เอเจนซีส์ - การปราศรัยแถลงนโยบายประจำปี (State of the Union Address) ต่อรัฐสภาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯเมื่อคืนวันอังคาร (4 ก.พ.) กลายเป็นเวทีโชว์ความแตกแยกของอเมริกาอย่างโจ่งแจ้งน่าตกใจ ตั้งแต่ที่ผู้นำสหรัฐฯไม่ยอมจับมือทักทายกับแนนซี เปโลซี จนถึงการที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคเดโมแครตผู้นี้ ฉีกสำเนาคำแถลงคราวนี้ของทรัมป์ ต่อหน้ากล้องทีวีที่กำลังถ่ายทอดสด
แทนที่จะเป็นช่วงเวลาแห่งการสงบศึกทางการเมืองตามประเพณีปฏิบัติที่เคยเป็นมา การแถลงนโยบายประจำปีครั้งนี้กลับกลายเป็นการสะท้อนสงครามการเมืองในสหรัฐฯที่มีแนวโน้มดุเดือดเข้มข้นไปจนกระทั่งถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีในต้นเดือนพฤศจิกายนปีนี้
ตลอดระยะเวลา 1 ชั่วโมง 18 นาทีของการปราศรัยของทรัมป์ ที่มีการถ่ายทอดสดทางทีวีช่วงไพรม์ไทม์เมื่อคืนวันอังคาร (4) อบอวลไปด้วยบรรยากาศของความเกลียดชัง เริ่มต้นจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพิกเฉยไม่ทำตามธรรมเนียม โดยปล่อยให้เปโลซี ยื่นมือเก้อ ไม่ยอมจับมือทักทายด้วย
พวกสมาชิกรัฐสภาของพรรคเดโมแครต แสดงปฏิกิริยาตอบโต้การแถลงนโยบายของทรัมป์ที่เน้นย้ำว่า “อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง” ด้วยการนั่งนิ่งและส่งเสียงโห่ และบางคนประท้วงด้วยการเดินออกจากห้องประชุม หรือด้วยการไม่เข้าร่วมรับฟังตั้งแต่ต้น ขณะที่ชาวรีพับลิกันพากันลุกขึ้นยืนปรบมือกึกก้อง พร้อมส่งเสียงเชียร์ให้ทรัมป์ดำรงตำแหน่งต่ออีกสมัย
สิ่งที่ตอกย้ำสถานการณ์ตึงเครียดได้เป็นอย่างดีคือข้อเท็จจริงที่ว่า หลังจากการสอบสวนยาวนานหลายเดือนเพื่อดำเนินการถอดถอนทรัมป์โดยสภาล่างที่เดโมแครตควบคุมอยู่ ตอนนี้ทางวุฒิสภาที่รีพับลิกันครองเสียงข้างมากก็กำลังจะโหวตกันในวันพุธ (5) โดยเป็นที่คาดการณ์กันทั่วไปว่าประธานาธิบดีจะพ้นข้อกล่าวหา ด้วยเสียงหนุนเต็มที่ของฝ่ายรีพับลิกัน
ทั้งนี้ การแถลงนโยบายของทรัมป์ครั้งนี้ เน้นการอวดอ้างความสำเร็จของนโยบายเศรษฐกิจและนโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” โดยกล่าวว่า มาตรการผ่อนคลายกฎระเบียบและลดภาษี ซึ่งถูกฝ่ายตรงข้ามวิจารณ์ว่า ทำลายสิ่งแวดล้อมและเอาใจคนรวยนั้น ช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ประสบความสำเร็จชนิดที่ไม่ใครเทียบเคียงได้
ทรัมป์ร่ายยาวว่า ข้อตกลงการค้าอเมริกาเหนือฉบับใหม่ ข้อตกลงการค้าเฟส 1 กับจีน งบประมาณการทหารก้อนใหญ่ มาตรการหยุดยั้งการลักลอบเข้าประเทศแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน และการพยายามยุติสงครามในตะวันออกกลางของอเมริกา คือตัวอย่างการปฏิบัติตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับผู้มีสิทธิ์ออกเสียง
แม้การแถลงนโยบายประจำปีครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่มืดมนที่สุดสำหรับคณะบริหารของทรัมป์ ซึ่งกลายเป็นผู้นำคนที่ 3 ในประวัติศาสตร์ของอเมริกาที่ถูกรัฐสภาดำเนินการพิจารณาถอดถอน แต่ด้วยความมั่นใจว่า สมาชิกรีพับลิกันจะช่วยปกป้องให้รอดพ้นจากกระบวนการดังกล่าวได้ ทรัมป์จึงปรากฏตัวหน้าแท่นปราศรัยด้วยความเชื่อมั่นมากขึ้นว่า จะสามารถผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆ เพื่อลงศึกเลือกตั้งเข้าสู่ทำเนียบขาวเป็นสมัยที่สอง
เนื้อหาคำแถลงทั้งหมดไม่พาดพิงถึงเรื่องการถอดถอนแม้แต่ครั้งเดียว ทรัมป์ยังใช้ช่วงต้นของการแถลงนโยบายเยาะเย้ยเดโมแครตว่า ความล่าช้าในการประกาศผลการหยั่งเสียงขั้นต้นในสนามแรกที่รัฐไอโอวาเมื่อวันจันทร์ (3) พิสูจน์ถึงความไร้น้ำยาของพรรคนี้
ขณะเดียวกัน ประมุขทำเนียบขาวที่ผันตัวจากนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ผู้นี้ ยังได้รับข่าวดีจากผลสำรวจของแกลลัปว่า คะแนนนิยมของตนเองพุ่งทำสถิติสูงสุดที่ 49%
อย่างไรก็ตาม บรรยากาศความแตกแยกถูกตอกย้ำอีกครั้งหลังจากทรัมป์แถลงนโยบายจบแต่ยังยืนอยู่บนแท่น และเปโลซีที่ยืนอยู่ด้านหลัง ได้ยกสำเนาคำปราศรัยของทรัมป์ขึ้นฉีกโดยรู้ดีว่ากล้องทีวีกำลังถ่ายทอดสดอยู่
ประธานสภาล่างจากพรรคเดโมแครตผุ้นี้ซึ่งนั่งนิ่งสลับกับส่ายหน้าเป็นระยะตลอดการแถลงของทรัมป์ ยังให้สัมภาษณ์ในเวลาต่อมาว่า การฉีกคำปราศรัยที่เธอกระทำเป็นวิธีที่สุภาพที่สุดแล้วเมื่อเทียบกับวิธีอื่นๆ
