เป็นประโยคสุดท้ายในการสรุปแถลงนโยบายประจำปีของปธน.ทรัมป์ ซึ่งดูท้าทายและสร้างความหวังให้กับประชาชนอเมริกัน โดยเฉพาะฐานเสียงของเขาที่รักและบูชาเขาไม่เสื่อมคลาย
การแถลงนโยบายประจำปีหรือ SOTU : State of The Union Address ก็คือ เวทีละครการเมืองใหญ่ของประชาธิปไตยอเมริกัน (เป็น Political Theatre) ซึ่งจะบรรจุไว้ด้วยความสำเร็จของการบริหารราชการแผ่นดินในปีที่ผ่านมา และพูดถึงแผนสำคัญๆ ที่จะดำเนินการต่อ
แต่สำหรับปีนี้ ดูจะดุเดือดเลือดพล่านมาก เพราะเป็นปีสุดท้ายในการบริหารแผ่นดิน และในอีกเพียง 8 เดือนก็จะลงคะแนนเลือกผู้นำคนใหม่ ดังนั้น ทรัมป์จึงยิ่งกว่ายกตนข่มท่าน ตลอดการปราศรัยครั้งนี้ แม้ว่า กำลังอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการลงคะแนนในวุฒิสภาเพื่อถอดถอนเขาออกจากตำแหน่งก็ตาม
เนื้อหาสำคัญก็แน่นอนเป็นสภาวะเศรษฐกิจที่ทรัมป์ยกเอาตัวเลขดัชนีต่างๆ ที่วัดถึงการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และยกหางตนเองว่าเป็นผู้ผลักดันให้เศรษฐกิจดีเลิศทำลายสถิติต่างๆ ที่อดีตผู้นำโดยเฉพาะรัฐบาลก่อน-ของโอบามา-ทำไม่ได้ ทั้งๆ ที่ในช่วงของโอบามา เศรษฐกิจกำลังตั้งลำเพื่อขยายตัวเต็มที่ ซึ่งมาปรากฏผลให้เห็นในยุคของทรัมป์นั่นเอง ซึ่งถ้าไม่เจอ trade war ถึง 2 ปีที่ทรัมป์กระทำต่อจีน และยุโรป (รวมถึงจับพลัดจับผลูไปถึงญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ รวมทั้ง Asean-เพราะการยกเอาตัวเลขที่สหรัฐฯ เสียเปรียบดุลการค้ากับทั้งโลก และสกุลเงินหลักของโลกดูจะมีการปั่นให้อ่อนกว่าจริง) เศรษฐกิจสหรัฐฯ น่าจะโตได้มากกว่านี้ด้วยซ้ำ
ทางฝ่ายพรรคเดโมแครต ที่นางแนนซี เพโลซี เป็นเจ้าภาพในการเชิญปธน.ทรัมป์มากล่าวปราศรัยแถลงนโยบายในครั้งนี้ ดูจะกระอักกระอ่วนกับการตีขลุมของทรัมป์ ที่ยกเอาความดีความชอบให้กับตัวเองหมด แม้แต่กฎหมายที่ร่วมกันผลักดันทั้งสองพรรค จนผ่านในสภาออกมาได้ ทรัมป์ก็ฉกฉวยโดยพูดเอาแต่ได้ว่า ตนทำสำเร็จจน ส.ส.เดโมแครตหลายคนส่ายหน้าไม่เห็นด้วยเพราะในช่วงการเสนอร่างกฎหมายนี้ ฝ่าย ส.ส.เดโมแครตเป็นผู้จุดประกายและนำเสนอแต่ต้นด้วยซ้ำ
มี ส.ส.หัวก้าวหน้าของเดโมแครตบางคนคว่ำบาตรไม่เข้าร่วมฟังการแถลงนโยบาย เพราะมันเป็นการแถลงรับความดีความชอบด้านเดียว ไม่มีการซักไซ้แบบระบบรัฐสภาของไทย เช่น ส.ส.หญิงปากกล้าจากนิวยอร์ก และเพื่อน ส.ส.หญิงของเธอที่เป็นมุสลิม ก็ได้ Walk Out ประท้วงคำกล่าวอ้างเอาดีเข้าตัวของทรัมป์
ส.ส.หญิงทางเดโมแครตนัดแต่งสีขาว และเน้นไม่ปรบมือให้แต่ละประโยคข้อความของทรัมป์ ขณะที่ ส.ส.และ ส.ว.ของรีพับลิกัน ได้ลุกขึ้นปรบมือให้แต่ละประโยคของทรัมป์
เป็นการเผชิญหน้ากันอย่างไม่ต้องเก็บอาการหรือมารยาทกันต่อไป ระหว่างพรรครีพับลิกันและเดโมแครต มี ส.ส.ของเดโมแครตบางคนถึงกับตะโกนค้านคำพูดของทรัมป์ จนประธานสภาล่างแนนซี เพโลซี ต้องยกมือห้าม ส.ส.เดโมแครตเหล่านั้นว่าควรรักษามารยาทในช่วงที่ทรัมป์แถลง เสียงค้านของเดโมแครตจึงสงบลง
เคยมีช่วงโอบามาแถลงนโยบาย แล้วมี ส.ส.รีพับลิกันตะโกนว่า “ไอ้โกหก (Liar)” ดังลั่น ขณะมีการถ่ายทอดสด ซึ่งถือว่าเป็นการไม่ให้เกียรติต่อตำแหน่งปธน. และพรรคเดโมแครตก็ไม่พอใจมาก แต่ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เกิดขึ้นในสภาสหรัฐฯ ซึ่งพิถีพิถันต่อการให้เกียรติผู้ดำรงตำแหน่งปธน. และประธานแนนซีได้กำชับให้ ส.ส., ส.ว.เดโมแครตต้องทำตัวเป็นผู้มีวัฒนธรรม (Civitized) ที่จะต้องนั่งทนฟังคำพูดโกหกยกตนถากถางของทรัมป์ในการแถลงนโยบายครั้งนี้
นักวิเคราะห์หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า ทรัมป์ได้นำเอาคนผิวสีที่มีชีวิตยากลำบาก และได้รับการช่วยเหลือจากนโยบายของเขาบางส่วน เข้ามาแสดงตนเป็นพยานว่าเขาไม่ได้ทิ้งคนผิวสี ซึ่งเรียกอารมณ์ร่วมจาก ส.ส., ส.ว.ในสภา รวมทั้งผู้ชมร้อยล้านที่อยู่ที่บ้าน ก็เพราะทรัมป์ต้องการให้เหล่าคนกลุ่มน้อยในสหรัฐฯ ที่ส่วนใหญ่ไม่ลงคะแนนให้พรรครีพับลิกันอยู่แล้ว แต่พวกเขาจะเกิดอาการเห็นใจพรรครีพับลิกัน และน่าจะตัดสินใจไม่ออกจากบ้านเพื่อไปลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครพรรคเดโมแครต ซึ่งสิ่งนี้ได้เคยเกิดขึ้นเมื่อปี 2016 อยู่บ้างแล้ว คือคนผิวสีที่ยังเป็นคนกลุ่มน้อย ที่เคยออกจากบ้านมาลงคะแนนแบบมืดฟ้ามัวดินให้กับโอบามาจนชนะ แต่กลับได้ข้อมูลบิดเบือนผ่านสื่อโซเชียล มีเดีย จนพวกเขาไม่ออกมาลงคะแนนให้ฮิลลารี
และในครั้งนี้ ทรัมป์ต้องการให้เกิดขึ้นแบบปี 2016 เช่นกัน แต่น่าจะทำให้คนผิวสีเริ่มแกว่ง และทรัมป์ต้องการให้คนผิวสีจำนวนมากๆ กว่าปี 2016 ที่จะตัดสินใจไม่ออกจากบ้านเพื่อไปลงคะแนนให้ผู้สมัครจากเดโมแครต
และอีกเป้าประสงค์ที่มีการเบิกตัวชาวผิวสีที่ได้รับความเห็นอกเห็นใจจากทรัมป์ในครั้งนี้ ก็เพื่อทำให้ผู้หญิงผิวขาวชานเมือง ที่เป็นฐานเสียงของรีพับลิกัน และเริ่มเอาใจออกห่างจากพรรคเพราะไม่พอใจในจริยธรรมของทรัมป์ (ตัวอย่างคือ การพ่ายแพ้ของผู้สมัครเลือกตั้งซ่อมในตำแหน่ง ส.ส., ส.ว., ผู้ว่าการรัฐ-ในรัฐบาลตอนใต้-หลายตำแหน่งที่รีพับลิกันหลุดหลังจากทรัมป์ไปหาเสียงให้) พวกเธอเหล่านี้จะเริ่มกลับมาเห็นใจทรัมป์ และจะออกมาลงคะแนนให้กับเขาในเดือนพฤศจิกายนนี้
มีมากมายหลายประโยคที่ทรัมป์พูดโอ้อวดเกินความจริงว่า เขาประสบผลสำเร็จในนโยบายเช่น Manufacturing Boom คือ อเมริกากลับมารุ่งเรืองในด้านการผลิตอีกครั้ง ทั้งๆ ที่สินค้าใน Supply Chain ที่จะส่งเข้ามาสหรัฐฯ กลับโดนโขกภาษีที่สูงลิบจากนโยบายทำสงครามการค้าของเขา และในรัฐที่ยังไม่เปลี่ยนวิธีการผลิตเป็นแบบใหม่ ก็กำลังประสบปัญหาต้นทุนสูงจากการนำเข้าสินค้าต้นทางการผลิต
และแม้มีการเซ็นสัญญาสงบศึกพักรบใน Phase-1 ของทรัมป์กับจีน ก็เป็นเพียงเศษเสี้ยวของสินค้ามูลค่ามหาศาลที่สหรัฐฯ นำเข้าจากจีน ที่กำลังรอเอกสารอยู่อีก
รวมทั้งทรัมป์ได้นำเอาครอบครัวของทหารอเมริกันผู้เสียชีวิตจากการถูกกับระเบิดในอิรัก ที่เขาสรุปว่าเป็นการวางระเบิดของนายพลโทกอเซ็ม สุไลมานี (แม่ทัพชาวอิหร่านเป็นผบ.ของหน่วย Quds ในอิรัก) ซึ่งทำให้ทรัมป์ตัดสินใจปลิดชีวิตโดยลอบยิงขีปนาวุธในโดรนเพื่อลอบสังหารนายพลอิหร่านนี้
ทรัมป์เน้นว่า เขาจำเป็นต้องฆ่านายพลอิหร่านเพื่อล้างแค้น และทำให้อเมริกาปลอดภัยขึ้น กล้องทีวีที่ถ่ายทอดหันไปจับใบหน้าของ ส.ส., ส.ว.เดโมแครตบางคน ที่ทำหน้าไม่เห็นด้วยว่า การฆ่านายพลอิหร่านครั้งนี้จะทำให้อเมริกานอนตาหลับได้มากขึ้น (ขนาดอดีตปธน.บุช และโอบามา ก็ยังไม่ได้สั่งฆ่า เพราะน่าจะยิ่งทำให้เกิดการโต้กลับจากอิหร่าน และทำให้คนอเมริกันยิ่งปลอดภัยน้อยลง เช่น ธุรกิจอเมริกันรอบโลก และนักท่องเที่ยวอเมริกัน ที่อาจตกเป็นเป้าการลอบสังหารเช่นกัน)
มีหนังสือหลายเล่มออกมาวิเคราะห์ว่า ทรัมป์เก่งกาจในด้านประชาสัมพันธ์ เก่งกว่าทางเดโมแครตด้วยซ้ำ คือ เขาจะรู้วิธีสร้าง Symbolic Communication ได้แก่ การสร้างสัญลักษณ์ ซึ่งจะทำให้คนจดจำได้ง่ายกว่าการอธิบายความยาวๆ ด้วยประโยคสั้นๆ ที่หาคำที่กินใจ เช่น Crooked Hillary หรือ Sleepy Joe (คือ Joe Biden) จะทำให้คนจำสัญลักษณ์เหล่านี้ และไม่ลืม
การแถลงนโยบายครั้งนี้ ทรัมป์จึงนำเอาคนผิวสีมาเป็นพยานตัวเป็นๆ ถึงความสำเร็จของนโยบายของเขา เป็นสัญลักษณ์ที่สร้างอารมณ์ร่วมและเขาจะโกยคะแนนชื่นชมได้มาเพื่อกลบล้างภาพความเกรี้ยวกราดและดูถูกเหยียดหยามคนผิวสี (ซึ่งเขาทำอยู่เป็นประจำผ่านนโยบายต่างๆ) ได้อย่างดียิ่ง
ตอนนี้ คะแนนนิยมของทรัมป์ในหมู่ฐานเสียงของเขาสูงมากถึง 94% แม้ว่าในหมู่ประชาชนอเมริกันทั่วๆ ไปทั้งประเทศจะอยู่ที่ 50% เท่านั้น ซึ่งการแถลงนโยบายครั้งนี้น่าจะทำให้เขาบรรลุวัตถุประสงค์ในการวาดภาพสิ่งที่ดีกว่า (ในขณะนี้) ที่จะเกิดขึ้น (ถ้าเขาได้กลับมารอบ 2)
แม้ตอนจบสุนทรพจน์ ประธานแนนซีจะมีสัญลักษณ์ที่ไม่เชื่อถือคำปราศรัยของทรัมป์ด้วยการ ฉีกสำเนาคำปราศรัยของทรัมป์ และตอบผู้สื่อข่าวว่า “นั่นเป็นสิ่งที่พอรับได้-ดีกว่าที่จะให้ทำอย่างอื่น (ที่อาจน่าเกลียดกว่า)”