คงต้องยอมรับเอาจริงๆ นั่นแหละว่า...ช่วงระหว่างนี้ “ไวรัล” (viral) นั้น...ออกจะเป็นอะไรที่น่ากลัวซะยิ่งกว่า “ไวรัส” (virus) ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า ดังที่ท่านรัฐมนตรีอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม “คุณสุวิทย์ เมษินทรีย์” ท่านได้ออกมาให้ความคิด ความเห็น ไว้เมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา หรือหลังจากได้เห็นอาการ “หูแหก-ตาแหก” ของใครต่อใครในบ้านเรา ไปจนกระทั่งในระดับโลก ต่อกรณีโรคหวัด หรือ “โรคปอดอักเสบอู่ฮั่น” (Wuhan pneumonia) ที่อุบัติขึ้นมาในเมืองจีน ทุกวันนี้...
คือ “ไวรัล” นั้น...อันที่จริงมันก็คงไม่ต่างอะไรไปจาก “ไวรัส” นั่นแหละ หรือถ้าแปลกันแบบตรงๆ ตัว ก็คือ “สิ่งที่เกี่ยวข้องกับไวรัส” อะไรประมาณนั้น อันเป็นสิ่งที่ถูกนำมาใช้อรรถาธิบายถึงลักษณะอาการของการ “แพร่ระบาด” ใดๆ ก็ตาม ที่ออกจะคล้ายๆการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสนั่นเอง ดังนั้นเมื่อการอุบัติขึ้นมาของ “ไวรัสอู่ฮั่น” มันดันถูกแพร่กระจายไปในลักษณะแบบ “ไวรัล” หนักยิ่งขึ้นเรื่อยๆ “ไวรัสอู่ฮั่น” บวกกับ “ไวรัลอู่ฮั่น” มันก็เลยกลายเป็นอะไรที่น่าเกลียด น่ากลัว น่าสยดสยอง น่าขนลุกขนพอง ไปกว่าความเป็นจริง หรือสิ่งที่มันกำลังเกิดขึ้นจริง อย่างชนิดเล่นเอาโลกทั้งโลก (โดยเฉพาะโลกเสมือนจริง) ออกอาการหูแหก-ตาแหก กันไปทั่วทั้งโลกเอาเลยก็ว่าได้...
ทั้งที่ว่าไปแล้ว...โดยตัวเลข สถิติ ของบรรดาผู้เจ็บป่วย ล้มตาย ผู้ที่ติดเชื้อ ไม่ว่าในเมืองจีน หรือประเทศต่างๆ ก็ยังไม่ถึงกับต้องหูแหก-ตาแหกมากมายสักเท่าไหร่นัก แม้ว่าตัวเลขคนตายจะเพิ่มจาก 40-50 ขึ้นไปเป็น 100 กว่าคน จำนวนผู้ติดเชื้อจาก 1,000 กว่าคน เพิ่มขึ้นเป็น 4,515 คน ขอบเขตการแพร่ระบาดจาก 10 ประเทศ เพิ่มขึ้นเป็น 15-16 ประเทศ ในช่วงล่าสุด (28 ม.ค.) แต่ถ้าดูจาก “ปฏิกิริยา” ของผู้ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในระดับโลก อย่างเช่นผู้อำนวยการ “WHO” นายอะไรที่ชื่อออกจะเรียกยากอยู่สักหน่อย (Tedros Adhanom Ghebreyesus) ขณะเดินทางไปเยือนประเทศจีนกันถึงที่ พร้อมด้วยผู้เชี่ยวชาญอิสระจำนวน 16 คน การออกมาแสดงความมั่นอก มั่นใจ ว่าประเทศจีนคงจะ “เอาอยู่” หรือ “สถานการณ์ยังไม่ถึงขั้นที่จะต้องประกาศภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ” รวมทั้งยังไม่คิดแนะนำให้ประเทศหนึ่ง ประเทศใด ต้องอพยพพลเมืองของตัวเองออกจากเมืองจีน ก็น่าจะนำมาใช้เป็นพื้นฐาน หรือมาตรฐานในการใคร่ครวญ พิจารณา ถึงภาวการณ์แพร่ระบาดของ “ไวรัสอู่ฮั่น” ได้มั่ง ไม่มากก็น้อย...
อีกทั้งถ้าดูจาก “ประสบการณ์” ของประเทศจีน...ที่เคยมีมานับตั้งแต่ครั้ง “โรคซาร์ส” (SARS) เมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว การรับมือกับ “โรคไวรัสอู่ฮั่น” ของรัฐบาลจีนคราวนี้ ได้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามนำเอาประสบการณ์ในอดีตมาใช้เป็น “บทเรียน” เพื่อลบล้างข้อผิดพลาดต่างๆ เท่าที่เคยเป็นมา ได้อย่างน่าทึ่ง น่าประทับใจ เอามากๆ ไม่เพียงแต่ทุ่มเทกำลังเงิน กำลังคน ในการควบคุม ป้องกันโรคร้ายดังกล่าว ด้วยเม็ดเงินนับเป็นแสนๆ ล้านดอลลาร์ ด้วยบุคลากรทางการแพทย์กว่าครึ่งหมื่นที่ถูกระดมมาโอบล้อมแนวป้องกันมณฑลหูเป่ยทั้งมณฑล การไม่คิดเม้มมิดปิดบัง พร้อมเปิดเผยข้อมูลทุกสิ่งทุกอย่าง แบบตรงไป-ตรงมา หรือแบบ “ทันท่วงที-ถูกต้อง แม่นยำ-บริสุทธิ์และโปร่งใส” ตามการตอกย้ำของผู้นำสูงสุดอย่าง ประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ที่ออกมาประกาศว่าจะต้อง “เอาชนะปิศาจ” ตัวนี้ให้จงได้ ด้วย “ปฏิกิริยา” เช่นนี้ ก็น่าที่จะช่วยเพิ่มน้ำหนักของความมีเหตุมีผล ในการใคร่ครวญพิจารณาถึงภาวการณ์ดังกล่าว ได้อย่างไม่ถึงกับต้องหูแหก-ตาแหก จนเกินไป...
หรือแม้แต่บรรดาพวกหูแหก-ตาแหกในบ้านเราก็เถอะ...ไม่เพียงแต่ปฏิกิริยาจากผู้มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง อย่างผู้อำนวยการ “WHO” หรือผู้ซึ่งกำลังมุ่งมั่นแก้ไข แก้ปัญหา อย่างผู้นำจีน ที่น่าจะพอช่วยให้เบาใจ สบายใจ ขึ้นมาได้บ้าง แต่โดยข้อมูล สถิติในระดับโลก ที่จัดให้ประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา ได้ชื่อว่าเป็นประเทศอันดับต้นๆ ในการรับมือกับฉากสถานการณ์ดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพเอามากๆ ก็น่าจะเลิกไปลากเอา “บิ๊กตู่” หรือใครต่อใครมาเป็น “เหยื่อไวรัล” ให้ต้องน่าเกลียด น่าทุเรศ หรือน่าขยะแขยงโดยใช่เหตุ...
คือเอาเข้าจริงๆ แล้ว...ในตอนที่ “เชื้อไวรัล” หรือการแพร่ระบาดแบบไวรัล มันยังไม่ถึงกับหนักหน่วงรุนแรงเท่ายุคนี้ หรือเมื่อแค่ประมาณเกือบ 20 ปีที่ผ่านมานี่เอง ช่วงปีค.ศ. 2009 ต่อ 2010 ระยะนั้น...การระเบิดของ “ไวรัส” อีกชนิดหนึ่ง คือสายพันธุ์ “Influenza” ไม่ใช่สายพันธุ์ “Corona” เหมือนกับไวรัสอู่ฮั่น ที่เรียกๆ กันว่า “Swine Flu” หรือ “Pig Flu” หรือเรียกแบบไทยๆ ว่า “ไข้หวัดหมู” นั่นแหละ มันเคยระบาดหนักซะยิ่งกว่า “ไข้หวัดอู่ฮั่น” หรือ “ปอดอักเสบอู่ฮั่น” ไม่รู้กี่ร้อย กี่พันเท่า แถมระบาดในประเทศคุณพ่ออเมริกาซะอีกต่างหาก คือเริ่มโผล่ให้เห็นแถวๆ ประเทศเม็กซิโกเป็นอันดับแรก เมื่อช่วงเดือนมีนาคม ค.ศ. 2009 จากนั้นก็กระจายไปยังเมืองซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย ก่อนระบาดต่อไปยังเท็กซัส และลามไปยังรัฐต่างๆ ถึง 13 รัฐในอเมริกา เล่นเอาบรรดาอเมริกันชน ตายไปเป็นหมื่นๆ หรือถ้าว่ากันตามตัวเลขสถิติขององค์กร “CDC” (US Center for disease and Prevention) ที่เผยแพร่อยู่ในวารสาร “Journal of American Medical Association” จำนวนชาวอเมริกันที่ตายเพราะ “ไข้หวัดหมู” ในครั้งนั้น ปาเข้าไปถึง 8,870-18,300 คน และถ้าว่ากันถึงระดับโลกแล้ว ตายไปถึง 151,000-579,000 ราย เอาเลยถึงขั้นนั้น เรียกว่า...มากซะยิ่งกว่าผู้ที่ต้องตายเพราะ “ไข้หวัดอู่ฮั่น” ไม่รู้กี่ร้อย กี่พันเท่า...
แต่ก็ด้วยเหตุเพราะการระบาดของ “ไวรัส” ยุคนั้น...มันยังไม่ถึงกับมี “ไวรัล” เข้าไปผสมโรง เข้าไปร่วมด้วยช่วยกัน หรือช่วยในการแพร่ระบาดมากมายสักเท่าไหร่ ผู้ที่เป็นต้นเหตุในการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “ไข้หวัดหมู” อย่างคุณพ่ออเมริกา จึงไม่ได้ถึงกับน่าเกลียด น่าชัง อะไรมากมาย แม้จะไม่ได้ลงทุน ลงแรง ไม่ได้แสดงความมุ่งมั่น พยายาม ในการเอาชนะ “ปิศาจ” หรือชนะโรคร้ายในลักษณะที่ว่า เมื่อเทียบกับรัฐบาลจีนทุกวันนี้ หรือยังไม่มีหนังสือพิมพ์ในยุโรปฉบับหนึ่ง ฉบับใด คิดเอา “ธงชาติอเมริกา” ไปเยาะเย้ย เสียดสี แบบที่หนังสือพิมพ์ขวาจัด ที่มีนโยบายเหยียดชาติ เหยียดเผ่าพันธุ์ แต่เชิดชูชาวยิวอย่างเป็นพิเศษ แห่งประเทศเดนมาร์ก ชื่อว่า “Jyllands-Posten” ซึ่งเคยนำเอา “ศาสดามูฮัมหมัด” ของชาวอิสลามไปล้อเลียน หยิบเอา “ธงชาติจีน” ไปแต่งแต้มให้ภาพดวงดาวในธงชาติ กลายเป็นภาพตัวไวรัสไปแทนที่ จนส่งผลให้ผู้ที่เป็นต้นเหตุในการแพร่ระบาด “ไวรัสอู่ฮั่น” อย่างประเทศจีน กลายเป็นอะไรที่น่าเกลียด น่าชัง เพราะ “ไวรัล” ที่ร้ายซะยิ่งกว่า “ไวรัส” นั่นแล...
ด้วยเหตุนี้...ระหว่างที่ฟังข่าวคราวต่างๆ ระหว่างที่จะหยิบเอาอะไรมาโพสต์ มาแชร์ ก็คงต้องคำนึงถึงความร้ายกาจของ “ไวรัล” ที่หนักซะยิ่งกว่า “ไวรัส” เอาไว้ด้วย เพราะการแพร่ระบาดของสิ่งที่เกินไปกว่าความจริง หรือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ไปๆ-มาๆ มันอาจส่งผลให้ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเป็นไปตาม “กฎแห่งกรรม” เอาง่ายๆ เพราะแค่ดูจาก “ตลาดหุ้น” ทั่วโลกทุกวันนี้ ไม่ว่าหุ้นดาวโจนส์เอสแอนด์พี แนสแดก หุ้นยุโรป จีน ญี่ปุ่น อินเดีย รวมทั้งแถบบ้านเรา ฯลฯ ต่างตกจากหอคอย่นกันไปเป็นแถบๆ ค่าเงินหยวนอ่อนยวบเมื่อเทียบกับช่วงต้นปี ฯลฯ อันทำให้ “เศรษฐกิจโลก” ที่ทำท่าว่าใกล้พังอยู่แล้ว ย่อมมีสิทธิ์พังหนักยิ่งขึ้นไปใหญ่ และนั่นเอง ที่ย่อมมีผลต่อเนื่องไปยัง “ตัวไวรัล” ทั้งหลาย ให้ต้องได้รับ “ผลแห่งการกระทำ” ของตัวเองกันจนได้ นั่นแล...