ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เปิดแชมเปญฉลองกันสนั่น “ค่ายสนามบินน้ำ” สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หลัง ศาลรัฐธรรมนูญ ลงมติเอกฉันท์วินิจฉัยว่า ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ 2560
มติของศาลรัฐธรรมนูญส่งผลให้กรรมการ ป.ป.ช.ทั้ง 7 ใน 9 ราย ประกอบด้วย พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช., ปรีชา เลิศกมลมาศ, พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง, ณรงค์ รัฐอมฤต, สุภา ปิยะจิตติ, วิทยา อาคมพิทักษ์ และ พล.อ.บุณยวัจน์ เครือหงส์ ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้จนครบวาระ 9 ปี
แม้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ลั่นทุ่ง โดยเฉพาะเสียงจาก คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ที่มีความเห็นร่วมกันว่า การเขียนกฏหมายแบบ “ลูกฆ่าแม่” เอาบทบัญญัติของกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญไปยกเว้นบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
แต่เมื่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญถือว่าเป็นที่สุดและผูกพันทุกองค์กร ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้
เฉพาะในส่วนของ ป.ป.ช.ใหม่ที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งเมื่อเดือนธันวาคม 2558 จำนวน 5 ราย ประกอบด้วย พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ, พล.อ.บุณยวัจน์ เครือหงส์, วิทยา อาคมพิทักษ์, สุวณา สุวรรณจูฑะ และ สุรศักดิ์ คีรีวิเชียร จะเหลือเวลาทำหน้าที่ยาวๆ ไปอีกราว 7 ปีถึงจะครบเทอม
สมใจอยาก “ผู้มีอำนาจ” ที่หนุนส่งให้มีการต่อวีซ่า 7 ป.ป.ช.อย่างเต็มที่ด้วยเหตุผลที่ฟังแล้วขัดหูพิกลว่า “กำลังทำงานเข้าฝัก” ทั้งที่ผลงานหลังจาก “บิ๊กกุ้ย” พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ยึดหัวหาดขึ้นเป็นประธาน ป.ป.ช. เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม
อีกทั้ง “ประธานกุ้ย” ยังยอมรับหน้าชื่นว่า มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกับ “บ้านวงษ์สุวรรณ” ทั้งคนพี่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และคนน้อง “บิ๊กป๊อด” พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ที่ทั้งคู่เคยเป็น “เจ้านายเก่า” ของ “บิ๊กกุ้ย” ก่อนที่จะมาเป็นใหญ่ที่ “อาณาจักรสนามบินน้ำ” ท่ามกลางกระแสข่าวน่าเชื่อว่า “บ้านวงษ์สุวรรณ” ส่งเข้าประกวด
สิ่งที่น่าหวั่นใจก็ด้วย ป.ป.ช.ถือเป็น “องค์กรอิสระ” ที่เคยมีเครดิตได้รับการยอมรับอย่างสูงมากโดยตลอด ด้วยบทบาทฟาดฟัน “นักการเมือง-ข้าราชการ” ที่มีพฤติกรรมทุจริตประพฤติมิชอบอย่างไม่ไว้หน้า แต่พลันที่ ป.ป.ช.ชุดใหม่ที่ได้ชื่อว่าเป็น “สายตรงวงษ์สุวรรณ” เข้ามา ผลงานของ “องค์กรปราบโกง” ที่ทรงพลานุภาพ กลับหดหายไปเฉยๆ
จนถูกวิจารณ์ว่าได้ปรับกระบวนทัพกลางเป็นเพียง “เครื่องมือการเมือง” ที่ถูกใช้เป็น “ผงซักฟอก” ให้กับ “ผู้มีอำนาจ”ยุคปัจจุบัน ด้วยแนวทางการพิจารณาคดีที่ “ตรงกะเท่เร่” กลายเป็นขี้ปากชาวบ้านบ่อยครั้ง
ทั้งภารกิจแรกที่ ป.ป.ช.ชุดนี้เสียเวลาเป็นแรมปี กับการเป่าคดีสลายชุมนุมพันธมิตรฯ 7 ต.ค. 51 ที่มี “บิ๊กป๊อด” พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ เป็น 1 ใน 4 จำเลย แม้จะถอนฟ้องในชั้นศาลไม่ได้ เมื่อถูก “ขั้วอำนาจเก่า” ใน ป.ป.ช.ปล่อยข่าวดักทางขัดขวางโดยตลอด แต่ที่สุด เมื่อศาลมีคำพอพากษายกฟ้อง ป.ป.ช.ก็เลือกอุทธรณ์ “บิ๊กเบื๊อก” พล.ต.อ.สุชาติ เหมือนแก้ว เพียงรายเดียว
ปลดพันธนาการให้ “บิ๊กป๊อด” ที่ว่ากันว่ามีบุญคุณท่วมหัว “บิ๊กกุ้ย” สมัยเมื่อ “นาย - ลูกน้อง” เมื่อครั้งรับราชการตำรวจ
หรือการที่ ป.ป.ช.มีมติไม่รับเรื่องที่ยื่นกล่าวหา “บิ๊กติ๊ก” พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม บรรจุลูกชายเข้ารับราชการทหารสังกัดกองทัพภาคที่ 3 ทั้งที่สังคมมองว่าเป็น “ผลประโยชน์ทับซ้อน” ชัดเจน
ตลอดจนเรื่องร้อนๆ ที่อยู่บนตัก ป.ป.ช.อย่างกรณีการตรวจสอบ “โคตรนาฬิกาหรู” ของ “เสี่ยป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ยักแย่ยักยันมาร่วม 3 เดือน ลบเส้นตายขีดใหม่หลายครั้ง ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะสรุปผลออกมาได้
แม้จะรู้เต็มอกว่า ผลสอบของ “ป.ป.ช.สายตรงวงษ์สุวรรณ” จะออกมาหน้าไหน แต่ก็อยากให้แบไต๋กันออกมาให้รู้แล้วรู้รอด แต่หลายคนก็อดทวงถามเสียงดังๆ ไม่ได้ว่า เมื่อไรจะเสร็จ
อย่างกรณีคนที่ คสช.เชิญมาช่วยงาน ต่อตระกูล ยมนาค กรรมการปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และยังเป็นประธานคณะอนุกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติด้านการป้องกันการทุจริต ในคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (คตช.) ที่มี “นายกฯ ตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นประธาน ก็เคยเรียกร้องให้ "บิ๊กป้อม" แสดงสปิริตลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี เพื่อรักษาศรัทธามหาชนที่มีต่อ “นายกฯ ประยุทธ์” แต่ก็ไร้การตอบรับจากปลายทาง แถมตัว “ผู้นำรัฐบาล” ก็มุ่งแสดงท่าทีปกป้อง “พี่ป้อม” อย่างต่อเนื่อง
ไม่เท่านั้น “ต่อตระกูล” ก็ทวงถามบทบาทของ ป.ป.ช.อีกด้วยว่า ประชาชนยังจับตารอฟังผลสอบ “โคตรนาฬิกาหรู” อยู่ ทว่า ป.ป.ช.ก็เลื่อนแล้วเลื่อนอีก พร้อมถามเหน็บว่า หรือจะต้องใช้เวลาถึง 3 ปี เช่นเดียวกับกรณีนาฬิกาหรูมูลค่า 2.5 ล้านบาท ของ “อดีตนายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่ ปี 2557 ก่อนที่ ป.ป.ช.จะเพิ่งแถลงเมื่อ 7 ธันวาคม 2560 ว่าเพิ่งสรุปสำนวนเสร็จ แต่ยังอยู่ในขั้นการพิจารณาของอนุกรรมการไต่สวน
หรือคิวของ “ป้ามล”ทิชา ณ นคร อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ผู้เริ่มแคมเปญใน change.org เพื่อนสนับสนุนคำประกาศของ “เสี่ยป้อม” ที่ระบุว่า จะลาออกถ้าประชาชนไม่ต้องการ โดยมีประชาชนร่วมลงชื่อ 8 หมื่นราย ภายในเวลา 16 วัน ก็เพิ่งบุกสำนักงาน ป.ป.ช.เพื่อทวงความคืบหน้าเรื่อง “นาฬิกาลุงป้อม”
สายข่าวจาก “สนามบินน้ำ” แจ้งว่า นอกจาก “ลูกเล่น” ของ “ผู้ถูกกล่าวหา” ที่ดึงเช็ง ขอเลื่อนการส่งคำชี้แจงแล้ว ที่เรื่องนี้ “อืดเป็นเรือเกลือ” ก็ด้วย “ป.ป.ช.คนหนึ่ง” ที่เป็นประธานอนุฯ สอบปม “โคตรนาฬิกา” กำลังเมามันอยู่กับการจัดวางโยกย้ายบุคลากรระดับสูงของ ป.ป.ช.
เป็นกรรมการ ป.ป.ช.ที่ว่ากันว่ากำลัง “ขึ้นหม้อ” เรียกว่า “ไฮพาวเวอร์” แบบสุดๆ มีบทบาทใน ป.ป.ช.แทบจะเบ็ดเสร็จ ด้วยมีคอนเนกชั่นกับ “ขั้วอำนาจเก่า” อีกทั้งยังสนใจศึกษาสำนวนคดีต่างๆ มากกว่ากรรมการรายอื่น จนสามารถแสดงความคิดเห็นได้ในแทบทุกกรณี
หรือพูดง่ายๆ ว่า ประธานอนุฯ สอบปม “โคตรนาฬิกาเสี่ยป้อม” ให้น้ำหนักกับการบริหารอำนาจภายในสำนักงาน ป.ป.ช.มากกว่าการทำคดีดังให้จบตามเดดไลน์
จากปมเรื่องนี้เอง ก็ทำให้เริ่มจับสัญญาณความเคลื่อนไหวแปลกๆภายใน “อาณาจักรสนามบินน้ำ” ได้บางประการ เป็นความเคลื่อนไหวที่มีความชัดเจนหลังจาก ศาลรัฐธรรมนูญ ต่อวีซ่าให้แก่ 7 ป.ป.ช. ด้วยก่อนหน้านี้มี ป.ป.ช.หลายรายไม่มั่นใจในอนาคตของตัวเอง ไม่เว้นกระทั่ง “บิ๊กกุ้ย สายแข็ง” ที่ดูจะมีคุณสมบัติขัดรัฐธรรมนูญชัดเจนที่สุด
พลันที่ได้ข่าวดีว่า มีงานทำต่อไปอีกจนครบเทอม บรรยากาศภายในสำนักงาน ป.ป.ช.ก็ดูจะ “สมานฉันท์กลมเกลียว” กันมากขึ้น หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันพอสมควร
เดิมมี “ขั้วอำนาจเก่า” ที่ยึดโยงกับอดีต ป.ป.ช.ที่หมดวาระไปแล้วบางราย กับ “ขั้วอำนาจใหม่” ที่ได้รับการอุ้มชูเข้ามาโดย “บิ๊ก คสช.” นำโดย “ประธานกุ้ย” ประมุขสนามบินน้ำคนปัจจุบัน
จับสังเกตได้ว่า ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มักมี “ข่าวรั่ว” ในเชิงมีการเปิดโปงแผนการของ “ขั้วอำนาจใหม่” ในทางลับบ่อยครั้ง อย่างกรณีการพิจารณาช่องทางถอนฟ้องคดีสลายชุมนุมพันธมิตรฯ เป็นต้น
แต่ระยะหลังกลับมีข่าวว่า “ขั้วอำนาจใหม่-เก่า” เริ่มจูนกันติด ด้วยร่วมหัวจมท้าย “ชะตากรรมเดียวกัน” กับปมคุณสมบัติขัดรัฐธรรมนูญ ทำให้มีการเปิดอกทำความเข้าใจกันมากขึ้น รวมทั้งยังมีการประสานประโยชน์ที่ลงตัว แบ่งสรรชัดเจนว่า “ขั้วอำนาจใหม่” โดย “ประธานกุ้ย” จะดูในส่วนของ “เรื่องใหญ่ๆ” และเรื่องที่อาจจะเกี่ยวข้องกับ “บิ๊ก คสช.” รวมถึงบุคคลใกล้ชิด
ขณะที่เรื่องภายในสำนักงาน ป.ป.ช.ก็เปิดทางให้ “ขั้วอำนาจเก่า” จัดสรรได้ตามสะดวก โดยมี “ป.ป.ช.ไฮพาวเวอร์” เป็นคนเดินเกม โดยเฉพาะการแต่งตั้งบุคลากร ที่ทำเอา “คนใน ป.ป.ช.” ร้องจ๊าก ด้วยมีการ “เล่นพรรคเล่นพวก” เสียจนเละเทะ
อย่างวาระแต่งตั้ง “ผอ.ป.ป.ช.ประจำจังหวัด” ที่ว่างลงทั้งหมด 11 แห่ง เมื่อช่วงปลายปีก่อน ปรากฏว่า “ขั้วอำนาจเก่า” โดย “ป.ป.ช.คนเก่ง” จัดโผแบบดัน “เด็กตัวเอง” ไม่สนใจ “สเปกพื้นฐาน” จากเดิมที่ “ผอ.ป.ป.ช.จังหวัด” ควรจะเป็น “สายปราบ (ปราม)” ที่มีความรู้กฎหมายเชี่ยวชาญงานสอบสวน กลับจับวางคนที่เป็น “สายป้อง (กัน)” ที่ไม่เชี่ยวชาญงานสอบสวน หรือ “สายยุทธศาสตร์” ที่ถนัดงานวิชาการ กระทั่ง “สายต่างประเทศ” ดูแลการประสานข้อมูลกับหน่วยงานชาติอื่น
ที่โวยๆ กันก็มี จ.ตรัง ที่เป็น “สายป้อง” ที่ จ.ลำพูน มาจาก “สายต่างประเทศ” ส่วนที่ จ.อุทัยธานี มาจาก “สายยุทธศาสตร์” ว่ากันว่าทั้ง 3 รายมีชื่อเสียง “ด้านกิจกรรมพิเศษ” เลี้ยงดูปูเสื่อจนเป็นที่ถูกใจ “ป.ป.ช.ท่านหนึ่ง” จนได้ดิบได้ดี แม้จะทำงานกันไม่ได้ก็ตาม
เด็ดดวงสุดๆ ก็รายของ วิวัฒนชัย เกษมมงคล ผู้ช่วยเลขาฯ ป.ป.ช. ที่ “อาวุโสน้อยที่สุด” อาศัยความเป็น “เด็กในคาถา ป.ป.ช.ท่านเดิม” ทะลึ่งพรวด ขึ้นเป็น “รองเลขาฯ ป.ป.ช.” จนรุ่นพี่ๆ ค้อนกันขวับ
เรื่องวุ่นๆ ที่ว่ามา เป็นที่รับรู้กันทั้งสำนักงาน ป.ป.ช. และมีรายงานไปถึง “ประธานกุ้ย” เช่นกัน แต่ด้วย “สัญญาใจ” ที่มีกันไว้ ก็เลยไม่ได้เข้ามาก้าวก่ายแต่อย่างใด
แต่ก็ดูเบา “บิ๊กกุ้ย” ไม่ได้ แม้จะไม่ยุ่มย่ามการแต่งตั้งข้าราชการ ป.ป.ช.ในตอนนี้ก็จริง แต่ก็มีการขยับครั้งใหญ่ ที่เป็นการเสริมกองกำลังของตัวเอง ลุกคืบเข้ามาใน ป.ป.ช. กับการประกาศรับโอน “ข้าราชการหน่วยงานอื่น” มาบรรจุเป็น “ข้าราชการ ป.ป.ช.” รวมแล้ว 100 กว่าอัตรา ที่ปรากฎอยู่บนเว็บไซต์ ป.ป.ช.ขณะนี้
แบ่งเป็นเจ้าพนักงานป้องกันการทุจริต ระดับชำนาญการ จำนวน 43 อัตรา เจ้าพนักงานตรวจสอบทรัพย์สิน ระดับชำนาญการ จำนวน 24 อัตรา และพนักงานไต่สวน ระดับชำนาญการ จำนวน 43 อัตรา และระดับชำนาญการพิเศษ จำนวน 3 อัตรา
ว่ากันว่าการเปิดรับโอนครั้งนี้ เพื่อ “เปิดหลุม” รอ “ตำรวจรุ่นน้อง” ที่ดูจะ “ตรงสเปก” ในทุกตำแหน่งที่ ป.ป.ช.เปิดรับ สอดคล้องกับกระแสข่าวว่ามีนายตำรวจระดับ “พ.ต.อ.” ที่ขึ้นตำแหน่งไม่ได้ในการโยกย้ายครั้งล่าสุด เตรียมเบนเข็มโอนย้ายมาสมัครกันเพียบ
โดยมี “บิ๊ก ป.ป.ช.” ที่เป็นสีกากีรุ่นพี่ ทั้ง “ประธานกุ้ย” ที่มีเงาทะมึนของ “พี่ป๊อด” พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อยุ่เบื้องหลัง หรือ พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง กระทั่ง สุรศักดิ์ คีรีวิเชียร อดีตอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ นี่ก็ “ตำรวจเก่า” รอต้อนรับอยู่ งานนี้อาจเปลี่ยน “อาณาจักรสนามบินน้ำ” กลายเป็น “กรมปทุมวัน สาขา 2” ก็ว่าได้
นี่คือโฉมหน้าของ ป.ป.ช.ยุคใหม่ ที่จะอยู่เป็นเครื่องมือฟาดฟันฝ่ายตรงข้าม และเป็นเครื่องมือฟอกขาว รวมทั้งเป็นองค์กรค้ำยันอำนาจของ “ขุนทหาร” ต่อไปอีกหลายปี
ยิ่งพอ “ขั้วอำนาจใหม่-เก่า” ใน ป.ป.ช.ประสานประโยชน์กันลงตัว อะไรๆ ก็ดูจะราบรื่นไปหมด แบบนี้เข้าฝัก “ผู้มีอำนาจ” ไปกันใหญ่.