มาถึงจุดนี้ น่าจะบอกได้แล้วว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำทำเนียบขาว อยู่ในสถานะที่ใครจะหยุด หรือฉุด ก็เอาไม่อยู่ ไม่ต่างจากพยัคฆ์ร้ายลำพองติดปีก ทรงพลังมากกว่าเดิม อาจถึงขั้นพ่นไฟได้นั่นเลย
ยิ่งได้เห็นความระส่ำระสายในกลุ่มผู้ท้าชิงเก้าอี้ผู้นำจากพรรคเดโมแครตซึ่งหลากหลายแต่ไม่เด่นชัดจัดจ้านพอที่จะทาบชั้นกับทรัมป์ด้วยแล้ว คนอเมริกันและประชาคมโลกที่ได้เห็นฤทธิ์เดชของทรัมป์คงรู้สึกสยองว่าถ้าทรัมป์ได้เป็นต่อ จะสร้างเรื่องอะไรต่ออีก
ที่แน่ชัดก็คือ ทรัมป์จะยังจ้องเล่นงานคู่ปรับหลัก เช่น จีน อิหร่าน เกาหลีเหนือ รัสเซีย ฯลฯ หนักข้อกว่าเดิม โลกจะปั่นป่วนวุ่นวายแค่ไหน ไม่มีใครคาดเดาได้
เพราะว่าทรัมป์ถูกประเมินว่า “ไม่ปกติ” ในด้านความคิด อารมณ์ ความอยากเอาชนะ และเชื่อว่าตนเองเป็นสุดยอดมนุษย์อัจฉริยะ เลิศกว่าใครในใต้หล้า ไม่มีใครเกินนั่นเลย
และก็เป็นระบบการเมืองอเมริกัน “พวกใครพวกมัน” นั่นแหละที่ทำให้ทรัมป์รอดสันดอนมาได้จากกระบวนการถอดถอนโดยสภาคองเกรส เพราะวุฒิสภาที่พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากช่วยสกัดการไต่สวน ไม่ให้มีพยานเข้าให้ปากคำ จึงไปต่อไม่ได้
จากความหวังของพรรคเดโมแครตที่จะได้นายจอห์น โบลตัน อดีตที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของทรัมป์มาเป็นพยานปากเอก และมีหลักฐานแน่นหนาพอที่จะปล่อยหมัดเด็ดน็อกทรัมป์ ก็เป็นความฝันสลาย พรรครีพับลิกันโหวตตัดตอน 51-49 อ้างว่าไม่จำเป็น
อ้างหน้าตาเฉยว่าพยานที่นำเสนอในการไต่สวนโดยสภาคองเกรสนั้น เพียงพอที่จะตัดสินได้แล้วว่าจะเป็นอย่างไร
พรรครีพับลิกันก็เล่นเกม “พวกมากลากไป” เหมือนการเมืองในประเทศอื่นๆ ไม่สนใจที่จะรับรู้หรืออยากรู้ความจริงว่าหลักฐานน่าเชื่อถืออย่างไรหรือไม่ ดังนั้นผู้นำทำเนียบขาวจึงไม่ต้องห่วงเพราะคาดการณ์ว่าการลงคะแนนเสียงในวุฒิสภาคงช่วยให้ทรัมป์ลอยลำสบายๆ
คนอเมริกันที่ไม่ใช่สมาชิกพรรครีพับลิกันได้รับรู้สภาพการเมืองอย่างนี้คงรู้สึกสะอึกเหมือนกัน เพราะจะเห็นว่ากระบวนการไต่สวนไม่สมบูรณ์ ถูกตัดตอนโดยพยานที่สำคัญถูกห้ามไม่ให้ปากคำ แต่จะให้ทำอย่างไรได้เพราะว่ากฎเป็นอย่างนี้
ดังนั้น ถ้าไม่มีปาฏิหาริย์แบบพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินทรัมป์คงจะเป็นตัวยืน สู้กับตัวแทนจากพรรคเดโมแครตซึ่งขณะนี้ยังไม่แน่ชัดว่าจะเป็นใครเพราะคะแนนยังไม่ขาด ไม่มีใครได้คะแนนนำชัดเจน เพราะขาดความโดดเด่น ไม่มีลำหักลำโค่น
ก่อนที่วุฒิสภาจะโหวต ทรัมป์ออกอาการลำพอง ใช้ทวิตเตอร์เล่นงานฝ่ายตรงข้ามอย่างหนักหน่วง ต่อเนื่องด้วยข้อกล่าวหาและข้อมูลที่จริงบ้างเท็จบ้างฟอกตัวเอง และไม่แปลก ทรัมป์เป็นนักกุเรื่องใช้ข้อมูลเท็จเป็นประจำอยู่แล้ว
ยิ่งในการแถลงนโยบายอีกรอบ ทรัมป์คงจะประกาศอย่างฮึกเหิมว่าตนเองไม่ทำอะไรผิดพลาด และความพยายามที่จะถอดถอนตัวเองเป็นเพราะมีคนไม่หวังดี พวกจ้องทำลาย หรือก่อนหน้านี้เคยบอกว่าเป็นพวกกบฏทรยศต่อประชาชนด้วยซ้ำ
การแถลงนโยบายอีกครั้ง ทรัมป์จะต้องใช้เป็นการหาเสียงครั้งสำคัญ เป็นความได้เปรียบ เพื่อให้คนอเมริกันยอมรับว่าตนเองเหมาะสมที่จะเป็นผู้นำต่อไป ไม่ว่าใครจะชอบหรือเกลียดขี้หน้าก็ตาม
คงเป็นการแถลงที่ทรัมป์มุ่งดิสเครดิตฝ่ายตรงข้าม และจะทำให้คนพรรครีพับลิกันสำนึกว่าตนเองจะมีส่วนช่วยให้พวกสมาชิกสภาคองเกรส และวุฒิสภาชนะเลือกตั้ง
หรืออาจเกิดกระแสพลิกกลับ พรรครีพับลิกัน คนอเมริกันตัดสินลงโทษเพราะการตัดตอน ไม่ยอมสืบพยานก็ได้ แต่การเมืองอเมริกันก็ย่อมมีเส้นทางไปเช่นเดียวกันเพราะผลประโยชน์เป็นหลักสำคัญ
การหาเสียงในสมัยแรก ทรัมป์ใช้ประเด็น “อเมริกาต้องมาก่อน” จนได้ใจคนอเมริกัน มาครั้งนี้ ทรัมป์จะใช้คำขวัญ “อเมริกากลับมาแล้ว” หรือ “America Comeback” ประกาศความยิ่งใหญ่หลังจากที่ทำจะให้ดัชนีตลาดหุ้นวอลล์สตรีททะยานขึ้นทำลายสถิติต่อเนื่อง
ทรัมป์ได้ทำสงครามการค้ากับจีนและใช้มาตรการกำแพงภาษี และการคว่ำบาตรเล่นงานชาติอื่นๆ ทำให้เศรษฐกิจของโลกอยู่ในสภาวะถดถอยประชาชนหลายประเทศยากจนลง ปัญหาหนี้สินครัวเรือนและของประเทศเพิ่มอย่างน่ากลัว ยังไม่มีใครเสนอทางออก
สถานการณ์จะเลวร้ายลงเยอะมากกว่าเดิมแค่ไหนยังไม่มีใครประเมินได้ ความหวังว่าเศรษฐกิจจะกระเตื้องขึ้นในเร็ววัน คงเป็นไปได้ยากเพราะทรัมป์น่าจะมีวาระสร้างตนเองให้ยิ่งใหญ่ ในสมัยสุดท้าย
ขณะที่คนทั่วโลกยังเสี่ยงกับการระบาดของโรคโคโรนาไวรัสมีต้นตอจากจีน ทรัมป์และพวกยังถูกประณามว่าได้ฉกฉวยวิกฤตเป็นโอกาสโจมตีจีนทุกด้าน และยังใช้คำพูดถล่มจีน และชักชวนให้บริษัทอเมริกันถอนตัวจากจีน
ถ้าปัญหาเศรษฐกิจเลวร้ายลงจากการระบาดของโคโรนาไวรัสให้ถูกซ้ำเติมด้วยนโยบายสุดผยองของทรัมป์ โลกจะเป็นอย่างไร ต้องอดใจรอด้วยอาการหายใจไม่ทั่วท้อง
เว้นแต่จะมีปาฏิหาริย์เหนือปาฏิหาริย์ ทำให้ผู้นำทำเนียบขาวไปต่อไม่ได้เท่านั้น