าจะมีประเทศใด ประเทศหนึ่ง ที่ได้ประโยชน์จากความฉิบหายในลักษณะเช่นนี้ โอกาสที่ “เศรษฐกิจโลก” จะต้องหัวทิ่ม หัวตำ ไปตามการซวนเซของ “เศรษฐกิจจีน” ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ หรือยิ่งบรรดาชาวโลกออกอาการ “หูแหก-ตาแหก” หนักยิ่งขึ้นเท่าไหร่ โอกาสที่จะต้องได้รับ “ผลกรรม” ตาม “กฎแห่งกรรม” ยิ่งย่อมเป็นไปได้ยิ่งขึ้นเท่านั้น แนวโน้มความเป็นไปทางเศรษฐกิจ ในแบบที่อาจย้อนกลับไปสู่เมื่อช่วงศตวรรษที่แล้ว หรือเมื่อยุคปี ค.ศ. 1920 ที่เรียกขานกันในนาม “The Great Depression” ดังที่อดีตกรรมการผู้จัดการไอเอ็มเอฟ ได้เตือนไว้เมื่อไม่นานมานี้ จึงใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย...
กำลังโหลดความคิดเห็น