xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

พรรคโอตู่ อู้ฟู่ 4 หมื่นล้าน? ปัจจัยครบ ติดลบศรัทธา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - นับวันก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ภาพความเป็น “นักการเมือง” ของ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ทั้งปากคำของเจ้าตัวที่ปฏิเสธความจริงไม่ได้ว่า ตัวเองก็เป็นนักการเมือง ตลอดจนความเคลื่อนไหวต่างๆ ที่บ่งบอกยิ่งกว่า “นักการเมืองอาชีพ” ซะอีก

เรียกได้ว่าบางจังหวะ “นายกฯ จากการเลือกตั้ง” ยังต้องอาย อย่างอีเว้นท์โปรโมตสถานีวิทยุของกรมประชาสัมพันธ์ ที่เชิญ 8 สาวสมาชิกวงไอดอล BNK48 “บีเอ็นเค โฟร์ตี้เอต” ที่นำโดย “เฌอปราง” เฌอปราง อารีย์กุล หัวหน้าวง มาเข้าพบ “นายกฯตู่” ที่ทำเนียบรัฐบาล

ทำเอา “ลุงตู่” ถึงกับแปลงร่างเป็น “โอตะ-โอตู่” โยกไปตามจังหวะเพลงฮิต “คุกกี้เสี่ยงทาย” พร้อมสะบัดข้อมือ ท่าปั้นข้าว หรือโอนิกิริ ไปกับกลุ่มไอดอลสาวได้อย่างเนียนตา

แม้จะมีความพยายามสอดแทรกแนวความคิด “คนรุ่นเก่า-ใหม่” โชว์วิสัยทัศน์ผู้นำประเทศ แต่นั่นไม่ได้สำคัญเท่ากับภาพตะมุตะมิ ที่ถูกสื่อเอาไปเล่นเป็นกระแสทั้งในสื่อหลัก และสื่อโซเชี่ยลฯ

ยิ่งช่วงกิจกรรมจับมือสมาชิก BNK48 เป็นเวลา 8 วินาที โดยไม่ต้องต่อคิวซื้อบัตรจับมือ เหมือนแฟนคลับทั่วไป ยิ่งทำให้กระแส “โอตะ - โอตู่” ถูกนำไปเล่นเป็นประเด็นอย่างคึกคัก

ไม่ต่างจากตอนที่ “ทีมออเจ้า” นักแสดง-คณะผู้จัดละคร “บุพเพสันนิวาส” นำโดย “พี่หมื่น” โป๊ป-ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ “แม่หญิงการะเกด” เบลล่า-ราณี แคมเปน เข้าพบ “นายกฯ ตู่” เพื่อประชาสัมพันธ์การจัดงานรณรงค์ส่งเสริมภาพยนตร์และละคร ของกระทรวงวัฒนธรรม

สาระของการเข้าพบก็ถูกมองข้าม ด้วยกลายเป็นฟลอร์ที่ให้ “ออกญาตู่” ปล่อยมุกสร้างสีสันร่วมกับเหล่านักแสดงมากกว่า จนพูดได้ไม่ผิดว่า อีเว้นท์ร่วมกับดารา-เซเลบริตี ที่ถูกจัดมาถี่ยิบช่วงนี้ เป็นกลยุทธ์ “เกาะกระแส” สร้างภาพลักษณ์ให้กับ “ลุงตู่” เพื่อเตรียมความพร้อมสู่สังเวียนเลือกตั้ง

ผลัดภาพลักษณ์ “ผู้นำรัฐบาลทหาร” ทิ้งไป ให้กลายเป็น “นายกฯ คนธรรมดา” ที่แตะต้องสัมผัสได้

เช่นเดียวกับ เมื่อพุธที่ผ่านมา หลังจากเว้นว่างการออกกำลังกายประจำบ่ายวันพุธไปนาน “ลุงตู่” ก็หวนมาสวมรองเท้าผ้าใบ ออกมาเดินเรียกเหงื่อหลายกิโล ท่ามกลางอุณหภูมิร้อนระอุ ไม่เท่านั้นยังเลือกเส้นทางเดิน-วิ่งรอบรั้วทำเนียบรัฐบาล เป็นโปรแกรมที่ไม่ได้มีกำหนดไว้ล่วงหน้า เพื่อถือโอกาสพบปะพ่อค้าแม่ค้า รวมถึงผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้าง จนถูกแซวไปว่า ถือโอกาส “ซ้อมหาเสียง” ไปในตัว

หมายรวมไปถึงอีเวนท์ลงพื้นที่หาเสียงในต่างจังหวัด ที่ใช้ฉาก “ครม.สัญจร” บังหน้า นั่นก็เข้าข่าย “ซ้อมหาเสียง” รวมทั้งเรียกเรตติ้งคะแนนนิยมทั้งนั้น

ขณะเดียวกันใน “มิติการเมือง” เอง นาทีนี้ “นายกฯตู่” ที่เคยตั้งแง่รังเกียจ “นักการเมือง-นักเลือกตั้ง” แบบด่าสาดเสียเทเสียมาตลอด ก็เปลี่ยนมาเล่นบท “เถ้าแก่ล้งใหญ่” เดินเกม “ดูดเหมาเข่ง” ไล่สอย “ซุ้มการเมือง” แบบไม่เลือกสเปก ชื่อเสียงเน่าขนาดไหนก็เอา เพื่อมาเป็นนั่งร้านของ “พรรคโอตู่”

ใครหน้าไหนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นนักการเมือง ทั้งพวก “ดาวฤกษ์” ระดับ “เจ้าพ่อหัวเมืองต่างๆ” หรือมีคะแนนเสียงในพื้นที่พอไปวัดไปวา ต้องถูก “แมวมอง คสช.” ไปเลียบๆ เคียงๆ ก่อนใช้ “พลังดูด” เอามาเป็นพวก

ร้อนถึง “เดอะมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ต้องออกมาเบรกความร้อนแรงของ “เครื่องดูด คสช.” ด้วยการระบุว่า “นอกจากจะได้ยินเรื่องการดึงพรรคพลังชลมาก่อนหน้านี้แล้ว ยังได้ยินเรื่องการเสนอตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีให้หลายคน หลายพรรค ไม่ใช่เพียงตระกูลสะสมทรัพย์เท่านั้น แล้วยังได้ยินเรื่องกระบวนการของคนที่มีอำนาจรัฐจะมาเล่นการเมืองซึ่งไม่จำเป็นต้องลงเลือกตั้งเป็น ส.ส. แต่อาจใช้สถานะตรงนั้นในการติดต่อภาคธุรกิจ เพื่อส่งสัญญาณว่าไม่ให้ไปสนับสนุนพรรคการเมือง ขัดกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ”

พร้อมวิเคราะห์ด้วยว่า เส้นทางสู่การเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 2 ของ “ประยุทธ์” คงเป็น “นายกฯคนใน” มากกว่า “นายกฯคนนอก” จึงมีความพยายามปั้น “พรรคทหาร” ให้ได้เสียง ส.ส.พอสมควร เพียงเพื่อเสนอชื่อ “ประยุทธ์” เป็น 1 ใน 3 รายชื่อ หรือเพียงรายชื่อเดียวในช่วงหาเสียงเลือกตั้งไปเลย

โดย “อภิสิทธิ์” มองว่า พรรคที่กำลังปลุกปั้นอยู่มีเป้าหมายอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 25 เสียง

ทั้งข้อเท็จจริงที่ปรากฎ ในการแต่งตั้ง “นักการเมือง” เข้ามามีตำแหน่งแห่งที่ในรัฐบาล ที่เคยถูกมองว่าเป็ฯ “รัฐบาลคนดี” บวกกับคำวิพากษ์ของนักการเมืองทั้งจากค่ายเพื่อไทย หรืออย่างกรณีของ “อภิสิทธิ์” ก็ทำให้เกิดกระแสรุมถล่มจากสังคมว่า เหตุใด “ลุงตู่” ถึงเลือกวิธีการ “ตกเขียว” ลงมาเกลือกกลั้วกับนักการเมืองที่เคยว่า หาดีไม่ได้ แถมยังพลิกลิ้นกลับคำว่า นักการเมืองส่วนใหญ่ดี พร้อมที่จะร่วมงานด้วย อีกต่างหาก

ที่ต้องลดตัวลงมาขนาดนี้ พร้อมกระโดดลงวังวน “น้ำคร่ำ-น้ำเน่า” เช่นนี้ ก็เพียงเพื่อต้องการต่อท่ออำนาจเท่านั้นหรือ? เป็นคำถามที่ “บิ๊กตู่” หรือคีย์แทนในรัฐบาล ได้แต่แบ๊ะๆ ไม่ตอบรับไม่ปฏิเสธ กระแสวิพากษ์วิจารณ์จึงไม่สร่างซาลง

ก็เลยต้องถึงคิว วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ โหรชื่อดังเจ้าของฉายา “โหร คมช.” ที่พลีกายเป็น “ก้อนหิน” โยนออกมาถามทางให้ “รัฐบาลทหาร” อีกครั้ง โยนเรื่อง “รัฐบาลแห่งชาติ” ที่ตัวเองเคยปล่อยออกมาหนหนึ่ง เมื่อช่วงปลาย ปี 2558 แต่จุดไม่ติด ออกมาอีกครั้ง

แถมไม่อ้างนิมิต “หลวงปู่เฒ่าเกวาลัน แห่งเทือกเขาหิมาลัย” อะไรให้เสียเวลา จัดการ “วิเคราะห์การเมือง” เป็นฉากๆ “นายกฯตู่” จะกลับมาเป็นนายกฯ หลังการเลือกตั้ง ฟันธงล่วงหน้าว่า 2 พรรคใหญ่ “เพื่อไทย-ประชาธิปัตย์” หมดโอกาสเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และต้องร่วมกันทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ส่วนรัฐบาลนั้น อำนาจยังคงเป็นสัมปทานของคนในรัฐบาลปัจจุบัน

“นายวารินทร์” ทิ้งท้ายเอาไว้ว่า “เท่าที่ดูการเป็นรัฐบาลแห่งชาติมีความเป็นไปได้สูง”

ถอดรหัสคำพูดของ “วารินทร์” แล้ว คงไม่ได้ทำนายทายทักเป็น “ร่างทรงหลวงปู่” หากแต่เป็นนักวิเคราะห์การเมือง หรือ “ร่างทรงลุงตู่” มากกว่า มุมหนึ่งก็เพื่อแก้ต่างให้ “ท่านผู้นำ” ในประเด็น “พลังดูด คสช.” ที่ไล่จีบก๊วนนักการเมืองอาชีพเข้าคอกอย่างต่อเนื่อง

อีกมุมหนึ่ง การออกมาคอมเมนต์แต่ละครั้งของ “วารินทร์” ก็หวังใช้ภาพหมอดูชื่อดัง พูดในลักษณะทำนายด้วยศาสตร์อันลึกลับ ก็จับได้ไม่ยากว่า เพียงแค่ต้องการ “โยนหิน” หยั่งกระแสการไปปฏิสัมพันธ์กับ “นักการเมือง-นักเลือกตั้ง” ที่หันมาสนับสนุน “ประยุทธ์” เป็นนายกฯหลังเลือกตั้งเท่านั้น

ตีขลุมเหมารวมไปว่า หาก “รัฐบาล คสช.” ปัจจุบัน รวมเข้ากับบรรดา “นักเลือกตั้ง” ที่เป็น “เจ้าพ่อหัวเมืองต่าง” อุปโลกน์ขึ้นมาว่า “รัฐบาลแห่งชาติ” ทั้งที่ไม่ใช่ฉันทามติของประชาชน เอาแค่ “ฝ่ายการเมือง” เองก็ยังไม่ยอมรับ แบบนี้จะถือเป็น “รัฐบาลแห่งชาติ” ได้อย่างไร

คิวของ “เจ้าสำนักโยนหิน” ก็เป็นการการันตีว่า เกมตกเขียวไล่ดูดนักการเมืองจะยังเดินหน้าต่อเนื่อง แม้จะถูก “คนนินทา หมาดูถูก” แค่ไหนก็ตาม

อีกฟากฝั่ง ก็เล่นเอาสะเทือนวงการไปหลายริคเตอร์ เมื่อ “เดอะแจ๊ค” วัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.ปากกล้า แห่งค่ายประชาธิปัตย์ ออกมาแฉเบื้องหลังการถ่ายทำ “พรรคทหาร” ที่ว่านี้ มีการระดมทุนสร้างกันถึง “4 หมื่นล้านบาท” เลยทีเดียว

ฟังแล้วใครก็ว่า “ข่าวมโน” ทว่าอย่าลืมไปเชียวว่า ก็เป็น “วัชระ” นี่แหละที่จุดพลุเรื่อง “พรรคทหาร” ที่ก่อการโดย “ทีมเศรษฐกิจ คสช.” เป็นคนคนแรก ตอนนั้นก็ปัดกันวุ่น เวลาผ่านไปก็เรียงหน้ารับสารภาพว่า “พรรคสตาร์ทอัพ” มันมีอยู่จริง

หรือใครจะว่าตัวเลข “4 หมื่นล้าน” เว่อร์เกินไป มโนไปเรื่อย ก็อย่าลืมว่า “เม็ดเงิน” ที่ “รัฐบาลทหาร” อัดฉีดไปแล้ว และกำลังทยอยใส่เข้าระบบ ผ่านโครงการขนาดใหญ่ มีมูลค่ามากกว่า “ล้านล้านบาท” คงไม่ต้องบอกว่ามีโครงการอะไรบ้าง แต่ถ้าหากลองนั่งดีดลูกคิดเล่นๆกันดู แล้วจะเข้าใจในตัวเลข “4 หมื่นล้าน” ของ “เดอะแจ็ค”

เอาเข้าจริงตัวเลขของ “วัชระ” ยังตกหล่นไปกว่าครึ่งด้วยซ้ำ ด้วยในวง “คีย์แมนพรรคทหาร” มีการพูดกันไปถึง “8 หมื่นล้านบาท-1 แสนล้านบาท” เสียด้วยซ้ำ

รูปการณ์เช่นนนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่า “พรรคทหาร” ที่มีทั้งอำนาจ และกระสุนดินดำ บวกกับ “เจ้าพ่อหัวเมือง” เป็นฐานเสียง-หัวคะแนนให้อีก ปัจจัยพร้อมสรรพขนาดนี้ 25 ที่นั่ง ที่ “อภิสิทธิ์” ยกให้ จึงถือว่า ประเมินกันต่ำเกินไป

การเป็นพรรคอันดับ 1 มีเสียง ส.ส.พอที่จะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เพื่อส่ง “ประยุทธ์” หวนคืนบัลลังก์ “ผู้นำประเทศ” อย่างสมศักดิ์ศรีต่างหาก คือ “เป้าหมายที่แท้จริง”

อาจจะดูลมๆแล้งๆ ก็ต้องมาวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆว่า พอเป็นไปได้ไหม?

เอาแค่เรื่อง “กระสุนดินดำ” ก็กินขาด ล่อกันไปตั้ง “ครึ่งแสนล้าน” ไม่มีทางที่ “พรรคประชาธิปัตย์” จะหาได้ ไม่แปลกที่ “อภิสิทธิ์” จะโวยวายว่า มีการใช้อำนาจรัฐ กีดกันสปอนเซอร์ค่ายต่างๆไม่ให้สนับสนุนพรรคการเมืองอื่นเลย หรือกระทั่ง “พรรคเพื่อไทย” ที่มีเสบียงกรังของตัวเอง แต่ก็ไม่เคยวางงบประมาณไว้ถึงหลักหมื่นล้านบาทอะไรอย่างนี้ อย่างเมื่อครั้งตั้งไข่ “พรรคไทยรักไทย” เกือบ 20 ปีก่อน ก็ว่ากันว่าให้ “นายทุนพรรค” ลงขันรวมกันราว 5 พันล้านบาทเท่านั้น มา พ.ศ.นี้อาจบวกปัจจัยค่าเงิน-เงินเฟ้อ ขึ้นมาบ้าง แต่ก็เชื่อว่า ไม่มีทางถึงขนาดหลายหมื่นล้าน เอาง่ายๆ แค่ “หมื่นเดียว” ยังเหนื่อย

ด้าน “กระสุนดินดำ-เสบียงกรัง” จึงถือว่ากินขาด

ถัดมาก็เรื่องอำนาจที่อยู่ในมือ “รัฐบาล คสช.” ที่ตระหง่านค้ำไม่ให้ค่ายการเมืองอื่นขยับตัวได้ถนัด ขณะที่ตัวเองไปหาเสียงได้ร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ เรียกว่า “ชกอยู่ฝ่ายเดียว” อีกทั้งกติกาต่างๆก็ออกแบบกันเอง จนป่านนี้ กฎหมายลูกเลือกตั้ง ส.ส. และที่มา ส.ว. ก็ยังไม่คลอด หรือเหล่ากรรมการองค์กรอิสระ จะตั้ง จพคว่ำ ทำได้หมด รวมไปถึงการสรรหา คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่จะมาคุมการเลือกตั้งครั้งหน้า ที่ตรวจชื่อผู้สมัครแล้ว ก็เห็นเค้าลาง “เด็ก คสช.” ป้วนเปี้ยนเต็มไปหมด

ทั้ง “กระสุน - อำนาจ” ก็ทำเอา “นักเลือกตั้ง-นักการเมือง” เข้าโหมดจำศีล “อดอยากปากแห้ง” กันมานาน ตาลุกวาว เฝ้ารอให้ “เสี่ยสี่หมื่นล้าน” ออกปากจีบ แค่กระดิกนิ้ว ก็คงเฮโลเข้าคอกกันถ้วนทั่ว

จึงถือว่าปัจจัยครบ พร้อมรบได้ทุกเมื่อ

สำคัญที่ต้องไม่ลืมว่า การเลือกตั้งชี้วัดกันที่ “คะแนนเสียงประชาชน” เพราะแม้จะใช้ “กระสุน-อำนาจ” สวมบท “เสี่ยกระเป๋าหนัก” ล่าหัวไล่ซื้อนักการเมืองได้ แต่ก็ใช่ว่าเป็น “สายเปย์” แล้วประชาชนจะเอาด้วย

ก็เรื่องที่รัฐบาล คสช.ผู้มีอำนาจล้นมือ เวลาล้นเหลือ “สอบตก” มาโดยตลอด ก็คือการประคองความศรัทธาของประชาชนคนไทย ด้วย 4 ปีที่ผ่านมา จากคะแนนนิยมพีคขั้นสุด มีกระแส “ลุงตู่ฟีเวอร์” ในขวบปีแรก ไม่ทันไรก็เหมือน “หัวล้านได้หวี” ใช้อำนาจอย่างไม่เข้าท่า จนคะแนนนิยมตกต่ำด่ำดิ่งเข้าแดนลบ

ทั้ง “วาระปฏิรูป” ที่ไม่คืบหน้า “วาระปราบโกง” ที่ดีแต่สร้างวาทกรรมสวยหรู สุดท้าย “ลูบหน้าปะจมูก” รวมไปถึงประเด็นดังต่างๆ ที่ฝ่ายรัฐมักเลือกยืนตรงข้ามประชาชน ทำให้ความศรัทธาเสื่อมถอยไปลงไปอีก

การเลือกที่รักมักที่ชัง ก็เห็นชัดจากการเปิดทำเนียบรัฐบาลต้อนรับ ดารา-เซเลปบริตี้ ไม่ว่า BNK48 หรือทีมออเจ้า เพื่อหวังเกาะกระแส สร้างความนิยมรัฐบาล ในทางกลับกัน ไม่เคยที่จะเปิดประตูต้อนรับ “กลุ่มปัญหา” ทั้งกลุ่มต่อต้านโรงไฟฟ้าถ่านหิน หรือกระทั่งกลุ่มคัดค้านการก่อสร้างบ้านพักตุลาการศาลอุทธรณ์ ภาค 5 เชิงดอยสุเทพ หรือที่เรียกกันว่า “หมู่บ้านป่าแหว่ง”

อีกทั้งประเด็น “หมู่บ้านป่าแหว่ง” ที่กำลังร้อนแรง กลับดูเหมือนว่ารัฐบาลนิ่งนอนใจอย่างผิดปกติ ด้วยมีข้อเรียกร้อง “รื้อเท่านั้น” จากภาคประชาสังคม-นักอนุรักษ์ รวมทั้งมติของผู้บริหารศาลยุติธรรมที่ระบุว่า ให้เป็นการตัดสินใจของรัฐบาล โดยที่ตุลาการไม่ขัดข้อง มากองอยู่บนตัก “นายกฯตู่” แล้ว

กลับไม่คว้าโอกาสตัดสินใจอย่างทันท่วงที เพื่อสร้างคะแนนนิยมในหมู่ประชาชน ทั้งในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ หรือประชาชนทั่วประเทศที่ให้ความสนใจในประเด็นนี้ แล้วมองว่าเรื่องการอนุรักษ์ธรรมชาติ-สิ่งแวดล้อม มีความสำคัญ และประเมินค่าไม่ได้ มากกว่างบประมาณกว่าพันล้านบาทที่สูญเสียไปกับการก่อสร้างหมู่บ้านหรูหราให้ผู้พิพากษาเข้าพัก

เป็นการสะท้อนความคิดของรัฐบาล คสช. ที่มีพื้นเพมาจาก “รัฐข้าราชการ” จึงไม่ไม่อยากขัดแย้งกับฝ่ายตุลาการ ตลอดจนข้าราชการด้วยกัน แต่เลือกที่จะขัดใจประชาชนที่ยึดเรื่องความเหมาะสมเป็นหลัก

ซ้ำอีกระลอกด้วย คดีฆ่าเสือดำตายคาป่าทุ่งใหญ่นเรศวรฯ ที่มี “พรานเจ้าสัว” เปรมชัย กรรณสูต เบอร์หนึ่งอิตาเลียนไทยฯ เป็นจำเลย ด้วยเคยมีกระแสเรียกร้องให้ “รัฐบาล” ในฐานะ “คู่ค้าสำคัญ” ของอิตาเลียนไทยฯ ออกมาตรการ “แบล็กลิสต์” ไม่ร่วมงานกับบริษัทที่มีผู้บริหารทำผิดจรรยาบรรณบริษัทเสียเอง

นอกจากไม่ขยับอะไรแล้ว ยังปล่อยให้ “เสี่ยเปรมชัย” ออกมาคุยโวว่า คดีฆ่าเสือดำไม่กระทบกิจการใด โดยเฉพาะในส่วนของที่รับสัมปทานจาก “รัฐบาลไทย” ที่สำคัญยังบอกด้วยว่า “ทุกกรมทุกระทรวงมีแต่คนเห็นใจ” มันยิ่งประจานให้เห็นมุมมองความคิดของ “รัฐข้าราชการ” ต่อเรื่องอนุรักษ์ธรรมชาติ-สิ่งแวดล้อมอย่างไร ที่ดูจะให้ความสำคัญกับความรู้สึกของ “นายทุน-ผู้หลักผู้ใหญ่” มากเสียกว่าความเสียหายทางธรรมชาติ ที่ประเมินค่าไม่ได้

หากยังยึดมั่นถือมั่นในศักดิ์และศรีของ “รัฐราชการ” มากกว่าการเลือกยืนข้างประชาชนเช่นนี้ ไม่ว่า ถุงเงินของ “พรรคโอตู่” จะอู้ฟู่แค่ไหน จะเป็น 4 หมื่นล้านบาท อย่างที่ถูกแฉออกมา หรือไม่อย่างไร ตลอดจนมีปัจจัยครบพร้อมลงเลือกตั้งขนาดไหน

แต่หากยังติดลบศรัทธา เส้นทางต่อท่ออำนาจก็ไปยากอยู่ดี 




กำลังโหลดความคิดเห็น