ข่าวปนคน คนปนข่าว
** ต้องสร้างบรรทัดฐาน!! กรมอุทยานฯชิ่งปมร้อน “หมู่บ้านป่าแหว่ง” ชี้อยู่นอกเขตอุทยานฯสุเทพ-ปุย แต่ก็รุกล้ำ “ป่ากันชน” ที่เป็นอีกตำหนิที่น่าจะต้องรื้อ “คฤหาสน์หรู” ทิ้งตามจุดยืนภาคประชาชนเท่านั้น เพื่อสร้างบรรทัดฐานการใช้พื้นที่ป่าในอนาคต ปิดช่องโหว่ข้ออ้าง “ถูกต้องตามกฎหมาย” แต่ละเลยเรื่องผลกระทบสิ่งแวดล้อมเช่นนี้
ร้อนกันอย่างทั่วถึง .. แม้ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรง กับปมพิพาท “หมู่บ้านป่าแหว่ง”โครงการบ้านพักตุลาการ ตีนดอยสุเทพ แต่ก็โดนพาดพิงถึงอยู่บ่อย .. ทำเอา ธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ ต้องเจียดเวลาวันหยุดมาตั้งโต๊ะแถลงข่าว เพื่อชี้แจงว่า พื้นที่ก่อสร้าง “หมู่บ้านป่าแหว่ง” ไม่ได้อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย แต่ประการใด พร้อมไล่เรียงลำดับเหตุการณ์อย่างละเอียด .. ในคำแถลงของ “อธิบดีฯธัญญา”ระบุหลายหนว่า โครงการฯไม่ได้บุกรุกอุทยานแห่งชาติ แต่ก็อยู่ในพื้นที่ “ป่ากันชน”ที่เกือบจะติดกับแนวเขตอุทยานแห่งชาติ .. เป็นอีก “ตำหนิ”ที่ขยายความ “ไม่เหมาะสม”ของโครงการบ้านพักผู้พิพากษาแห่งนี้ จนยากที่จะไปทำประโยชน์อื่น อย่างที่ “ผู้มีอำนาจ”แย้มๆกันไว้ .. ก็เป็นรู้กันว่าพื้นที่ “ป่ากันชน” มีความสำคัญยิ่งยวดไม่แพ้พื้นที่ป่าอุทยาน หรือในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ แต่ประการใด .. อีกทั้งต้องไม่ลืมว่าแนวที่ดินราชพัสดุ ของกรมธนารักษ์ ผืนที่ “หมู่บ้านป่าแห่วง”ตั้งอยู่นั้น ยังไต่แนว “ป่ากันชน”ที่เป็น “ป่าเต็งรั้งสมบูรณ์”และเป็นรั้วของอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย ไปในทางยาว .. การตัดสินใจเกี่ยวกับ “หมู่บ้านป่าแหว่ง”ครั้งนี้ ก็จะใช้เป็นบรรทัดฐานการขออนุญาตใช้พื้นที่ “ป่ากันชน”ต่อไปในอนาคต .. อีกทั้งต้องรื้อพื้นที่“ป่าเสื่อมโทรม” ทั่วประเทศมาพิจารณาตามสภาพปัจจุบัน และกำหนดวงรอบในการตีความว่าพื้นที่ใดสมบูรณ์หรือพื้นที่เสื่อมโทรมให้เป็นปัจจุบัน ไม่ปล่อยไว้ให้เป็น “ช่องโหว่” ให้ลุกลานผืนป่าเฉกเช่นครั้งนี้ ..
แนวทาง “รื้อเท่านั้น”เพื่อลดกระแสการคัดค้านต่อต้าน ก็ไม่ใช่เรื่องน่าเสียหน้า หมิ่นศักดิ์ศรี ของรัฐบาล หรือองค์กรตุลาการแต่ประการใด แถมยังจะได้ใจประชาชนด้วยซ้ำ .. ส่วนงบประมาณที่สูญเสียไป ก็ถือเป็น “ค่าโง่”ที่ต้องไปทวงถามเรียกเอากับ “ผู้ที่เกี่ยวข้อง”โดยเฉพาะคนที่จงใจมองข้ามความสมบูรณ์ของผืนป่า ดื้อตะแบงว่าเป็น “ป่าเสื่อมโทรม”แล้วปล่อยให้มีโครงการก่อสร้างถาวรวัตถุเข้าไปในบริเวณนั้น .. อย่าปล่อยเป็นเรื่องเลยตามเลย ไล่เรียงสอบสวนข้อเท็จจริง เปิดโปง “ตัวการ”ให้สาธารณะได้รับทราบใครกันที่เป็นต้นเหตุทำให้ “ป่าแหว่ง”เป็นแผลเป็นของผืนป่า เป็นแผลเป็นในความรู้สึกของประชาชนที่มีต่อ “องค์กรผู้พิพากษา”..ก็ในความถูกต้องที่กล่าวอ้างกันมานั้น ยังแฝงไปด้วยการละเลยข้อปฏิบัติของ“กฎหมายสูงสุด”ในการไม่มีการทำประชาพิจารณ์ผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างรอบด้านเสียก่อนจะเริ่มโครงการ .. จะถือเป็นการพลิกวิกฤตเป็นโอกาส ในการสร้างบรรทัดฐานที่ดีต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต่อไปในอนาคต หาใช่มาตะแบงเสียงแข็งว่า“ทำถูกกฎหมาย-ขออนุญาตถูกต้อง”อยู่อย่างนี้.
**ลามเป็นขี้กลาก!! คดีเงินทอนวัดลอต 3 พระผู้ใหญ่วัดดัง กทม. มีเอี่ยว 5 รูป เป็นกรรมการ มส.ถึง 3 รูป “เจ้าคุณเอื้อน - เจ้าคุณจำนงค์ - เจ้าคุณธงชัย” พัวพันแก๊งอลัชชีในคราบผ้าเหลือง วัดใจ “ที่ประชุมมหาเถรฯ”ออกแอกชัน หากปล่อยผ่านคงหนีไม่พ้น“วิกฤตมหาเถรฯ”
สั่นสะเทือนหลายริกเตอร์ .. หลังรีเทิร์นเก้าอี้ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ข่าวคราว พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ก็เงียบหายไปนานทีเดียว .. พอกลับมาเป็นข่าวก็ “จัดหนัก”ด้วยการแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ “คดีทุจริตเงินทอนวัด”กับกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) เพื่อเอาผิดวัดในพื้นที่ กทม. 3 แห่ง จำนวน 4 คดี .. ถือเป็น “ลอตที่ 3”ของคดีนี้ปรากฏว่ามีชื่อ “พระผู้ใหญ่” เกี่ยวข้องถึง 5 รูป แต่ละรูปถือเป็นระดับ“พระสังฆาธิการ”ผู้ปกครองคณะสงฆ์ทั้งสิ้น .. อันประกอบด้วย “เจ้าคุณเอื้อน” พระพรหมดิลก เจ้าอาวาสวัดสามพระยา กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) และเจ้าคณะ กทม. “เจ้าคุณจำนงค์”พระพรหมเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม กรรมการ มส. และเจ้าคณะภาค 4-7 .. อีก 3 รูปมาจากวัดวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ตั้งแต่ “เจ้าคุณธงชัย”พระพรหมสิทธิ เจ้าอาวาส กรรมการ มส. และเจ้าคณะภาค 10 พร้อมด้วยผู้ช่วยเจ้าอาวาส 2 รูป ได้แก่ “เจ้าคุณสังคม”พระเมธีสุทธิกร และ “เจ้าคุณเทอด”พระวิจิตรธรรมาภรณ์ .. ที่สำคัญยังไม่หมดแค่นี้ สำหรับลอตที่ 3 ที่มีทั้งหมด 10 วัด แจ้งความแล้ว 3 วัด เหลืออีก 7 วัด ข่าวว่า “ผอ.พงศ์พร”จะไปแจ้งความและให้ข้อมูลเพิ่มเติมในวันที่ 19 เม.ย.นี้ ..
ตามขั้นตอน พล.ต.ต.กมล เหรียญราชา ผบก.ปปป. แจ้งว่า ได้ส่งสำนวนไปให้กับทาง ป.ป.ช. กองรวมกับสำนวนคดี “เงินทอนวัด”ทั่วประเทศหลายสิบวัด ช่วงตั้งแต่ปี 2555-2560 ที่ส่งไปให้ก่อนหน้านี้ .. ไล่เรียง 5 พระเถระ ที่ชื่อมัวหมองไปกับขบวนการอลัชชีที่แฝงตัวอาศัยคราบผ้าเหลืองแสวงหาผลประโยชน์ครั้งนี้ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นสาย “ปากน้ำ-ธรรมกาย” ทั้งสิ้น และยังเป็น 3 โหวตเตอร์ที่ลงมติไม่ให้ “ธัมมชโย” ต้องอาบัติปาราชิกอีกด้วย .. ตั้งแต่ “ดร.เอื้อน”แห่งวัดสามพระยาฯ ผู้เคยประกาศว่า “ประเทศไทยจะขาดธัมมชโยไม่ได้" ทั้งยังเคยเป็นแกนนำในการตั้งแง่ตำหนิการทำงานของ “ผอ.พงศ์พร”มาแล้ว .. ขณะที่ “เจ้าคุณจำนงค์”แห่งวัดวัดสัมพันธวงศ์ ก็เคยสร้างวาทกรรมไว้อย่างสวยหรูว่า “ปัญหาสงฆ์ต้องแก้กันเอง” รวมทั้งใช้ศรัทธาญาติโยมเป็นผนังพิงว่า “การตรวจสอบทรัพย์สินของ มส. และพระสงฆ์ ก็เหมือนการตรวจสอบศรัทธาของประชาชน”ว่าไปนู้น .. ขณะที่ 3 เถระผู้ใหญ่จากวัดสระเกศ ก็สืบทอดความสัมพันธ์“ปากน้ำ - ธรรมกาย”จากรุ่นสู่รุ่นอยู่แล้ว ไม่ต้องอรรถาธิบายให้มากความ .. ที่น่าสนใจคือ รายชื่ออีก 7 วัด ในลอตที่ 3 เฟสที่ 2 จะมีชื่อ “พระผู้ใหญ่”พัวพันอีกกี่รูป อีกทั้งต้องรอดูว่า “ที่ประชุมมหาเถรฯ”จะมีมาตรการใดออกมาหรือไม่ .. ก็อย่างกรณี “ เจ้าคุณบุญเทียม”พระราชรัตนมุนี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการาม กทม. ก็ต้องคดีเดียวกันก็ยังไม่เห็นทำอะไร .. จนถูกนินทาว่ามี “สมเด็จสมศักดิ์” สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ เจ้าอาวาสวัดพิชยญาติฯ เจ้าคณะหนกลาง และกรรมการ มส. คุ้มหัวอยู่ .. หนนี้ผู้ถูกหล่าวหาเป็นกรรมการ มส.ถึง 3 รูป หากไม่มีแอกชันใดๆ ออกมา ก็จะยิ่งมีคำถามถึงการปกครองของสงฆ์ด้วยกัน แล้วก็จะผลักให้สถานการณ์จาก “วิกฤตผ้าเหลือง”เข้าสู่ “วิกฤตมหาเถรฯ”อย่างแท้จริง.
**เกาไม่ถูกที่คัน!! “บิ๊กไก่อู” ชง ม.44 ให้ "ช่อง 11" โฆษณาได้ อ้างงบฯน้อยทำรายการดีๆ ไม่ได้ คงลืมคิดไปว่าไร้ “อาการสมอง”จ้องแต่จะ “ล้างสมอง”ใครมันจะไปดู ใช่ว่ามีโฆษณาแล้วจะรอด ขนาดรายการดีๆอย่าง “ขันเป็นข่าว”มี “มือถือค่ายเขียว" สปอนเซอร์ ยังฉายได้ไม่กี่เทปเอง
นับเป็นปัญหาโลกแตก .. ทำไมถึงไม่มีคนดู “ช่อง 11”ก็ด้วยความเป็น “ทีวีรัฐ”ที่ไม่หวือหวาอลังการดาวล้างดวงอย่าง “ทีวีเอกชน” เขา .. ยิ่งมายุค คสช.เรืองอำนาจ แล้วให้ “บิ๊กไก่อู”พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกรัฐบาล มานั่งคร่อม อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ดูแล ช่อง 11 NBT ด้วยแล้ว ยิ่งไปกันใหญ่ .. ด้วยข้ออ้างเรตติ้งไม่กระเตื้องนี่เอง “เสธ.ไก่อู”ก็เห็นว่ากำลังจะมีการออกคำสั่ง มาตรา 44 เกี่ยวกับ “ทีวีดิจิทัล”อยู่พอดี .. ก็เลยผสมโรงขอ “นายกฯตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ช่วยเซ็น มาตรา 44 ให้สถานีโทรทัศน์ NBT มีโฆษณาได้ ด้วยว่าต้องการจูงใจให้ผู้ผลิตฝีมือดีเข้ามาทำรายการ ทำให้เรตติ้งกระเตื้อง .. โดยอ้างว่ากรมประชาสัมพันธ์ได้รับงบประมาณไม่กี่ร้อยล้านบาท ครั้นจะไปทำเนื้อหารายการแข่งกับทีวีช่องอื่นก็ไม่ไหว หากมีโฆษณาได้ ก็จะทำให้ผู้ผลิตรายการเจ้าอื่นๆ สนใจทำรายการป้อน ช่อง 11 NBT นั่นเอง .. ใครได้ยินแนวคิดนี้ก็ต้องร้องทันทีว่า “เกาไม่ถูกที่คัน - ตั้งโจทย์ผิด”ก็ด้วยวัตถุประสงค์ของ ช่อง 11 NBT อยู่ในสถานะ “ทีวีช่องสาธารณะ”เพียงเพื่อรณรงค์ประชาสัมพันธ์เรื่องที่เป็นประโยชน์กับส่วนรวม .. การที่กำหนดไม่ให้มีโฆษณานั้น เพื่อให้ปราศจากการครอบงำนั่นเอง แต่ทุกยุค กลับถูกใช้เป็นเครื่องมือของผู้มีอำนาจมากกว่า (ยุคนี้ก็เช่นกัน) จนทำให้ไม่เป็นที่ยอมรับเหมือน “ทีวีรัฐ”ในต่างประเทศ ..
อีกทั้ง “บิ๊กไก่อู”บอกด้วยว่า ไม่ได้หวังกำรี้กำไร แค่ต้องการผลิตรายการข่าวเพื่อรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้มีประสิทธิภาพมาก .. ก็ต้องไล่ให้ไปดู ตารางเรตติ้ง “ทีวีดิจิทัล”ตลอดกว่า 3 ปีที่ผ่านมา ก็จะเห็นตำตาว่า “ช่องข่าว”กองรวมกันอยู่ด้านท้ายทั้งสิ้น .. “ทีวีดิจิทัล”มีนายทุนหนาแค่ไหน ยังทำท่าจะโบกมือบ๊าย..บาย กันเป็นทิวแถว .. แล้วถามว่าหาก ช่อง 11 NBT มีโฆษณาได้ จะจูงใจแค่ไหน ในเมื่อ “แอร์ไทม์”ของทีวีช่องหลักๆ ก็ปักป้ายขายกันถูกๆอยู่แล้ว .. แล้วในภาวะแข่งขันของสื่อที่ต้องสร้างสรรค์คอนเทนด์ให้โดนใจผู้บริโภค แต่ “ข้อจำกัด” ของช่อง 11 NBT คอยมุ่งแต่ยัดเยียด “เนื้อหาล้างสมอง” ที่ใครได้เสพต้องมีอ้วกกันไปข้าง .. ไม่กี่เดือนก่อน “อธิบดีไก่อู”ผู้รับผิดชอบงานพีอาร์ภาครัฐ ยังประกาศก้องว่า จะพลิกโฉมงานประชาสัมพันธ์ภาครัฐให้ประชาชนร้อง “ว้าว” .. ถึงขนาดที่ “บิ๊กจิน”พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกฯ และ รมว.ยุติธรรม เป็นหัวหน้าทีมปรับกลยุทธ์ด้านการประชาสัมพันธ์งานของรัฐบาล ยังอดแซวไม่ได้ว่า ร้องว้าว หรือร้องว้ากันแน่ .. คิดเหรอว่าแค่เปิดโอเพ่นให้มีโฆษณาได้แล้วจะไปรอด ดูอย่างรายการในตำนานอย่าง “ขันเป็นข่าว”ที่ออกอากาศทาง ช่อง 11 NBT นี่แหละ แล้วมี “ท่านไก่อู”เปิดหน้าเป็นผู้ดำเนินรายการเอง ตอนนั้นก็มีโฆษณาขึ้นเครดิต “มือถือค่ายเขียว”โชว์หราท้ายรายการ ก็ยังไปไม่รอดเล้ยยย.
ช.ชฎา