ข่าวปนคน คนปนข่าว
** ใช้อำนาจแบบเสียไม่ได้!! “บิ๊กตู่”จำใจออก ม.44 อุ้มทีวีดิจิทัล หวั่นล้มครืนทั้งวงการ ขนาดขาใหญ่ “วิกหนองแขม”ยังขู่เดินตามรอย“เจ๊ติ๋ม” พร้อมแซงใช้ “อำนาจพิเศษ”แก้ปมสรรหา กสทช. ที่“สภาฝักถั่ว”ทำจนเละ ตีตั๋วให้ “กสทช.รักษาการ” คุมอาณาจักรหลายแสนล้านกันไปแบบยาวๆ รอ สนช. แก้กฎหมายใหม่อีกรอบ
ท้องแก่ใกล้คลอดเต็มที .. คำสั่ง “มาตรา 44” ช่วยเหลือทีวีดิจิทัล ที่กำลังจะออกใน 1-2 วันนี้ ตามที่ “ท่านไก่อู” พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกรัฐบาล ระบุ .. รายละเอียดมีไม่มาก แค่ 1. อนุญาตให้พักชำระหนี้ได้ 3 งวด ใน 5 งวด แต่ต้องจ่ายดอกเบี้ย 1.5% 2. กสทช.ช่วยจ่ายค่าโครงข่าย 50% เป็นเวลา 2 ปี และ 3. อนุญาตให้โอน-ขายต่อใบอนุญาตได้ .. ประเด็นสำคัญน่าจะอยู่ที่ ข้อ 3. นี่แหละ ที่เหมือนเจาะ “ช่องหายใจ” ให้บรรดานายทุนทั้งหลายไม่เดินตามโมเดล “เจ๊ติ๋ม ทีวีพูล” .. ไม่ต้องอะไรมากขนาดขาใหญ่วงการทีวีอย่าง “วิกหนองแขม” ยังบอกว่า รอผลคดีของ “เจ๊ติ๋ม” ก่อนเคาะว่าจะคืนใบอนุญาต 2 จาก 3 ช่อง คือ ช่อง 13 และ 28 ที่ “ขาดทุนย่อยยับ” ด้วยหรือไม่ .. ตรงนี้ละมั้งที่ “หัวหน้า คสช.” ต้องยื่นมือลงมาโอบอุ้ม ออกคำสั่งแบบ “เสียไม่ได้” มิเช่นนั้นมีหวังล้มครืนกันทั้งวงการ .. ตามที่ “นายกฯตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พูดเอง หลังประชุมว่า “ก็สมัครใจกันมาร่วมประมูลเอง เหมือนกับมีเค้กอยู่ก้อนเดียว แต่มีคนกินเค้ก 20-30 คน แล้วจะมีเค้กให้พอกินกันไหม” ..
แต่ที่มาแรงแซงโค้งก็ คำสั่ง “มาตรา 44” แก้ปมการสรรหา กสทช.ชุดใหม่ ที่ สนช.เพิ่งลงมติคว่ำกระดานไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ท่ามกลางกระแสข่าว “นายกฯไม่แฮปปี้” ตามคลิปหลุดที่ตามหา “ไอ้โม่ง” กันให้วุ่นอยู่ตอนนี้ .. แม้จะมีการอ้างว่า ไม่ได้มีใบสั่งนายกฯ พูดขนาดว่า “ฝ่ายบริหาร” แทรกแซงการทำงานของ “ฝ่ายนิติบัญญัติ” ไม่ได้ แต่การที่หัวหน้า คสช. ต้องใช้ “อำนาจพิเศษ” มันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นการเก็บกวาดขยะที่ สนช.ทำทิ้งไว้ .. ก็ด้วย สุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธาน สนช. ยังพูดเองว่า สนช.ไม่มีอำนาจพิจารณาเรื่องคุณสมบัติของผู้ที่ผ่านเข้ารอบไฟนอล .. หากไม่มี “กฎหมายพิเศษ” ออกมาค้ำไว้ มีหวังโดนฟ้องกันอุตลุด .. สาระสำคัญของคำสั่ง คสช. 7/2561 ก็ไม่มีอะไรมาก 1. ยกเลิกและระงับการสรรหา กสทช.ไปก่อน จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง 2. ให้ กสทช.รักษาการ “ปฏิบัติหน้าที่ตามที่จําเป็น” ไปพลางก่อน และ 3. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ไขปัญหาในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการสรรหาให้เรียบร้อยโดยเร็ว .. สำหรับข้อ 1. และ 2. ก็เสมือน “ตีตั๋ว” ให้ “กสทช.รักษาการ” ที่มี “บิ๊กอ้อ” พล.อ.สุกิจ ขมะสุนทร เป็นประธาน คุมอาณาจักรหลายแสนล้านกันไปแบบยาวๆ .. ส่วนที่บอกให้ “ปฏิบัติหน้าที่ตามที่จําเป็น” ก็ยิ่งเข้าทาง เมื่อก่อนหน้านี้ “กฤษฎีกา” ได้ตีความแล้วว่า “กสทช.รักษาการ” มี “อำนาจเต็ม” ทำการได้เหมือนบอร์ดชุดปกติ ทุกประการ .. ที่จับตากันก็คงเป็นเรื่องประมูลคลื่น 900MHz และ 1800MHz รอบใหม่ ที่ส่วนหนึ่งเกี่ยวกับความเป็นไปของ “ดีแทค” ที่สัมปทานส่วนใหญ่จะหมดเดือน ก.ย.นี้. .. แม้ว่าล่าสุด “ดีแทค” เพิ่งเช็นสัญญากับ “ทีโอที” ให้บริการบนคลื่นความถี่ 2300 MHz ก็ตาม แต่ก็มีข้อจำกัดที่ไม่สามารถเอาไปใช้งานทั้งหมดทุกบริการ โดยบริการด้านเสียง (วอยซ์) ตรงนี้เองที่ทำให้ “ดีแทค” ยังมีความจำเป็นต้องเข้าร่วประมูลคลื่นรอบใหม่กับ กสทช. อยู่ดี .. ส่วนข้อ 3. แม้ไม่ได้พูดตรงๆ แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก็เป็นใครไม่ได้ นอกจาก สนช.ที่ต้องทำการรื้อ พ.ร.บ.กสทช. กันอีกรอบ ทั้งที่เพิ่งแก้ไขเพิ่มเติมกันไปเมื่อปีที่แล้วนี่เอง
**ดับชนวนก่อนไฟลาม!! “โฆษกศาล”โร่เบรกข่าว “กลุ่มผู้พิพากษา” ตั้งแท่นฟ้องภาคประชาชนวิพากษ์ “หมู่บ้านป่าแหว่ง” แจงศาลไม่อยากเป็น “คู่ขัดแย้ง” ต้องไม่ลืมเบรก “ตุลาการบางราย” แสดงความเห็นแบบยิ่งพูด ยิ่งแย่ ตีค่าผืนป่าเป็นเรื่องเล็กน้อย “นายกฯตู่” ตัดสินใจช้า เจอ “พี่มาร์ค” เกาะกระแส โชว์หล่อ รื้อได้ไม่มีปัญหา
เห็นท่าไม่ดี .. ปมพิพาท “หมู่บ้านป่าแหว่ง” ที่มีข่าวว่า “กลุ่มผู้พิพากษา” เตรียมรวบรวมคอมเมนต์จากเว็บไซต์ต่างๆ ที่ไม่เห็นด้วยกับโครงการสร้างบ้านพักศาลผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ภาค 5 ในพื้นที่เชิงดอยสุเทพ นำมาฟ้องร้องเป็นคดี ด้วยมองว่า “ฝ่ายตุลาการ” ถูกโจมตีอย่างไม่เป็นธรรม .. ร้อนถึง สุริยัณห์ หงษ์วิไล โฆษกศาลยุติธรรม ต้องออก “ดับไฟ” แก้ข่าวที่ว่า “ฝ่ายตุลาการ” ไม่มีแนวคิดที่จะฟ้องร้อง หรือทำตัวเป็นคู่ขัดแย้งกับ “ประชาชน-นักอนุรักษ์” หากแต่อยากให้การวิพากษ์วิจารณ์อยู่ในกรอบของการ “ให้เกียรติซึ่งกันและกัน” .. คำชี้แจงของ “โฆษกศาล” สะท้อนว่า ฝ่ายศาลไม่อยากตั้งตัวเป็น “ฝ่ายตรงข้าม” กับประชาชน อย่างแน่นอน จึงต้องออกมาดับชนวนขัดแย้งได้อย่างทันท่วงที .. หากแต่ต้องไม่ลืมว่า “ความคิดแหลมคม” ของ “ตุลาการบางราย” มากกว่า ที่กำลังเสี้ยมสถานการณ์ให้ตึงเครียดมากขึ้น .. ทั้งรายของ ชำนาญ รวิวรรณพงษ์ ประธาน แผนกคดีล้มละลายในศาลฎีกา ในฐานะอดีตประธานศาลอุทธรณ์ภาค 5 และ สวัสดิ์ สุรวัฒนานันท์ ประธานศาลอุทธรณ์ภาค 5 คนปัจจุบัน ที่พูดถึง “หมู่บ้านป่าแหว่ง” ทำให้กระแสต่อต้านคัดค้านรุนแรงเป็นเท่าทวี เหมือน “เติมฟืนเข้ากองไฟ” .. ไม่ว่าจะเรื่อง ขออยู่ก่อน 10 ปี แล้วค่อยว่ากัน หรือคำขู่ที่ว่า หาก “ผู้พิพากษา” ไม่มีบ้านอยู่ คนภาคเหนือทั้งภาค คงต้องถ่อลงไปฟ้องคดีกันเอาเองที่ กทม. .. กระทั่ง ชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาคนดัง ที่ออกมาเบี่ยงประเด็น พาดพิง มหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.) เชียงใหม่ ที่ไปก่อสร้างวิทยาเขตสะลวง-ขี้เหล็ก เนื้อที่กว่า 6 พันไร่ ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ แต่กลับไม่มีใครออกมาคัดค้าน .. อีกทั้งมุมมองของผู้พิพากษา 2-3 ราย ที่ถือเป็น “ผู้อาวุโส” ยังเห็นว่า การใช้เนี้อที่เพียง 147 ไร่ ในเขตป่ารอยต่อนั้น ถือว่าเป็น “เรื่องเล็กน้อย” มาก มันยิ่งขัดกับกระแสการอนุรักษ์ธรรมชาติ รวมไปถึงแนวนโยบาย “ทวงคืนผืนป่า” ของ “รัฐบาล คสช.” อีกด้วย ..
การออกมาโต้แย้งของ ผู้พิพากษา 2-3 รายนี้ ทำให้สังคมตีขลุมไปถึง “หลักคิด” ของบุคคลในวงการเดียวกัน ตรงนี้ถือว่าอันตราย และ “ฝ่ายตุลาการ” เองควรที่จัดระเบียบการให้ความเห็นเรื่องนี้ให้ดี เพราะถือว่าทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่ลง .. การยืนกรานว่า “ขออนุญาตถูกกฎหมาย” นั้น ประเด็นนี้คงไม่มีใครไปเถียงได้ หากแต่ในมุม “ความไม่เหมาะสม”นี่สิ “ฝ่ายตุลาการ” เองที่ไม่เคยพูดถึง .. ด้วยกระแสต่อต้านที่ระบาดไปทั่วทั้ง จ.เชียงใหม่ และพื้นที่ใกล้เคียง ตลอดจนกิจกรรมเคลื่อนไหวใหญ่ ในวันที่ 29 เม.ย. ผนวกกับแอกชั่นของ “ตุลาการบางคน” ที่ยิ่งพูดยิ่งแย่แล้ว .. อาการนิ่งของ “นายกฯตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต่อกรณีนี้จึงไม่เป็นผลดี โดยเฉพาะเมื่อประกาศเองว่า “การตัดสินใจอยู่ที่รัฐบาล” ด้วยแล้ว จึงจำเป็นต้องมีทิศทางความชัดเจนออกมาโดยเร็ว .. เลี้ยงไข้ไว้แบบนี้ ไม่เป็นผลดีต่อตัวรัฐบาลอย่างแน่นอน ดูเอาเหอะขนาด “เดอะมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯยัง “ขโมยซีน” ออกมาโชว์วิชั่นว่า รื้อได้ไม่มีปัญหา พร้อมชี้ช่องตาม “กระแสสังคม” ว่า งบประมาณที่เสียไป ก็ไปไล่เบี้ยว่าใครทำผิด-ใครต้องรับผิดชอบ .. เห็นไหม เอาแต่เงื้อง่าราคาแพง จน “นักเลือกตั้ง” ปาดหน้าเอาคะแนนเสียงไปแล้ว
**รับผิดชอบต่อสังคม!! งานเข้า “เซเลบฯ-ซุป'ตาร์”ร่วมโฆษณาชวนเชื่อแบรนด์ลวงโลก "เมจิก สกิน" อาจเข้าข่าย “ตัวการร่วม” ที่โทษไม่หนัก แต่ถือเป็นบทเรียนสำคัญ โซเชี่ยลแซ่ซ้อง “สาวปันปัน” ที่ออกปากขอโทษ ไม่ตรวจสอบให้ดีก่อน ผิดกับ “เจ๊ม้า-อรนภา” ที่ปัดสวะพ้นตัว คงลืมคิด มีชื่อเสียงแล้วต้องมีความรับผิดชอบด้วย
ก็เข้าใจว่าทำมาหากิน .. ข่าวจับกุมเครือข่าย "เมจิก สกิน" ที่ผลิตเครื่องสำอาง-อาหารเสริม ผิดกฎหมาย มีข้อหาเป็นหางว่าว ทั้งโฆษณาเกินจริง ติดเครื่องหมายการค้าผิดประเภท ผลิตอาหารเสริมไม่ได้คุณภาพ .. ทำเอาสะเทือนไปหลายริกเตอร์ โดยเฉพาะ “วงการบันเทิง” ที่ปรากฏ “ตัวทอปครึ่งวงการ” ทั้งดารา-เซเลป-เนตไอดอล รับงาน “รีวิว-ถ่ายรูป” หรือเป็นพรีเซ็นเตอร์ผลิตภัณฑ์สินค้าให้กับ “แบรนด์ลวงโลก” กว่าครึ่งร้อยชีวิต .. เรื่องนี้ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รอง ผบ.ตร. ระบุว่า จะต้องเรียก “เซเลบฯ-ซุป'ตาร์” ที่เกี่ยวข้องกับการโฆษณาเกินจริง เข้าสอบปากคำต่อพนักงาน สอบสวน .. เบื้องต้นถือเป็นความผิดฐาน “ตัวการร่วม” เป็นความผิดตาม พ.ร.บ. เครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 และ พ.ร.บ.อาหารและยา พ.ศ. 2522 .. แม้จะมีโทษไม่แรง แต่ก็ถือเป็น “บทเรียนสำคัญ” (อีกครั้ง) ของศิลปิน-ดารา ในฐานะ “บุคคลสาธารณะ” ซึ่งครั้งหนึ่งก็เคยติดบ่วงโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กันมาแล้ว ..
น่าชื่นชมดาราวัยรุ่นอย่าง “ปันปัน” สุทัตตา อุดมศิลป์ ที่หลังรู้เรื่อง ก็ยอมรับความผิดพลาดที่ไม่ตรวจสอบให้ดีเสียก่อน พร้อมเอ่ยปากขอโทษต่อสังคม .. ผิดกับดารารุ่นใหญ่ “เจ๊ม้า” อรนภา กฤษฎี ที่มีชื่อถูกหมายเรียกด้วย ที่ “ปัดสวะ” วุ่นว่า ตัวเองแค่รับงานรีวิว ถ่ายรูปลงโซเชียล สัปดาห์เดียวก็ลบ เท่านั้น ไม่ได้มีหน้าที่ไปตรวจสอบอะไร .. พร้อมโวยแหลก ผลักความรับผิดชอบว่า การตรวจสอบสินค้าเป็นหน้าที่ของ “อย.” ไม่ใช่ “"เซเลบฯ-ซุป'ตาร์” ที่แค่ทำมาหากิน ใช้ความมีชื่อเสียง รับสตางค์หลักพันหลักหมื่น .. จนคนติงกันว่าไม่ได้ตรวจสอบ แต่สามารถลงคลิป-ลงรูป บอกว่าใช้สินค้าแล้วดี ใช้แล้วสวย .. ฟังคำสัมภาษณ์ของ 2 เซเลปแล้ว ก็เกิดภาพคอนทราส ระหว่าง ดาราวัยรุ่นอย่าง “สาวปันปัน”กับพิธีกรรุ่นเก๋า “เจ๊ม้า”ว่าใครรับมือกับวิกฤตหนนี้ ได้ดีกว่ากัน และใครมีความรับผิดชอบต่อสังคมมากกว่า .. อย่าลืมสถานะความเป็น “บุคคลสาธารณะ” ที่ต้องคำนึงถึง “ความรับผิดชอบต่อสังคม” ด้วยต้องรู้ตัวว่ามีผลในการ “ชี้นำสังคม” ไม่มากก็น้อย .. ไม่ได้เรียกร้องให้ “"เซเลบฯ-ซุป'ตาร์” ตั้งตัวเป็น “อย.” ตรวจมาตรฐานสินค้าหรืออะไร แค่เช็กข้อมูลให้รอบคอบ ก่อนจะ “ชี้นำสังคม” ก็เท่านั้น.
ช.ชฎา