เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงหนีไม่พ้นต้อง “ตามไปดู” การแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่อาจเรียกว่า “โรคหวัดอู่ฮั่น” หรือ “โรคปอดอักเสบอู่ฮั่น” (Wuhan pneumonia) อะไรประมาณนั้น เพราะเป็นเรื่องที่ออกจะมาแรงแซงโค้ง ซะเหลือเกิน สร้างความหวาดหวั่นขวัญสยอง ความหูแหก ตาแหก ให้กับใครต่อใครกันในระดับโลก จนแม้แต่บ้านเรายังต้องหยิบเอาเรื่องนี้มาโพสต์ มาแชร์ระดับสนั่นหวั่นไหว ในโลกโซเชียล มีเดีย หรือถึงกับนำมาใช้เป็น “เงื่อนไข-เหตุปัจจัย” ในการ “ด่ารัฐบาลบิ๊กตู่” ชนิดกลายเป็น “คนละเรื่องเดียวกัน” ไปจนได้...
คือไม่ว่าสมมติฐานที่มา-ที่ไปของไวรัสสายพันธุ์นี้...จะมีต้นกำหนดมาจาก “งู” จาก “ค้างคาว” หรือเผลอๆ อาจมาจาก “อีแร้ง” (อินทรี) หรือไม่ประการใด ก็แล้วแต่จะว่ากันไป แต่การที่มันได้แพร่ระบาดออกมาจากตลาดอาหารทะเล ที่ชอบเอาสัตว์แปลกๆ มาขายมาทำอาหารประเภท “เปิบพิสดาร” ควบคู่ไปด้วย ในเมือง “อู่ฮั่น” (Wuhan) เมืองสำคัญในมณฑลหูเป่ย แถบจีนภาคกลาง โดยสามารถแพร่กระจาย “จากคนสู่คน” และทำให้เชื้อโรคสายพันธุ์นี้จึงแพร่ระบาดด้วยการอาศัยคนเป็นพาหะ กระจัดกระจายไปยังประเทศต่างๆ ไม่น้อยกว่า 10 ประเทศทั่วโลกไปแล้วในทุกวันนี้ ไม่ว่าไล่มาตั้งแต่ไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา ประเทศญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน เวียดนาม สิงคโปร์ ฝรั่งเศส เนปาล ออสเตรเลีย ไปยันคุณพ่ออเมริกาโน่นเลย มันเลยเป็นอะไรที่ออกจะสร้างความขนลุกขนพอง ให้กับผู้คนในระดับทั่วทั้งโลกมิใช่น้อย...
โดยเฉพาะเมื่อตัวเลขผู้ที่ต้องตายไปเพราะเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ตัวนี้ หรือเพราะยังไม่อาจหาหนทางเยียวยา กำจัด สกัดกั้น การออกฤทธิ์ ออกเดช หรือการกลายพันธุ์ของไวรัสนี้ได้อย่างทันการณ์ ทันท่วงที มีจำนวนเพิ่มขึ้นๆ ไปถึงประมาณ 40 เกือบ 50 รายไปแล้วในทุกวันนี้ ส่วนจำนวนผู้ที่ติดเชื้อก็แพร่ขยายไปถึงไม่ต่ำกว่า 1,300 ราย แต่นั่นก็ใช่ว่า...เป็นเรื่องที่จะต้องไปหวาดหวั่นขวัญสยองจนเกินเหตุ เพราะถ้านำไปเปรียบเทียบกับจำนวนผู้ที่ต้องล้มตายด้วยภาวะ “โรคระบาด” ในยุคก่อนๆ หรือยุคที่เทคโนโลยีทางการแพทย์ ยังไม่ถึงกับก้าวหน้า เติบโต เท่ากับยุคหลังๆ นี้ เช่น การตายเพราะโรคระบาดอย่างกาฬโรค ในยุโรป ไข้ทรพิษในละตินอเมริกา หรือแม้แต่ซิฟิลิส ในประเทศหมู่เกาะแปซิฟิก ฯลฯ อันนั้น...ต้องเรียกว่าตายกันเป็นล้านๆ ระดับแทบทำเอาสูญเผ่า สูญพันธุ์ ไปเลยก็ว่าได้ หรือแม้แต่เทียบกับการระบาดของ “โรคไข้หวัดซาร์ส” (SARS) เมื่อช่วงเกือบ 20 ปีที่แล้ว ที่เกิดขึ้นในเมืองจีนเช่นเดียวกันนั่นแหละ ครั้งนั้น...ก็ตายไปถึง 700 เกือบ 800 ราย ก่อนที่จะ “เอาอยู่”...
อีกทั้งถ้าดูจาก “ปฏิกิริยา” ขององค์กรด้านสาธารณสุขระดับโลก อย่าง “WHO” (World Health Organization) ก็ยังไม่ถึงกับตื่นเต้น ตกใจ ชนิดต้องจัดระดับมาตรฐานป่าวประกาศให้เป็น “ภาวะฉุกเฉินระดับโลก” คือยังถือเป็นเพียงแค่ “ภาวะฉุกเฉินภายใน” ของประเทศจีน ที่จะต้องหาทาง “เอาอยู่” ให้จงได้ หรือถ้าว่ากันตามคำพูดของผู้อำนวยการ “WHO” ก็คือ “มันอาจเร็วเกินไป” ที่จะประกาศให้เป็น “ภาวะฉุกเฉินระดับโลก” ด้วยเหตุเพราะความพยายามเอาชนะการแพร่ระบาดของเชื้อโรคชนิดนี้ให้อยู่หมัดให้จงได้ของประเทศจีนเมื่อ ณ วินาทีนี้ ออกจะเป็นอะไรที่เอาจริง เอาจัง เอามากๆ ต่างไปจากช่วงการแพร่ระบาดของ “โรคซาร์ส” เมื่อ 17 ปีที่แล้ว แบบชนิดคนละเรื่อง-คนละม้วน...
คือครั้งที่เกิดการระบาดของ “โรคซาร์ส” ในแถบมณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน ที่ว่ากันว่า...น่าจะอุบัติขึ้นมาในช่วงประมาณกลางเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 2002 แต่กว่าที่รัฐบาลจีนยุคนั้น จะแจ้งให้กับองค์กรสาธารณสุขระดับโลก อย่าง “WHO” ได้รับรู้ รับทราบ ก็ปาเข้าไปเกือบกลางๆ เดือนกุมภาพันธ์ปี ค.ศ. 2003 หรือเกิดความพยายามปกปิดข่าวคราวต่างๆ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับภาวะความเป็นไปทางเศรษฐกิจ สังคม ภายในของจีน ตามธรรมชาติของบรรดาประเทศที่ปกครองด้วยระบอบ “เผด็จการ” หรือตามลักษณะอาการประเภท “ม่านไม้ไผ่” อะไรทำนองนั้น การแพร่ระบาดมันจึงลุกลาม ขยายขอบเขต หรือหาทาง “เอาอยู่” ได้ค่อนข้างลำบากอยู่พอสมควร...
ต่างไปจากจีนยุคนี้...หรือยุค “สี จิ้นผิง” มาเอง ที่เมื่อโรคหวัดอู่ฮั่นเริ่มปรากฏตัวให้เห็นชัดเจน เมื่อช่วงประมาณวันที่ 12 ธันวาคม ปีที่แล้ว หรือปี ค.ศ. 2019 รัฐบาลเผด็จการยุคใหม่ของคุณน้า “สี จิ้นผิง” ท่านรีบแจ้งไปยัง “WHO” ในช่วงวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ.2019 หรือแค่ไม่กี่วันหลังจากแน่ใจว่านี่คือโรคระบาดจากไวรัสสายพันธุ์ใหม่ และประกาศเตือนภัยถึงโรคระบาดดังกล่าวในประเทศจีนเมื่อวันที่ 7 มกราคม ค.ศ. 2020 โดยไม่คิดเม้มมิดปิดบังใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย แถมยังไม่แสดงอาการเสียดม เสียดาย อาลัย อาวรณ์ต่อผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับความเป็นไปในทางเศรษฐกิจ หรือเรื่องเงินๆ-ทองๆแต่อย่างใด ชนิดถึงขั้นออกมาตรการ “ปิดบ้าน-ปิดเมือง” เพื่อหาทางสกัดกั้น ควบคุม ไม่ให้โรคระบาดดังกล่าวแพร่กระจายไปสู่บรรดาชาวโลก อย่างชนิดน่าทึ่ง น่าประทับใจ เอามากๆ...
คือถ้าดูจากเมือง “อู่ฮั่น” อันเป็นจุดเริ่มต้นของโรคระบาดที่ว่า...อาจต้องเรียกว่าถือเป็น “อู่ข่าว-อู่น้ำ” ระดับสำคัญเอามากๆ ของพื้นที่แถบภาคกลางของจีน หรือของประเทศจีนทั้งประเทศเอาเลยก็ว่าได้ เป็นเมืองที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ ไม่น้อยไปกว่าเซี่ยงไฮ้ หรือปักกิ่ง เอาเลยถึงขั้นนั้น เป็นเมืองใหญ่ที่สุดของมณฑลหูเป่ย และเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงสุดในแถบภาคกลางของจีน เป็นศูนย์กลางของการคมนาคมที่เชื่อมต่อกับเมืองสำคัญๆ อีกไม่น้อยกว่า 9 จังหวัด ประกอบด้วยเส้นทางรถไฟถึง 12 สาย ถนนและทางด่วนที่เชื่อมต่อกับเมืองหลักๆ เป็นกุญแจของการขนส่งภายในประเทศจีน จนมีสมญาว่าเป็น “ชิคาโกของประเทศจีน” เอาเลยก็ว่าได้ อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางการเงิน การค้าและการลงทุน เป็นที่ตั้งของบริษัทไฮเทคไม่น้อยกว่า 1,656 บริษัท สถาบันวิจัยถึง 350 แห่ง บริษัทลงทุนต่างประเทศกว่า 500 บริษัท มีจีดีพีของตัวเองสูงถึง 224,000 ล้านดอลลาร์ เมื่อช่วงปี ค.ศ. 2018 มีจำนวนประชากรแออัดยัดเยียดถึง 11 ล้านคนเป็นอย่างน้อย ฯลฯ แต่เพื่อควบคุมและป้องกันไม่ให้โรคระบาดที่ว่า แพร่กระจายออกไปมากกว่านี้ รัฐบาล “สี ทนได้” ท่านถึงกับตัดสินใจ “ปิดบ้าน-ปิดเมือง” ชนิดคนในไม่ให้ออก-คนนอกไม่ให้เข้า อย่างไม่เสียดม เสียดาย เงินๆ-ทองๆ เอาเลยแม้แต่น้อย...
เรียกว่า...ไม่ว่าจะเป็นรถไฟ รถยนต์ เรือเฟอร์รี่ เครื่องบิน ฯลฯ ในเมืองอู่ฮั่น ต่างถูกห้ามไม่ให้วิ่ง ไม่ให้เดินตั้งแต่ช่วงเวลา 10.00 น.ของวันพฤหัสฯ (23 ม.ค.) ที่ผ่านมา รวมทั้งยังกระจายมาตรการดังกล่าวครอบคลุมไปยังเมืองใกล้เคียง แม้แต่ในกรุงปักกิ่งสถานที่ใดๆ ก็ตามที่ผู้คนต้องเข้ามาแออัดยัดเยียด ไม่ว่าสถานที่ท่องเที่ยวอย่าง “พระราชวังต้องห้าม” บาร์ ไนต์คลับ โรงหนัง โรงละคร อินเทอร์เน็ตคาเฟ่ ฯลฯ ถูก “รัฐบาลเผด็จการรุ่นใหม่” ของจีน สั่งปิดซะเกลี้ยง!!! ด้วยจุดมุ่งหมายเพื่อมิให้โรคระบาดจากประเทศจีน ส่งผลกระทบไปยังใครต่อใครในโลกให้มากเกินไปกว่านี้...
อันนี้นี่แหละ...ที่ทำให้กระทั่งนักข่าวอเมริกันแห่งสำนักข่าว “CNN” อย่าง “Julia Hollings” ยังอดไม่ได้ที่ต้องยอมรับว่า “A lot has changed since China’s SARS outbreak 17 year ago.” หรือได้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบชนิดเต็มสูบ เต็มด้าม ระหว่างจีนยุคอดีตกับยุคปัจจุบัน อันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าจะสะท้อนให้เห็นว่า “เผด็จการยุคใหม่” ของจีนนั้น พร้อมที่จะเปิดกว้างสู่โลก และพร้อมรับผิดชอบต่อความเป็นไปในโลก อย่างไม่คิดบิดผัน ปิดบัง เพียงเพื่อ “เอาตัวรอด” ไปวันๆ แต่เพียงเท่านั้น และนั่นเองที่ทำให้สิ่งที่บทบรรณาธิการของสื่อทางการจีน อย่าง “Global Times” เรียกว่า “การเสียสละของชาวอู่ฮั่น” ไว้ในข้อเขียน บทความ ชื่อว่า “Salute to Wuhan citizens for their sacrifice” เมื่อช่วงวันที่ 23 มกราคมที่ผ่านมา จึงไม่ถึงกับ “เว่อร์” มากมายสักเท่าไหร่นัก และเป็นเรื่องที่ชาวโลกทั้งหลาย น่าจะให้กำลังใจต่อความพยายาม “เอาชนะ” โรคระบาดของจีน มากกว่าแค่หูแหก ตาแหก ไปวันๆ...