xs
xsm
sm
md
lg

อยู่ได้อยู่ไป!คนเชียงใหม่ร่วม"โซเชียลแซงก์ชั่น"โต้ “ศาลอุทธรณ์ภาค5”ขออยู่“หมู่บ้านป่าแหว่ง”ก่อน10ปี **“ขาใหญ่คณะสงฆ์”ผนึกกำลังกดดัน“พงศ์พร”หนัก ** คลิปลับ“นายกฯไม่แฮปปี้”ก่อนคว่ำ14แคนดิเดต กสทช.ทำร้อนทั้งสภาฝักถั่ว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: นกหวีด

สวัสดิ์สุรวัฒนานันท์ , ชำนาญ รวิวรรณพงษ์ , พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ , พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา
ข่าวปนคน คนปนข่าว



** อยู่ได้อยู่ไป!! คนเชียงใหม่ร่วม "โซเชียลแซงก์ชั่น" โต้ “ศาลอุทธรณ์ภาค 5”ที่ขออยู่ “หมู่บ้านป่าแหว่ง”ก่อน 10 ปี พูดมาได้ ถ้ากลายเป็น“ทะเลทราย”ค่อยมาว่ากัน ขู่ใครรื้อถอนมีความผิด อ้างผู้พิพากษาไม่มีบ้านอยู่ อาจต้องไปถ่อฟ้องกันถึง กทม. เมินรอท่าทีรัฐบาล ที่กำลังจะได้รับ 4 ข้อเสนอจาก กก.ร่วม ที่ “ฝ่ายศาล”ไม่ยอมร่วมด้วย

ยกระดับขึ้นทุกขณะ .. กระแสต่อต้าน “หมู่บ้านป่าแหว่ง”โครงการก่อสร้างบ้านพักข้าราชการตุลาการ ในแนวป่ารอยต่อเชิงดอยสุเทพติดเขตอุทยานสุเทพ-ปุย .. ด้วยตอนนี้ทั่วทั้ง จ.เชียงใหม่ ต่างพร้อมเพรียงกันสร้างปรากฏการณ์ "โซเชียลแซงก์ชั่น" ด้วยแฮกแทช # เราคนเชียงใหม่ไม่ขอร่วมสังฆกรรมกับคนบ้านป่าแหว่ง .. มีทั้งการแสดงสัญลักษณ์ “ติดริบบิ้นสีเขียว”ไม่เห็นด้วย บางร้านค้าติดไม่ต้อนรับคนทำลายป่า ด้วย .. เป็นอารมณ์คนเชียงใหม่ ที่ตอบโต้ “ฝ่ายศาล” โดยผู้บริหารศาลอุทธรณ์ภาค 5 ที่เริ่มออกมาเคลื่อนไหวบ้างแล้ว .. เมื่อ ชำนาญ รวิวรรณพงษ์ ประธานแผนกคดีล้มละลายในศาลฎีกา ในฐานะอดีตประธานศาลอุทธรณ์ภาค 5 และ สวัสดิ์ สุรวัฒนานันท์ ประธานศาลอุทธรณ์ภาค 5 คนปัจจุบัน นำข้าราชการตุลาการ ร่วมกันปลูกต้นไม้ เนื่องในวันศาลยุติธรรม ในบริเวณ“หมู่บ้านป่าแหว่ง” ..ภาพที่ออกมา ทำให้ เครือข่ายภาคประชาชน ดูจะไม่ค่อยปลื้ม ด้วยรู้ว่าเป็น “อีเว้นท์สร้างภาพ”พร้อมปล่อยข้อมูลว่า ฤดูกาลนี้ปกติเขาจะไม่ปลูกต้นไม้กัน เพราะอากาศร้อน-แล้ง .. ไม่เท่านั้น ความคิดอ่านของ 2 ผู้อาวุโส ยังทำให้อะไรๆ ดูแย่ลงไปอีก ทั้ง “ท่านสวัสดิ์” ที่ว่า “ในมุมมองของเรา เราทำถูกต้องแล้วในแง่ของกฎหมาย และเป็นทรัพย์สินทำลายยาก ไม่ง่ายที่จะทำลาย” .. ขณะที่ “ท่านชำนาญ” นี่ไปกันใหญ่ว่า อาคารสถานที่เป็น “ทรัพย์สินของแผ่นดิน” ใครรื้อถอนทำลาย มีความผิด ต้องออกเป็น พ.ร.บ.ต้องเสี่ยงภัยต่อการรับผิดชอบ ซึ่งทำไม่ง่าย .. หนักไปกว่านั้น คงเป็นท่อนที่ว่า “อีกไม่นาน จะต้องมีคดีเลือกตั้งท้องถิ่น จะมีการฟ้องกันที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 แล้วใครจะพิจารณาหากผู้พิพากษาไม่มีที่อยู่ ท่านอาจจะต้องเดินทางไปฟ้องกันที่กรุงเทพฯ ทั้งภาคเลย เป็นเรื่องใหญ่ ท่านไม่อำนวยความสะดวกให้กับผู้พิพากษา” ..

ใครได้ฟังเป็นต้องเดือด เหมือนหยิบยกการฟ้องคดีมาเป็น “ตัวประกัน” และเหมือนขู่กันว่า หากศาลไม่ได้อยู่ที่ “หมู่บ้านป่าแหว่ง” ก็คงอยู่ที่ จ.เชียงใหม่ ไม่ได้ .. ก่อนที่ “ชำนาญ” จะขมวดบทสรุปว่า “ให้ศาลอยู่ก่อน และให้ศาลปรับระบบสภาพสิ่งแวดล้อม แล้ว 10 ปี มาดูกันว่าสามารถฟื้นฟูให้เป็นสภาพป่าได้หรือไม่ ... ขอเวลาแค่ 10 ปี แล้วเรามาว่ากันว่า บริเวณนี้ยังเป็นทะเลทรายค่อยมาดูกันอีกที” .. เป็นการสรุปแบบไม่รอฟังท่าทีของรัฐบาล ที่ “สำนักงานศาลยุติธรรม”แจ้งไปว่า ไม่ว่ารัฐบาลจะตัดสินใจอย่างไร ก็ไม่ได้ขัดข้อง .. ตลอดจนไม่ฟัง “เสียงคัดค้าน” และข้อเสนอของคณะกรรมการร่วมฯ ที่ “อุทธรณ์ภาค 5” ไม่ยอมเข้ามามีส่วนร่วม .. ซึ่งล่าสุดมีการสรุปเป็น 4 ประเด็นใหญ่ๆ ใจความสำคัญ คือให้ รื้อถอนอาคารสถานที่ใน “พื้นที่ป่าแหว่ง” ทั้งหมด ส่งคืนกรมธนารักษ์ เพื่อให้กระทรวงทรัพยากรฯประกาศเป็นเขตอุทยาน แล้วให้รัฐบาลจัดสรรพื้นที่แห่งใหม่และงบประมาณก่อสร้างให่ใหม่ .. สุดท้ายคือ ทำสัญญาประชาคมไม่ให้มีการในพื้นที่ราชพัสดุที่เป็นป่ารอยต่อ เพื่อเป็นบรรทัดฐานการใช้พื้นที่ป่าทั่วประเทศต่อไปในอนาคต.


** ศึกนี้ใหญ่หลวงนัก!! “ขาใหญ่คณะสงฆ์”ผนึกกำลังกดดัน “พงศ์พร”หนัก ถึงขั้นต้องสาบานกลางที่ประชุม มส. “มือปราบอลัชชี”ยังต้องตะลุยเดี่ยวต่อไป ฝ่ายรัฐคอยแต่เอาหน้า พยายามลอยตัว ลดแรงปะทะกับ "คณะสงฆ์" สะพัดอีก 7 วัดเอี่ยวเงินทอน “วัดดังเมืองกรุง”ทั้งนั้น

มากันอย่างพร้อมหน้า .. วงประชุม มหาเถรสมาคม (มส.) เมื่อศุกร์ที่แล้ว ทั้งรายของ “มือปราบอลัชชี”พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ในฐานะเลขานุการ มส. .. ที่เพิ่งเปิดเกมรุก ร้องทุกข์ต่อ กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิกชอบ (บก.ปปป.) ในคดีทุจริต “เงินทอนวัด”ลอตที่ 3 ที่มีชื่อ 5 พระชั้นผู้ใหญ่ แบ่งเป็น " 3 พระพรหม 2 พระชั้นราช" ถูกดำเนินคดี .. จำนวนนี้มีระดับกรรมการ มส. ถึง 3 รูป ที่เข้าประชุม มส.กันอย่างพร้อมเพรียงเช่นกัน ตั้งแต่ “เจ้าคุณเอื้อน”พระพรหมดิลก เจ้าอาวาสวัดสามพระยา .. “เจ้าคุณจำนงค์” พระพรหมเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม และเจ้าคณะภาค 4-7 และ “เจ้าคุณธงชัย” พระพรหมสิทธิ เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร และเจ้าคณะภาค 10 .. ถือเป็นการเผชิญหน้ากันอย่างเป็นทางการครั้งแรกของทั้ง 2 ฝ่าย ที่แม้มีการทักทายกันเป็นมารยาท แต่ก็สัมผัสได้ไม่ยากว่ามี “รอยร้าวลึก”กันอยู่ .. ว่ากันว่าไม่เพียงแต่เล่นงาน “พระผู้ใหญ่”ระดับ “บอร์ดพระ”เท่านั้น ทั้ง “3 เจ้าคุณ”ยังเป็นระดับ “สายแข็ง” ที่ในทางสงฆ์ก็เป็นแบ็คให้กับ “ลัทธิธรรมกาย”เฉกเช่นเดียวกับ “สมเด็จช่วง”สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ แห่งวัดปากน้ำ .. ทั้งยังเชื่อมโยงกับในทางโลก ที่เป็นที่ศรัทธาของ “บิ๊กค่ายเพื่อไทย”จึงไม่แปลกว่า “เจ๊ใหญ่เสื้อแดง”ธิดา ถาวรเศรษฐ แห่ง นปช. ถึงพับออกปากปกป้อง 3 เจ้าคุณ พร้อมกับวิเคราะห์ว่า การเล่นงาน “พระจีวรแดง”รอบนี้มีนัยแอบแฝงเรื่องการเมือง ของ “บิ๊ก คสช.” ..

งานนี้ “ผอ.พงศ์พร”ที่เปิดร้านรับอัดกรอบพระรอบนี้ เท่ากับเปิดหน้าชนกับขั้วอำนาจทั้งทางโลก-ทางสงฆ์เข้าอย่างจัง .. อ่านภาษากายของ “ผอ.พงศ์พร”ที่ออกมาแถลงหลังการประชุม มส. ก็ต้องบอกเลยว่า ดูอึดอัดไม่น้อย คล้ายกับผ่านศึกหนักมาในการประชุม .. อีกทั้งเนื้อหาของการแถลงยังไม่ได้ลงลึกถึงรายละเอียดใดๆ เพียงแต่ยืนยันว่า เป็นการกล่าวโทษตามข้อมูล ไม่ได้มีอคติใดๆ ทั้งสิ้น .. ท่ามกลางกระแสข่าวว่า ที่ประชุม มส. มีมติให้ “ผอ.พงศ์พร”แถลงยืนยันว่า ไม่ได้มีการระบุโทษทางพระธรรมวินัยปรับอาบัติ-ปาราชิก “5 พระชั้นผู้ใหญ่”ในข้อความที่ไปดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษที่ บก.ปปป. ปรากฏว่า ผอ.สำนักพุทธฯ ไม่ได้กล่าวถึงแต่อย่างใด .. ว่ากันว่าในที่ประชุม มส. ได้คาดคั้นเรื่องอาบัติ-ปาราชิก จน “ผอ.พงศ์พร”ถึงขั้นต้องสาบานต่อที่ประชุมเลยทีเดียว .. แล้วยังมีสัญญาณว่า “พระผู้ใหญ่”ดูจะไม่พอใจพอสมควร ตามคิวที่ “เจ้าคุณเกษม”พระธรรมกิตติเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชาธิวาส ในฐานะประธานศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ที่เป็น “องค์กรสายปากน้ำ-ธรรมกาย”ออกมาขู่ฟ่อว่า แบบนี้บานปลายแน่นอน .. ยิ่งล่าสุด มีการกางชื่ออีก 7 วัด ในพื้นที่ กทม. ที่เข้าข่ายทุจริตเงินอุดหนุนโรงเรียนพระปริยัติธรรม ล้วนเป็น “วัดดังเมืองกรุง”ทั้งสิ้น .. ตั้งแต่ วัดพิชยญาติการาม วัดเทพศิรินทราวาส วัดสุทัศนเทพวราราม วัดเทวราชกุญชร วัดบวรนิเวศวิหาร วัดอรุณราชวราราม และ วัดกวิศราราม .. ศึกนี้ใหญ่หลวงนัก แต่ดูเหมือน “ผอ.พงศ์พร”จำต้องตะลุยเดี่ยวต่อไป ก็ด้วยฝ่ายรัฐเอง ก็คอยแต่เอาหน้า แต่พยายามลอยตัว เพื่อลดแรงปะทะกับ "คณะสงฆ์" .. และพร้อมถอยทุกเมื่อ เหมือนเมื่อคราวที่ “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยเปลี่ยนตัว “พงศ์พร” ออกจาก ผอ.พศ. นั่นแหละ


** แถกันสีข้างถลอก!! คลิปลับ “นายกฯไม่แฮปปี้”ก่อนคว่ำ 14 แคนดิเดต กสทช. ทำร้อนทั้งสภาฝักถั่ว “บิ๊กอู๊ด”ร้องเสียงหลง “ไม่ใช่เสียงโผ้มม”ส่วน “เดอะเอ๋-สมชาย”อ้างตัดต่อ หารู้ไม่ ยังมีคลิปฉบับเต็ม เปิดออกมารู้หมด “ใครเป็นใคร” จับตา ม. 44 ทำผิดเป็นถูก พร้อมหั่นสเปก กสทช. เปิดทาง “ขาใหญ่ตัวจริง”

คิดกันไปเอง .. เจอพิษ “คลิปหลุด”ที่มีเสียง “ชายปริศนา” ระบุว่า“นายกฯไม่แฮปปี้ทั้ง 14 รายชื่อ” ก่อนที่ “สภาฝักถั่ว”สภานิติบัญญติแห่งชาติ (สนช.) จะโหวตคว่ำ 14 รายชื่อ กสทช. แบบบังเอิ๊ญ บังเอิญ .. ทำเอาร้อนกันทั้ง สนช. ตั้งกรรมการสอบที่มาที่ไป พร้อมแก้ตัวกันจ้าละหวั่นว่า คลิปเสียงที่ว่า ไม่เกี่ยวกับการโหวต กสทช. ทั้งที่เนื้อหาในคลิป มันชัดในตัวว่า พูดถึงเรื่องอะไร .. งานนี้ พล.อ.อู๊ด เบื้องบน ประธาน กมธ.ตรวจสอบประวัติฯ ถึงกับร้องเสียงหลง “ไม่ใช่เสียงโผ้มมมมม” ..ขณะที่ “เดอะเอ๋” สมชาย แสวงการ สมาชิก สนช. ในฐานะเลขาฯวิป สนช. และร่วมเป็น กมธ.ตรวจสอบประวัติฯด้วย ผู้เสนอญัตติให้ที่ประชุมโหวตคว่ำ กสทช. ก็หงายการ์ด “คลิปตัดต่อ” วิเคราะห์อย่างผู้เชี่ยวชาญว่า “เสียงกระโดด” .. ต่างคนต่างปัดสวะ โดยที่ไม่มี ว่านั่นแค่ “ฉบับย่อ” ตัดเฉพาะไคลแมกซ์ ยังมี “ฉบับเต็ม”ความยาวเป็นชั่วโมง ที่หากฟังไม่ใช่ว่า จะรู้ว่าเรื่องอะไร ยังจะรู้ด้วยว่า “ใครเป็นใคร” .. ที่น่าตลกกว่านั้น ก็ “เดอะเอ๋” ผู้ได้ชื่อว่า “สายตรง คสช.”เองที่กล้าออกมาปฏิเสธด้วยว่า “นายกฯสั่ง สนช.ไม่ได้อยู่แล้ว และนายกฯไม่เคยสั่ง สนช.” ..

อย่าลืมว่าวันก่อนที่ สนช.ตีตก กสทช. ด้วยคะแนน 118 เสียงนั้น ช่วงสายวันเดียวกัน ก็ไม่เห็นชอบชื่อ ภรณี ลีนุตพงษ์ เป็น ผู้ตรวจการแผ่นดิน ด้วยเสียง 117 เสียง .. เสียงคว่ำห่างกันแต้มเดียว ใกล้เคียงกันอย่างร้ายกาจ ท่ามกลางกระแสข่าวว่ามี “ใบสั่งผู้มีอำนาจ”ทั้ง 2 วาระ .. กรณีผู้ตรวจฯ ไม่เท่าไร มีเหตุผลเรื่องพฤติกรรมหลายประเด็น แต่กรณี กสทช. นี่ดันเป็นเรื่อง “คุณสมบัติ”ล้วนๆ .. ที่ สุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธาน สนช. บอกเองว่า สนช.ไม่มีอำนาจวินิจฉัยคุณสมบัติบุคคล .. พูดง่ายๆ คือ “ทำเกินกว่ากฎหมาย”กำหนด ก็ด้วย พ.ร.บ.กสทช. บอกให้ สนช. ทำได้แค่เลือกตามโผที่กรรมการสรรหาส่งมาให้เลือก 7 คน จาก 7 ด้าน เท่านั้น .. จนกลายเป็นว่า สถาบัน “ต้นธาร”แห่งการออกตรากฎหมาย กลับทำผิดกฎหมายเสียเอง ด้วยทะนงตัวว่ามี “เอกสิทธิ์คุ้มครอง” ..ด้วยความที่ทำในเรื่องที่กฎหมายไม่ให้ได้อำนาจไว้นี่เอง ก็เลยต้องพึ่ง “อภินิหาร”จากผู้ที่ไม่เคยครอบงำ สนช.อย่าง “นายกฯตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะหัวหน้า คสช. ในการออกคำสั่ง มาตรา 44 ประทับตราให้การโหวตคว่ำ กสทช. ถูกต้องตามกฎหมาย .. ทั้งยังจะใช้ มาตรา 44 ในการงดเว้น “คุณสมบัติบางประการ”ของผู้สมัครเป็น กสทช. หนต่อไป.. ทั้งที่ปากก็ว่า ที่จำเป็นต้องต้องคัดเลือกผู้มีความรู้ความสามารถ-เชี่ยวชาญ เข้ามาสานต่อภารกิจสำคัญของ กสทช. ที่ดูแลประโยชน์หลายแสนล้านบาท .. แต่นี่กลับจะมีการตัดทอนคุณสมบัติบางเรื่อง หรือพูดง่ายๆ “ลดสเปกลง”ซะอย่างนั้น .. สาเหตุหลักก็เพื่อกรุยทางให้ “ขาใหญ่ตัวจริง”ลงสมัคร เพื่อทะยานขึ้นเก้าอี้ประธาน กสทช. รอบต่อไปนั่นเอง .

ช.ชฎา


กำลังโหลดความคิดเห็น