ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์
อาจารย์ประจำสาขาวิชา Business Analytics and Intelligence
และ Actuarial Science and Risk Management
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
อาจารย์ประจำสาขาวิชา Business Analytics and Intelligence
และ Actuarial Science and Risk Management
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
ชิม ช้อป ใช้ เฟส 3 เงียบกริบตามที่ผมคาดไว้ และไม่มีคนสนใจมากนัก เพราะชิม ช้อป ใช้ เฟส 3 ไม่มีการแจกเงินฟรีอีกแล้ว ใช่สิครับ ไม่มีอะไรแจกฟรีคนก็ไม่สนใจ คนไทยชอบของฟรีและเสพติดประชานิยมไปเรียบร้อยแล้ว
สรุปให้ฟังง่ายๆ อย่างนี้ครับ
ชิม ช้อป ใช้ เฟส 1 ลงทะเบียนรับเงินไปฟรีๆ 1000 บาท ประชาชนคนไทยแห่เข้าไปลงทะเบียนถล่มทลาย เพื่อเอาเงินไปไว้ใช้ซื้อของ ท่องเที่ยว แต่มีข้อแม้ว่าต้องใช้ในต่างจังหวัดไม่ใช่จังหวัดที่ตัวเองอยู่อาศัย คนแย่งกันเข้าจนระบบล่มแล้วล่มอีก
ชิม ช้อป ใช้ เฟส 2 ลงทะเบียนรับเงินไปฟรีๆ 1000 บาท มี G-wallet หรือกระเป๋าตังค์อีเล็คทรอนิคส์ของรัฐบาลที่ให้ประชาชนผ่านทางโทรศัพท์มือถือเรียกว่า เป๋าตัง ให้ใช้ด้วย และถ้าเติมเงินลงไปในแอปพลิเคชันเป๋าตัง แล้วใช้เงินจะได้รับส่วนลดจากรัฐบาลอีกด้วย สามหมื่นบาทแรกที่เติมลงไปในเป๋าตังแล้วใช้จะได้เงินส่วนลดหรือ rebate กลับมา 15 % ของเงินที่ใช้ เท่ากับได้ส่วนลดในการใช้เงินตั้ง 15% และสองหมื่นบาทหลังเมื่อใช้ไปอีกจะได้เงินส่วนลดกลับมา 20% เพราะฉะนั้นถ้าเติมเงินไปในเป่าตั้งแล้วใช้สามหมื่นบาทจะได้เงินกับมา 4500 บาท แต่ถ้าใช้เงินในเป๋าตังไปห้าหมื่นบาทจะได้ส่วนลดเพิ่มมาอีกสองหมื่นบาทหลังเท่ากับ 4000 บาท รวมเป็นว่าได้ส่วนลดเงินสดกลับมาในเป๋าตังเท่ากับ 8500 บาท แสนจะคุ้มค่า
ชิม ช้อป ใช้ เฟส 2 นี้ คนไทยก็แย่งกันลงทะเบียนกันถล่มทลาย
ชิม ช้อป ใช้ เฟส 2 มี hacker ที่ถือหางทางการเมืองตรงข้ามรัฐบาลเข้าไปป่วนให้ระบบล่มเสียด้วย แต่ถูกจับกุมได้
ทั้ง ชิม ช้อป ใช้ เฟส 1&2 มีคนลงทะเบียนไป 10 ล้านคน รัฐบาลแจกเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไป หนึ่งหมื่นล้านบาท ครบถ้วนตามที่ตั้งเป้าหมายและงบประมาณไว้
คนที่ลงทะเบียนรีบไปใช้เงินที่ได้รับมาฟรีคนละหนึ่งพันบาทแทบจะทันที แต่ที่ตั้งเงื่อนไขว่าให้ไปใช้นอกจังหวัดตัวเองเพื่อหวังให้เกิดการกระจายการใช้เงินไปในจังหวัดที่ห่างไกลและกระจายรายได้ไปยังต่างจังหวัดหรือชนบทนั้น ดูจะไม่ค่อยได้ผลมากนัก เพราะเงินส่วนใหญ่ก็กระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพ ระยอง ชลบุรี นนทบุรี อยุธยา และสมุทรปราการ ค่อนข้างมาก ต่างจังหวัดไกล ๆ ไม่ค่อยมี
ร้านค้าจำนวนมากยังกลัวที่จะเข้าร่วมโครงการ กลัวว่าจะได้รับผลกระทบจากการโดนจับให้เสียภาษี เพราะกลัวกฎหมายเกี่ยวกับธุรกรรมลักษณะเฉพาะที่ธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งต้องส่งข้อมูลธุรกิจลักษณะเฉพาะในลักษณะของจำนวนครั้งที่รับเงินต่อปี รวมทุกบัญชี (ในธนาคารเดียวกัน) และยอดเงินรับรวมทั้งปี รวมทุกบัญชี (ในธนาคารเดียวกัน) โดยมีเงื่อนไขที่ต้องส่งข้อมูลดังกล่าวให้กรมสรรพากรว่า หนึ่ง มีจำนวนครั้งรับเงินเข้าบัญชีเกินกว่าสามพันครั้งต่อปี หรือ สอง มีจำนวนครั้งรับเงินเข้าบัญชีเกินกว่าสี่ร้อยครั้งต่อปีและมีจำนวนเงินรับเกินกว่าสองล้านบาทต่อปี ทำให้ร้านค้าโดยเฉพาะรายย่อยไม่กล้าเข้าร่วมกับ G-wallet เป๋าตัง เพราะกลัวถูกตรวจสอบเส้นทางการเงินและภาษี ทั้งๆ ที่กรมสรรพากรออกมาแถลงแล้วแถลงอีกว่าไม่ได้มามุ่งเรียกเก็บภาษีจากเป๋าตังแต่อย่างใด ทำให้มีแต่รายใหญ่ ๆ ที่ทำบัญชีอย่างถูกต้องและมีวิธีการอันแยบยลถูกต้องตามกฎหมายให้เสียภาษีน้อยที่สุดเข้าร่วมโครงการนี้ ทำให้ประชาชนที่ได้เงินฟรีพันบาทไปหาที่ใช้เงินไม่ได้ง่ายนัก
ที่สำคัญคือเงินดังกล่าวไม่ได้กระจายไปรายย่อย ซึ่งจะเกิดการกระจายรายได้ และเกิดการหมุนเงินมากกว่า การที่เงินไปกระจุกตัวกับทุนรายใหญ่ทั้งหมด
ผมได้เขียนบทวิเคราะห์ ข้อดี และ ข้อเสียของ “ชิม ช้อป ใช้”เฟสหนึ่งและสองไปแล้วดังนี้ >> mgronline.com/daily/detail/9620000097236
สิ่งที่น่าสังเกตคือเงินที่เข้าเป๋าตังในเฟสสองนั้นไม่มากเลย บางสำนักข่าวรายงานว่าแค่ 400 ล้านบาท และบางสำนักข่าวรายงานว่าหนึ่งพันล้านบาท แต่ที่แน่ ๆ จบเฟสสองไปรัฐบาลจ่ายเงินให้ฟรีๆ ไปหนึ่งหมื่นล้านบาท แต่ไม่แน่ใจว่ารัฐบาลจะได้คะแนนเสียงและความนิยมเพิ่มขึ้นมากแค่ไหน บางสำนักโพลเช่น Superpoll ได้ทำโพลและรายงานว่าเสียงสนับสนุนรัฐบาลกระเตื้องขึ้นนิดหน่อยจากชิม ช้อป ใช้ (ดูจากรายงาน)
อย่างไรก็ตามหากวัดความสำเร็จของชิม ช้อป ใช้ ในแง่การใช้เงินต่อใน G-wallet ที่รัฐบาลหวังกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นผลกลับไม่ค่อยดีมากนัก ดังรายงาน “ชิมช้อปใช้” เฟส 1-3 ผลตอบรับดีต่อเนื่อง ความนิยม g-Wallet ช่อง 2 เพิ่มขึ้น ยอดใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 10 เท่า ใน 1 เดือน
ที่พบว่าเงินที่รัฐบาลลงไปแจกฟรีหนึ่งหมื่นล้าน ผ่านมาจนบัดนี้ยังมีประชาชนเติมเงินลงไปใน G-wallet เป๋าตังเพียงแค่สี่พันกว่าล้านบาทหรือสี่สิบเปอร์เซ็นต์กว่า ๆ ของเงินงบประมาณที่รัฐบาลแจก ดังนั้นจึงมีผลในการกระตุ้นเศรษฐกิจน้อยมาก และไม่น่าจะคุ้มค่ามากนัก แต่ก็อาจจะจำเป็นต้องทำ เพราะเศรษฐกิจไทยในเวลานี้ฝืดมากและกำลังจะตกต่ำ ไม่เกิดการใช้จ่ายและการหมุนเงินมากเท่าไหร่นัก สอดคล้องกับผลการสำรวจของสวนดุสิตโพลพบว่า ประชาชน หนึ่ง ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เช่น ท่องเที่ยว ช้อปปิ้ง งานเลี้ยงสังสรรค์ของฟุ่มเฟือย และ สอง ไม่ออกนอกบ้าน อยู่บ้านมากขึ้น ทำอาหารทานเองที่บ้าน
เมื่อประชาชนเริ่มมีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจต่ำ ทำให้พยายามประหยัดหรือในอีกด้านเมื่อเงินไม่หมุน ผมลองสอบถามผู้จัดการธนาคารพาณิชย์หลาย ๆ ที่ให้ความเห็นตรงกันว่าเงินบัญชีกระแสรายวันค่อยข้างลดลงมาก บางกิจการเงินที่เคยหมุนในบัญชีกระแสรายวันนั้นหายไปมากกว่าครึ่ง เมื่อคนกลัว เก็บเงิน ประหยัด พยายามไม่ใช้จ่าย หรือไม่มีรายได้ไม่มีเงินมาใช้จ่ายก็เลยส่งผลให้ชิมช้อปใช้ ของรัฐบาลที่แม้จะเป็นที่นิยมสำหรับประชาชนมาก เพราะถูกใจคนไทยที่ชอบประชานิยม แต่ไม่ได้ช่วยชาติมากนักในการกระตุ้นเศรษฐกิจและอาจจะเป็นการเกาไม่ถูกที่คันก็ได้
สำหรับชิม ช้อป ใช้ เฟส สามนั้น ออกมาได้สักพัก ให้ลงทะเบียนได้ และมีส่วนลดเงินสด (Cash back) หรือ Rebate จากเงินที่ใช้หรือเติมใน เป๋าตัง แต่ไม่มีแจกเงินฟรีหนึ่งพันบาทแล้ว เพราะเงินงบประมาณหมดแล้ว ทำไปได้สักพัก แม้จะขยายเวลา ก็ไม่ได้รับความนิยมจากประชาชนมากนัก ประชาชนไม่ได้มีเงินมาเติมเพื่อจับจ่ายใช้สอยและร้านค้าที่เข้าร่วมก็ไม่ได้มีมากนัก แม้ว่าในเฟส 3 นี้จะขยายรวมไปถึงแพคเกจการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศและค่าโดยสารในประเทศ ตั๋วเครื่องบินในประเทศ และการบริการที่เกี่ยวเนื่องและใช้ได้ยาวไปจนถึง 31 มกราคม 2563 ก็ยังไม่ได้ผลมากนัก
กระทรวงการคลัง จึงได้พยายามกระตุ้น ชิม ช้อป ใช้ เฟส 3 ด้วยการชิงโชค (Sweepstakes) ซึ่งจัดเป็นการส่งเสริมการตลาด (Marketing promotion) ที่ได้ผลมากสำหรับคนไทย เพราะคนไทยขอบการพนันและการเสี่ยงโชคมาก โดยจะให้มีการจับรางวัลจากการใช้เงินทุกหนึ่งพันบาททั้งประชาชนที่จ่ายเงินและร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ได้ลุ้นรางวัลหนึ่งสิทธิ์ และจะเป็นรางวัลใหญ่ล่อใจคนไทยอย่างแน่นอน การทำเช่นนี้เป็นไปอย่างถูกต้องตามหลักการตลาดที่มีงานวิจัยค้นพบว่า Grand Prize หรือรางวัลใหญ่ ดึงดูดใจคนไทยมาก และส่วนลด ไม่ดึงดูดใจคนไทยเท่าที่ควร อันเป็นข้อค้นพบในวิทยานิพนธ์ที่ผมให้คำปรึกษาและให้ลูกศิษย์ได้ทดลองในคนไทย ที่สำคัญคือการชิงโชคนี้ จัดว่าเป็นการพนัน และคนที่มีแนวโน้มจะเข้าร่วมชิงโชคมากคือคนที่มีพฤติกรรมการพนันและติดพนันอยู่แล้ว ผลการทดลองชี้ชัดเช่นนั้น
ทองนั้นในทางจิตวิทยา มีค่าทัดเทียมกับเงิน มีสภาพคล่องสูงมาก สามารถแปลงเป็นเงินเมื่อไหร่ก็ได้ในทางจิตวิทยาเราถือว่าทองเป็นเบี้ยอรรถกร (Token economy) ที่มีความดึงดูดล่อใจคนมากเหลือเกินแทบไม่แตกต่างจากเงินสดแต่อย่างใด เคราะห์ดีที่ประเทศไทยมีกฎหมายห้ามจัดการชิงโชคด้วยเงินสด แต่ทองก็มีสภาพแทบไม่แตกต่างจากเงินสด ดังนั้นการที่กระทรวงการคลังจะกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการชิงโชคนั้น น่าจะได้ผลดีเป็นอย่างยิ่ง กระทรวงการคลังกำลังขออนุมัติจากกระทรวงมหาดไทยอยู่ หากกระทรวงมหาดไทยอนุมัติเมื่อใด คนไทยก็จะเริ่มได้เล่นการพนันชิงโชคกันอย่างถูกกฎหมายตามเป้าหมายของรัฐบาลที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการส่งเสริมให้ประชาชนเล่นการพนันหรือไม่ (โปรดอ่านรายละเอียดได้จาก www.thaipost.net/main/detail/51295 และ https://www.thairath.co.th/news/business/market-business/1703970)
ผมเห็นด้วยกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะจำเป็น หากเจ็บป่วยก็อาจจะต้องบำรุง ให้ยา ให้น้ำเกลือ แต่การเลือกใช้ยา การให้อาหารบำรุงก็ควรต้องทำอย่างถูกวิธีและถูกหลักการ การกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรัฐบาลผ่านการชิงโชค โดยการชิงทองจาก เป๋าตัง อันเป็นการพนัน เป็นวิธีการที่สมควรแล้วหรือไม่
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยมหาราช ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐสุดแห่งแผ่นดินไทย ทรงแลเห็นโทษของการพนันเป็นอย่างยิ่ง เมื่อคราวเสด็จประพาสยุโรป เสด็จไปทรงเล่นพนันที่เมืองมอนติคารโล อันเป็นเมืองพนันของยุโรป และทรงเห็นว่าการพนันนั้นสนุกมาก และทำให้ติดพนันได้ง่ายมาก ในเวลานั้นเงินประมาณแผ่นดินของไทยมาจากอากรบ่อนเบี้ยมากกว่าครึ่งหนึ่ง ต้องทรงเตรียมการอยู่พักใหญ่เพื่อหารายได้อื่นๆ อันเป็นที่มาของการปรับปรุงกิจการเก็บภาษีของประเทศ โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญต่างชาติมารื้อระบบภาษีและรื้อปรับปรุงกรมสรรพากรให้ทันสมัย ทรงยกเลิกอากรบ่อนเบี้ยทั้งหมด และโปรดให้ทรงยกเลิกการเล่นการพนัน เพราะทรงเห็นว่าเป็นเหตุที่จะทำให้ประชาชนเลวลงหลงอยู่ในอบายมุข เป็นภัยและเป็นอุปสรรคยิ่งต่อการพัฒนาประเทศ
ผ่านไปร้อยกว่าปี กระทรวงการคลัง กลับลืมพระราชดำริที่พระพุทธเจ้าหลวงทรงใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดในการเลิกการพนัน เพราะไม่ทรงต้องการให้คนไทยติดพนันจนเป็นเหตุแห่งความฉิบหาย แม้จะต้องทรงหาวิธีการในการได้มาซึ่งงบประมาณแผ่นดินอย่างยากลำบากขึ้น ทรงยอมสูญเสียรายได้ที่เป็นมูลค่าครึ่งหนึ่งของงบประมาณแผ่นดินทั้งประเทศต่อปี เพราะทรงเห็นพิษภัยของการพนัน
ผมเชื่อว่าชิงทองจากการใช้เงิน G-wallet เป๋าตัง หากเป็นทองก้อนใหญ่ รางวัลใหญ่ ย่อมได้ผลดีมาก ผมได้แต่หวังว่ากระทรวงมหาดไทยจะไม่อนุมัติให้กระทรวงการคลังทำเช่นนี้ เพราะจะไม่เป็นการบำบัดทุกข์ บำรุงสุขของประชาราษฎร จะต้องมีประชาชนที่ติดพนัน ไปหาทางกู้หนี้ยืมสินมาเติมเงินใส่ G-wallet เป๋าตัง เพื่อชิงโชคให้ได้ทองคำ และไปซื้อของที่ไม่จำเป็นต้องใช้เลย จนเกินภาระหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นอีกและส่งผลร้ายทางสังคมเพิ่มขึ้นไปอีก กลายเป็นว่าคนไทยบางคนจะไปหายืมเงินที่ตัวเองไม่ได้มี ไปเติมเป๋าตัง ที่ตัวเองไม่ได้อยากมีแต่ต้องมีเพื่อชิงโชค เพื่อซื้อของที่ตัวเองไม่ได้ใช้ จะปล่อยให้เป็นเช่นนี้จริงหรือไม่
หรือว่าวันนี้ กระทรวงการคลัง ไม่ว่าจะรัฐมนตรีหรือข้าราชการระดับสูง หลงลืม ความปรารถนาดีต่อแผ่นดินอันไม่มีประมาณได้ของพระพุทธเจ้าหลวงไปหมดสิ้นเสียแล้วหรือ ถึงกับต้องกระตุ้นเศรษฐกิจไทยโดยใช้การพนัน เพื่อให้ประชาชนใช้จ่ายผ่าน G-wallet เป๋าตัง หากพระพุทธเจ้าหลวงจะทรงทราบด้วยญาณวิถีใดๆ ข้าพระพุทธเจ้ามั่นใจว่าจะไม่ทรงสบายพระทัยและทรงเป็นห่วงพสกนิกรชาวไทยของพระองค์ที่จะต้องตกอยู่ในอบายมุขอันเป็นเหตุแห่งความฉิบหายเป็นแน่แท้