xs
xsm
sm
md
lg

จากเศรษฐกิจจีนถึงเศรษฐกิจโลก

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท



แทนที่จะไป “หูแหก-ตาแหก” กับเรื่อง “ไวรัสอู่ฮั่น” ที่ใครต่อใครหยิบมาโพสต์ มาแชร์ ชนิดสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นทั่วทั้งโลกโซเชียล มีเดีย ไม่ว่าโดยผู้ที่หูแหก-ตาแหกเพราะความบริสุทธิ์ไร้เดียงสา หรือผู้ที่ “มีงาน” หรือ “มีวาระซ่อนเร้น” คือประเภทที่พยายามไปหยิบเอาเชื้อโรคเมืองจีน มาด่านายกรัฐมนตรีไทยอย่าง “บิ๊กตู่” ซะเฉยเลย เล่นเอารัฐบาลที่ออกจะ “ขาลง” อยู่แล้ว ทำท่าว่าชักเริ่มมีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก หายใจเหนื่อยหอบอย่างเห็นได้โดยชัดเจน ดังนั้นวันนี้...เลยน่าจะชวนให้ลองเปลี่ยนไปมองเรื่อง “เศรษฐกิจจีน” โดยรวมๆ น่าจะเข้าท่ากว่า...

คืออันที่จริง...แม้จะไม่มีเรื่อง “ไวรัสอู่ฮั่น” แต่อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในช่วงหลังๆ ก็ออกจะสร้างความซึมเซาโศกสลดให้กับใครต่อใครในโลกพอสมควรอยู่แล้ว เพราะจากที่เคยโตๆ กันในระดับ “มหัศจรรย์” มาโดยตลอด เมื่อการโตมันอาจช้าลงลดลง ปริมาณความต้องการสินค้าต่างๆ ในแต่ละซีกโลกของจีน ไม่ว่า “น้ำมัน” ที่เคยซดๆ กันในระดับกลายเป็นผู้บริโภคอันดับ 1 ของโลก แซงหน้าคุณพ่ออเมริกาไปไม่นานมานี้ “ปูนซีเมนต์” ที่เอาไปสร้างอะไรต่อมิอะไรในเมืองจีนกันเป็นจำนวนถึง 45 เปอร์เซ็นต์ของปูนซีเมนต์ที่ผลิตขึ้นมาในโลกใบนี้ “อะลูมิเนียม” ประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ของทั่วทั้งโลก ถ่านหิน ทองแดง หรือเหล็ก ฯลฯ ฯลฯ มันย่อมต้องลดๆ ตามไปด้วยอย่างมิอาจปฏิเสธ และนั่นย่อมส่งผลต่อบรรดาผู้ผลิต หรือผู้ขายบรรดาสินค้าเหล่านี้ให้กับคุณพี่จีน ให้ต้องโศกเศร้า ซึมกะทือ อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้...

นั่นยังไม่รวมถึงบรรดา “นักท่องเที่ยวชาวจีน” ที่เคยเข้ามาเยี่ยวใส่ ขี้ใส่ “วัดร่องขุ่น” ของอาจารย์ “เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์” จน “ศิลปินแห่งชาติ” ของบ้านเรา อดน็อตหลุด น็อตหลวมขึ้นมามิได้ ที่ถือเป็นนักท่องเที่ยวซึ่งมีจำนวนสูงที่สุดในโลก หรือมีปริมาณปีละไม่ต่ำกว่า 143 ล้านคนนับแต่ช่วงปี ค.ศ. 2017 เป็นต้นมา ขนเอาเงินหยวน หรือเงินเหรินหมินปี้ มาใช้ มาปี้ มาจ่ายโน่นๆ นี่ๆ ในประเทศต่างๆ รวมถึงประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา โดยไม่ต้องออกแรง “ชิม-ช็อป-ใช้” ใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อยเพราะเมื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนไม่คึกๆ คักๆ ไม่ได้มหัศจรรย์เหมือนเก่า อารมณ์ความรู้สึกอยากเที่ยวไหนต่อไหนของชาวจีนที่ลดๆ ลงไป ถึงกับส่งผลให้รัฐมนตรีท่องเที่ยวและกีฬา บ้านเรา เกิดอาการ “ไอเดียกระฉูด” ถึงขั้นคิดงัดเอามาตรการ “ชิม-ช็อป-ใช้-เวอร์ชั่นอินเตอร์” มาล่อลวงพวกนักท่องเที่ยวให้ต้องมาเที่ยวเมืองไทยให้จงได้ ถึงขั้นนั้น...

จากแนวโน้มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนเมื่อปีที่ผ่านมา (ค.ศ. 2019) ที่อยู่ในระดับ 6.1 เปอร์เซ็นต์ หรือระดับต่ำที่สุดในรอบ 29 ปี...มาปีนี้ (ค.ศ. 2020) บรรดาผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลาย ดูจะเห็นพ้องไปแนวเดียวกัน ว่าน่าจะไม่เกินไปกว่าระดับเฉลี่ยประมาณ 5.5-5.9 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง และนั่นย่อมก่อให้เกิดความโศกเศร้า ซึมกะทือ สำหรับใครต่อใครในโลกพอสมควรแล้ว แต่เมื่อจีนเขาดันต้องเจอกับ “โรคไวรัสอู่ฮั่น” เข้าไปอีกดอก อันนี้นี่แหละ...ที่น่าจะต้อง “หูแหก-ตาแหก” ซะยิ่งกว่าโรคหวัด โรคปอด อันเนื่องมาจากการกินงู กินค้างคาวเป็นไหนๆ เพราะมันอาจส่งผลให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนที่ต่ำเตี้ยอยู่แล้ว ยิ่งมีแต่สาละวันเตี้ยลง-เตี้ยลง หนักขึ้นไปใหญ่...

หรืออาจทำให้แนวโน้มความเป็นไปของเศรษฐกิจโลก...ที่ออกจะน่าเกลียด น่ากลัว พอสมควรอยู่แล้ว ยิ่งน่าสยดสยอง ขนลุก-ขนพอง ยิ่งขึ้นไปใหญ่คือเผลอๆ...อาจเป็นไปอย่างที่อดีตกรรมการผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คุณป้า “Kristalina Georgieva” ท่านได้ออกมาเตือนๆ ไว้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา นั่นคือ...โอกาสที่จะเกิดการหวนกลับไปสู่ภาวะ “อภิมหาวิกฤตเศรษฐกิจ” หรือ “The Great Depression” เหมือนช่วงยุคศตวรรษที่ผ่านมา ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย!!!

อย่างไรก็ตาม...สำหรับ “ไวรัสอู่ฮั่น” หรือ “โรคหวัดอู่ฮั่น” ในคราวนี้ ถ้าฟังจากบรรดาผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลาย ก็ดูจะยังไม่มี “กูรู” รายใด ที่กล้าออกมา “ฟันธง” แบบเต็มผืน เต็มด้าม ว่ามันจะส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจจีน รวมทั้งเศรษฐกิจโลกกันไปถึงขั้นไหน ส่วนใหญ่...ยังเห็นว่า “เร็วไป” หรือ “ข้อมูลยังไม่เพียงพอ” ที่จะชี้วัด ตัดสินผลลัพธ์ หรือผลกระทบออกมาให้ชัดๆ แม้จะพอมี “ข้อมูลทางประวัติศาสตร์” พอให้เทียบเคียงได้บ้างกับเมื่อครั้งอดีต หรือเมื่อครั้งเกิด “โรคซาร์ส” (Severe Acute Respiratory Syndrome-SARS) ขึ้นมาแถวๆ มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน เมื่อช่วงปี ค.ศ. 2002-2003 โดยครั้งนั้น...ว่ากันว่า ได้ส่งผลกระทบให้ “GDP” ของจีน ลดลงไปถึง 2 เปอร์เซ็นต์เอาเลยถึงขั้นนั้น หรือจากที่เคยโตๆ อยู่ประมาณ 11.1 เปอร์เซ็นต์ ลดวูบลงไปเหลือแค่ 9.1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง แม้แต่เกาะฮ่องกงซึ่งมีพื้นที่ติดๆ กับมณฑลกวางตุ้ง นอกจากตลาดหุ้นแดงเถือกไปทั้งกระดานสายการบินต่างๆ โดยเฉพาะคาเธ่ย์ แปซิฟิค ยังประกาศลดเที่ยวบินไปยังเกาะฮ่องกงลงไปถึง 45 เปอร์เซ็นต์ มูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจโดยรวม ปาเข้าไปนับเป็นหมื่นๆ แสนๆ ล้านดอลลาร์...

แต่ก็นั่นแหละ...ด้วยเหตุเพราะ “โรคซาร์ส” คราวนั้น มันอาจผิดแผกแตกต่างไปจาก “โรคหวัดอู่ฮั่น” คราวนี้อยู่พอสมควร ไม่ว่าในแง่จำนวนผู้เสียชีวิต ผู้ติดเชื้อ และขอบเขตพื้นที่การแพร่กระจาย เพราะจำนวนผู้เสียชีวิตด้วยโรคซาร์สปาเข้าไปถึง 916 รายจำนวนผู้ติดเชื้อ 8,422 ราย หรือขึ้นไปถึงเกือบหมื่นราย จำนวนพื้นที่ที่เชื้อโรคแพร่กระจายลุกลามไปถึง 29 ประเทศ ขณะที่โรคหวัดอู่ฮั่นคราวนี้ ยังตายไม่ถึงร้อย หรือน่าจะประมาณไม่เกิน 50 ราย จำนวนผู้ติดเชื้ออยู่ในระดับพันกว่าๆ หรือ 1,300-1,400 ราย ส่วนจำนวนประเทศที่เชื้อโรคแพร่กระจายไปถึง ไม่เกินไปกว่า 10 ประเทศต้นๆ และที่สำคัญเอามากๆ ก็คือ...รัฐบาลจีนยุคนั้นกับรัฐบาลจีนยุคนี้ มีปฏิกิริยาต่อเรื่องราวเหล่านี้แตกต่างกันแบบคนละเรื่อง-คนละม้วน คือนอกจากไม่คิดจะเม้มมิดปิดบังใดๆ แล้ว ผู้นำจีนยุคปัจจุบัน อย่างประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ท่านยังออกมาย้ำแล้วย้ำอีก ให้บรรดาเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องทั้งหลาย ต้องพร้อมที่จะ “เผยแพร่ข้อมูลอย่างทันท่วงที อย่างถูกต้องแม่นยำ และอย่างบริสุทธิ์โปร่งใส ฯลฯ” ซะอีกต่างหาก...

ดังนั้น...โอกาสที่จะควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นในขอบเขตจำกัด หรือบรรเทาผลกระทบไม่ให้หนักหนาสาหัสไปกว่าครั้งอดีตเท่าที่เคยเป็นมา ย่อมมีความเป็นไปได้สูงอยู่พอสมควร โดยเฉพาะเมื่อบรรดาชาวจีนบนแผ่นดินใหญ่ ต่างยินยอมพร้อมใจที่จะ “เสียสละ” ชนิดสื่อทางการของจีน อย่าง “Global Times” ต้องออกมา “Salute” หรือออกมาแสดงความ “คารวะ” ไว้ในบทบรรณาธิการเมื่อวัน-สองวันนี้ จากการที่ต้องถูกกักตัวไว้ในบ้าน ในเมือง ไม่อาจออกไปไหนต่อไหน ไม่มีโอกาสท่องเที่ยวในเทศกาลตรุษจีน เทศกาลไหว้พระจันทร์ ไปจนถึงเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ อย่างใครต่อใครเขาได้เลย...

ยกเว้น....บรรดาผู้ที่ไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นจีน หรือบรรดาพวก “ครึ่งฝรั่ง-ครึ่งฮ่องกง” หรือบรรดานักประท้วงชาวฮ่องกงนั่นแหละ ดังที่พอทราบๆ จากข่าวคราวของสำนักข่าวต่างประเทศแต่ละสำนักกันไปบ้างแล้ว ว่าขณะที่ทางการฮ่องกงเขาพยายามดัดแปลงตึกอาคาร “Fai Ming Estate” ย่านฟาหลิง ให้เป็นสถานที่กักกันผู้ต้องสงสัยว่าอาจติดเชื้อ หรือเป็นที่พักผ่อน นอนหลับของบรรดาแพทย์ พยาบาลผู้เสียสละตัวเอง ในการควบคุมโรคระบาดชนิดนี้ ไม่ให้ลุกลามไปสู่ผู้อื่นหรือสู่ชาวโลกได้อีก แต่จู่ๆ เมื่อช่วงวันอาทิตย์ (26 ม.ค.) ที่ผ่านมา ก็โดนบรรดากุมารนักประท้วงชาวฮ่องกง ใส่เสื้อดำ สวมหน้ากาก ปาระเบิดขวดเข้าไปเผาตึก เผาอาคารซะดื้อๆ!!! อันนี้...ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ การเมือง สังคมของชาติไหนต่อชาติไหนก็แล้วแต่ ย่อมมีแต่ฉิบหายกับฉิบหายลูกเดียวเท่านั้นเอง ถ้าดันต้องเจอกับมนุษย์ประเภทนี้...
กำลังโหลดความคิดเห็น