เห็นข่าวแวบๆ ว่าที่มาเลเซีย...ถึงขั้นลือๆ ว่าผู้ติดเชื้อ “ไวรัสอู่ฮั่น” อาจต้องกลายสภาพเป็น “ผีดิบซอมบี้” เอาเลยถึงขั้นนั้น!!! และคงไม่ใช่ลือกันแบบเล็กๆ เพราะระดับ “กระทรวงสาธารณสุข” ของมาเลย์ ถึงกับต้องออกมาแก้ข่าว แก้การแพร่ระบาดของ “เชื้อไวรัล” ที่ทำท่าว่าอาจหนักซะยิ่งกว่า “เชื้อไวรัส” หลายต่อหลายเท่า ชนิดต้องกวาดจับผู้เชื้อแพร่เชื้อชนิดนี้ในสื่ออินเทอร์เน็ต อย่าง “เฟซบุ๊ก” ไปแล้วถึง 6 ราย ส่วนจะสั่งปรับเป็นเงิน 50,000 ริงกิต หรือ 380,000 บาท หรือทั้งปรับ ทั้งจำคุกไม่เกิน 1 ปีตามบทลงโทษในกฎหมายมาเลย์ หรือไม่ อย่างไร ก็ไม่ได้ปรากฏอยู่ในรายละเอียดของเนื้อข่าว..
แต่เอาเป็นว่า... “เชื้อไวรัล” ตัวนี้ เอาไป-เอามามันชักจะน่าเกลียด น่ากลัวยิ่งขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในยุคที่การสื่อสารด้วยระบบอินเทอร์เน็ต นับวันมันชักก้าวหน้า ก้าวไกล ยิ่งขึ้นทุกที เรียกว่าถึงขั้นทำให้ประเทศจีน ที่อุตส่าห์ทุ่มเท เสียสละ ทั้งกำลังเงิน กำลังคน ชนิดไม่เสียดม เสียดายเงินๆ-ทองๆ ใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย ระดมผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขกว่าครึ่งล้าน ไปสร้างแนวป้องกันโอบล้อมพื้นที่ศูนย์กลางแห่งการแพร่ระบาดในมณฑลหูเป่ย สร้างสถานที่กักกันโรคอันกว้างขวางใหญ่โต เสร็จสิ้นภายในเวลาแค่ 1 สัปดาห์ อัดเม็ดเงินงบประมาณกว่าแสนๆ ล้านดอลลาร์ ไม่ใช่แต่เฉพาะเพื่อควบคุม ป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโรคชนิดนี้แต่เพียงเท่านั้น ล่าสุด...ธนาคารกลางของจีน (PBOC) ยังยอมควักเงินอีกถึง 173,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 1.2 ล้านล้านหยวน อัดฉีดสภาพคล่องในธนาคารต่างๆ เพื่อไม่ให้ “เศรษฐกิจจีน” ต้องถดถอยลงไปกว่านี้ อันอาจส่งผลให้ “เศรษฐกิจโลก” อาจต้องพลอย “ติดเชื้อ” ไปด้วย ฯลฯ...
แต่ถึงกระนั้น...เมื่อต้องเจอกับ “เชื้อไวรัล” ที่แพร่ระบาดหนักซะยิ่งกว่า “เชื้อไวรัส” หลายต่อหลายเท่า ดูเหมือนว่ารัฐบาลจีนหรือสื่อทางการของจีน อดไม่ได้ที่ต้องบ่นพึมๆ พัมๆ แสดงอาการน้อยใจหนักใจขึ้นมามั่งแล้ว เห็นได้จากกระบอกเสียงของรัฐบาลจีน อย่าง “Global Times” ที่ต้องออกมาบ่นระบายความรู้สึกต่างๆ ไว้ในข้อเขียน บทความ ไม่น้อยกว่า 3-4 เรื่อง ด้วยกัน ไม่ว่าเรื่อง “Using virus to smear China will backfire” หรือการใช้เรื่องไวรัสอู่ฮั่น มาป้ายสีประเทศจีน ย่อมต้องได้รับผลกรรมแห่งการกระทำ อะไรทำนองนั้น ที่เขียนโดย “Yang Sheng” และ “Zhao Yusha” เมื่อช่วงวันที่ 3 กุมภาฯ ที่ผ่านมา หรือบทความเรื่อง “US immoral to attack China’s fight against virus” เมื่อวันที่ 2 กุมภาฯ ว่าด้วยความไร้ศีล ไร้ธรรม ของคุณพ่ออเมริกา ต่อการต่อสู้กับไวรัสของเมืองจีน ไปจนบทความวันเดียวกัน ว่าด้วยเรื่อง “Wilbur Ross disgracefully cites coronavirus as American opportunity” หรือความน่าอับอาย ขายหน้าของรัฐมนตรีพาณิชย์อเมริกา “นายวิลเบอร์ รอสส์” ที่หยิบเอาเรื่องการแพร่ระบาดของไวรัสอู่ฮั่น กลายไปเป็น “โอกาสของอเมริกา” ไปซะแทนที่ ฯลฯ ฯลฯ...
ซึ่งการบ่นระบาย แสดงความน้อยอก น้อยใจ เหล่านี้...ใช่ว่าเป็นเรื่องที่จะ “มองข้าม” ไปได้ง่ายๆ โดยเฉพาะในยุคที่ระบบการสื่อสารยุคไอที หรือยุคอินเทอร์เน็ตทั้งหลาย มันสามารถทำให้ชาวเสือเหลืองอย่างชาวมาเลเซีย เป็นจำนวนไม่น้อย ถึงกับเชื่อๆ กันเอาเลยว่า ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสอู่ฮั่นนั้น...อาจต้องกลายเป็น “ผีดิบซอมบี้” เอาง่ายๆ แม้แต่บ้านเราก็เถอะ...ถึงจะไม่เลยเถิดเตลิดเปิดเปิงไปถึงขั้นนั้น แต่อาการรังเกียจ เดียดฉันท์ชาวจีน หรือนักท่องเที่ยวจีนที่อุตส่าห์ขนเงิน ขนทอง เข้ามาใช้จ่ายในเมืองไทย ก็ออกจะดุเดือดรุนแรงมิใช่น้อย นั่นยังไม่รวมถึงการ “ฉวยโอกาส” หยิบเอาเรื่องราวของไวรัสมา “ด่ารัฐบาล” หรือ “ด่าบิ๊กตู่” แบบชนิดเป็น “คนละเรื่องเดียวกัน” ไปจนได้...
อย่างที่ข้อเขียน บทความต่างๆ ใน “Global Times” ได้พยายามชี้ให้เห็นถึงบางแง่ บางมุมไปบ้างแล้วนั่นแหละว่า ความรู้สึกลึกๆ ในแง่ที่ไม่เป็นมิตร เป็นปรปักษ์ต่อคนจีน แบบที่เรียกว่า “Sinophobia” โดยเฉพาะในหมู่ชาวยุโรปทั้งหลาย มันเคยมีประวัติความเป็นมาก่อนหน้านี้มานานแล้ว ชนิดสามารถย้อนกลับไปถึงยุค “ศตวรรษที่ 19” โน่นเลย ที่บรรดาพวกฝรั่งซึ่งคิดว่าตัวเองมี “อารยธรรม” เหนือกว่า ไม่เพียงแต่มีความรู้สึกดูหมิ่น ดูแคลน รังเกียจชาวจีนที่แพร่กระจายเข้าไปหาโอกาส หางานทำ ไม่ว่าในยุโรปหรืออเมริกา จนเกิดการหยิบยกเอาเรื่อง “ภัยเหลือง” หรือ “Yellow Peril” หรือ “Yellow Alert” มาพูดจา ว่ากล่าว ในสังคมตัวเองต่างๆ นานา เช่น การมองว่าบรรดาชาวจีนเหล่านี้ อาจนำเอาโรคภัยไข้เจ็บมาให้ มาแย่งงานทำ มาฉกฉวยประโยชน์อย่างหนึ่ง อย่างใด ของบรรดาชาวยุโรป ผู้เป็นอะไรที่สูงส่ง วิเศษวิเสโสซะเหลือเกิน เพราะสามารถไล่ถีบ ไล่กระทืบ “อนารยชน” อย่างชาวจีน ให้พังพินาศไปแทบทั้งประเทศด้วย “เรือปืน” เพียงแค่ไม่กี่ลำ ในยุค “สงครามฝิ่น” อะไรทำนองนั้น...
และทัศนคติทำนองนี้...กำลังถูกรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ในยุคนี้ หรือยุคที่จีนได้กลายเป็น “มหาอำนาจรายใหม่” ที่มีพลังทัดเทียมไม่น้อยไปกว่ามหาอำนาจสูงสุดอย่างอเมริกา แถมยังแซงหน้ามหาอำนาจในยุโรปไปแล้วหลายช่วง หลายขุม โดยอาศัย “ไวรัล” ที่ร้ายยิ่งกว่า “ไวรัส” นี่แหละเป็นเครื่องมือการแพร่กระจายข่าวของสื่อตะวันตก อย่างหนังสือพิมพ์ “The Washington Times” ที่พยายามลากเอาเรื่องการแพร่ระบาดของไวรัสอู่ฮั่น ไปเกี่ยวโยงกับ “โครงการอาวุธชีวภาพ” ของจีน ถึงกับทำให้ผู้อำนวยการศูนย์ไซเบอร์สเปซ แห่งมหาวิทยาลัยฟูดาน “นายShen Yi” ต้องออกมาแก้ข่าวกันจ้าละหวั่น เช่นเดียวกับการต้องออกมาโต้ตอบตำหนิหนังสือพิมพ์เดนมาร์ก ที่เอาดวงดาวแต่ละดวงในธงชาติจีน ไปทำเป็นตัวไวรัสกันไปซะนี่ ไปจนนิตยสารเยอรมนีอย่าง “Der Spigel” ที่หยิบเรื่องราวการแพร่ระบาดของไวรัสอู่ฮั่น มาพาดหัวด้วยคำว่า “Made in China” ซะเฉยเลย ฯลฯ...
อย่างที่ผู้อำนวยการโครงการ “Eu-China Program” “นายGeorge N. Tzogopoulos” ได้สรุปเอาไว้นั่นแหละว่า ความรู้สึกลึกๆ แบบที่เรียกว่า “Sinophobia” นั้น เป็นสิ่งที่มีมานานแล้วในหมู่ชาวอเมริกันและยุโรป โดยสามารถแปรรูป แปรร่าง หรือ “วิวัฒนาการ” และ “กลายพันธุ์” แบบเดียวกับเชื้อไวรัสได้เสมอ อันเป็นความรู้สึกในลักษณะที่ไม่ได้ต่างไปจากกัน ของรัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกา “นายไมค์ ปอมเปโอ” ที่ยังคงออกมาตอกย้ำท่ามกลางช่วงบรรยากาศการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสว่า “ศูนย์กลางของภัยคุกคามอเมริกา...ก็คือพรรคคอมมิวนิสต์จีน” หรือรัฐมนตรีพาณิชย์อย่าง “วิลเบอร์ รอสส์” ที่มองการแพร่ระบาดของเชื้อโรคที่ไม่ได้มีสัญชาติ เชื้อชาติใดๆ ในฐานะ “โอกาส” ในการดึงเอาการจ้างงานกลับมาสู่อเมริกา โดยไม่ได้สนใจชีวิตมนุษย์มนา ไม่ได้สนใจความเป็นอยู่ของ “พลโลก” เอาเลยแม้แต่น้อย...
ดังนั้น...โดยมุมมองของคอลัมนิสต์สำนักข่าว “รอยเตอร์” อย่าง “นายปีเตอร์ แอปส์” (Peter Apps) ที่ได้สะท้อนแง่มุมบางแง่มุมเอาไว้ในข้อเขียนเรื่อง “For China, Communication and control are key to tackling virus” ที่เผยแพร่อยู่ในสำนักข่าว “เอเชีย ไทม์ ออนไลน์” และเว็บไซต์ “ผู้จัดการ” ได้นำมาถ่ายทอดและแปลความ ในชื่อว่า “ระบบควบคุมเผด็จการไฮเทคของจีน กลายเป็นกุญแจสำคัญในการรับมือเชื้อไวรัส” ช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา (27 ม.ค.) จึงเป็นอะไรที่น่าสนใจ น่าคิดสะกิดใจเอามากๆ โดยเฉพาะข้อสรุปที่ว่าเอาไว้ว่า “ดูเหมือนจีนกำลังใช้สถานการณ์ทั้งหมดในคราวนี้...เพื่อสาธิต...ให้เห็นว่าโครงสร้างแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จของตน” นั้น มีขีดความสามารถและประสิทธิภาพถึงเพียงไหน อันเป็นการสาธิตในช่วงจังหวะที่ “ระบอบประชาธิปไตยแบบตะวันตก” กำลังออกอาการหัวทิ่ม หัวตำ เพราะระบบและระเบียบโลกยุคใหม่ แบบพอดิบ พอดี ชัยชนะหรือความพ่ายแพ้ในการรับมือกับ “ไวรัส” และ “ไวรัล” ของจีนคราวนี้ จึงเป็นอะไรที่น่าสนใจมิใช่น้อย ไม่ว่าต่อ “ระบบ” หรือ “ระเบียบโลก” ในอนาคตเบื้องหน้า...