ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - พลังกระแสสังคม #เสือดำต้องไม่ตายฟรี กดดันอย่างหนักหน่วง ทำเอานายตำรวจใหญ่อุ้มไม่ไหว ส่วนเจ้าสัวแสนล้าน ณ นาทีนี้ จะหนีไปไหนก็ไม่พ้น และในที่สุด สำนวนคดีอาญากล่าวหา นายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหาร บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) พร้อมพวก ก็ถูกส่งถึงมืออธิบดีสำนักงานอัยการภาค 7 พร้อมคำกำชับจากนายเข็มชัย ชุติวงศ์ อัยการสูงสุด (อสส.) ต้องทำคดีให้รวดเร็ว โปร่งใส และให้รายงานความคืบหน้าต่อ อสส. โดยตรง
ความสำคัญของคดีนี้ซึ่งอยู่ในความสนใจของสังคม อีกทั้งผู้ถูกกล่าวหาเป็นคนมีชื่อเสียงมีเงินทองระดับแสนล้าน สำนักงานอัยการสูงสุด จึงส่งทีมโฆษกจากส่วนกลางลงมาประสานกับสำนักงานอัยการภาค 7 และอัยการจังหวัดทองผาภูมิ เพื่อให้ข่าวต่อสาธารณชนเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เรียกว่าเป็นมวยกว่าตำรวจและกรมอุทยานฯ ที่มีดรามาขัดแข้งขัดขากันเป็นระยะ จนสร้างความเคลือบแคลงสงสัยในการทำงานตั้งแต่ต้นจนถึงวันนี้
หลังรับสำนวนคดีจาก พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รองผบ.ตร.) และทีมสอบสวน ในวันที่ 13 มี.ค. 2561 นางสมศรี วัฒนไพศาล อธิบดีสำนักงานอัยการภาค 7 ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงาน ประกอบด้วย นายสมเจตน์ อำนวยสวัสดิ์ อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 2 ภาค 7 เป็นหัวหน้าคณะ พร้อมด้วยนายทนง ตะภา อัยการจังหวัดทองผาภูมิ, พ.ต.ท.อำนาจ สุจริตชัย รองอัยการจังหวัดกาญจนบุรี และนายกฤษฎา ชูโต รองอัยการจังหวัดทองผาภูมิ เพื่อพิจารณาและเสนอความเห็นสั่งฟ้องคดีหรือไม่ในวันเดียวกันทันที ซึ่งดูแล้วท่าทีขึงขังจริงจังในการทำงานของทีมอัยการแล้ว โอกาสที่จะสั่งไม่ฟ้องมีโอกาสเป็นศูนย์
สำหรับสำนวนการสอบสวนคดีอาญาของ สภ.ทองผาภูมิ ระหว่างนายวิเชียร ชิณวงษ์ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ด้านตะวันตก กล่าวหานายเปรมชัย กรรณสูต , นายยงค์ โดดเครือ, นางนที เรียมแสน และนายธานี ทุมมาศ ผู้ต้องหาที่ 1-4 ที่ “บิ๊กปู” พร้อมพนักงานสอบสวน สภ.ทองผาภูมิ ส่งมอบต่อนางสมศรี วัฒนไพศาล อธิบดีสำนักงานอัยการภาค 7 และนายทะนง ตะภา อัยการจังหวัดทองผาภูมิ นั้น รวมทั้งสิ้น 9 ข้อหา
ทั้งร่วมกันล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่, ร่วมกันล่าสัตว์ป่าคุ้มครองโดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่, ร่วมกันพยายามล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่, ร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งซากของสัตว์ป่าคุ้มครองโดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่, ร่วมกันช่วยซ่อนเร้น ช่วยพาเอาไปเสียหรือรับไว้ด้วยประการใดๆ ซึ่งซากของสัตว์ป่า อันได้มาโดยการกระทำผิดกฎหมาย, ร่วมกันนำเครื่องมือสำหรับใช้ในการล่าสัตว์ป่าหรือจับสัตว์หรืออาวุธใดๆ เข้าไปในเขตรักษา พันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่,
ร่วมกันเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่, ร่วมกันเก็บหาของป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ และร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพาอาวุธปืน ไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต และโดยไม่มีเหตุอันสมควร ซึ่งในชั้นสอบสวน ผู้ต้องหาทั้ง 4 ราย ได้ให้การปฏิเสธ
นายธรัมพ์ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า สำหรับคดีนี้พนักงานสอบสวนได้สรุปสำนวนพร้อมความเห็นเสนอให้สั่งฟ้องนายเปรมชัย ผู้ต้องหาที่ 1 จำนวน 8 ข้อหา ส่วนข้อหาที่ 9 ที่เป็นข้อหาพกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น พนักงานสอบสวนมีความเห็นควรสั่งไม่ฟ้อง เนื่องจากอาวุธปืนของกลาง เป็นของนายเปรมชัย ที่ได้รับอนุญาตให้มีไว้ครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย ส่วนความผิดข้อหาร่วมกันกระทำอันเป็นการทารุณกรรมสัตว์ พนักงานสอบสวนไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหาต่อผู้ต้องหาทั้งหมด เนื่องจากเห็นว่าการกระทำไม่เป็นความผิดตามกฎหมาย และพนักงานสอบสวนเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ 2 - 4 ใน 9 ข้อกล่าวหา
ในวันที่ส่งสำนวนคดีให้อัยการนี้ พนักงานสอบสวนไม่ได้ส่งตัวผู้ต้องหาทั้ง 4 รายมาพร้อมกับสำนวน เนื่องจากผู้ต้องหาอยู่ระหว่างฝากขังของศาลจังหวัดทองผาภูมิแล้ว ตามคดีหมายเลขดำที่ ฝ.34/2561 โดยจะครบกำหนดฝากขังครั้งที่ 4 ในวันที่ 25 มี.ค.นี้
ต้องไม่ลืมว่า ข้อหาสำคัญที่ทางตำรวจทำสำนวนส่งอัยการใน 9 ข้อหานั้น คือ “เจตนาร่วมกันล่าสัตว์ป่า”ที่ทางมูลนิธิสืบฯ โดย ศศิน เฉลิมลาภ เกาะติดมาตลอด และน่าจะเป็นแรงกดดันที่ทำให้ตำรวจภายใต้การนำของ “บิ๊กปู” สรุปสำนวนรวดเร็วน่าชื่นชม แต่เนื้อในสำนวนเป็นอย่างไรนั่นอีกเรื่อง แต่ตีความตามตัวอักษรคำว่า “ร่วมกัน” คงไม่จำเป็นต้องลงมือเอง แค่รู้เห็นเป็นใจ โทษทัณฑ์ก็หนักเอาการอยู่ สุดท้ายจะจับมือดมไม่ได้ว่า ใครเป็นผู้ลั่นไก ใครเป็นมือชำแหละ และใครต้มยำทำแกง “เสี่ยเปรมชัย” ก็ “ร่วมกัน” อยู่ในที่เกิดเหตุอยู่ดี
ถัดจากวันที่ “บิ๊กปู” ส่งสำนวนให้อัยการ วันต่อมา 14 มี.ค. 2561ร.ต.อ. ธีรภัทร ธรรมมีชูพงศ์ พนักงานสอบสวน กก.1 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) ได้ควบคุมตัวนายเปรมชัย ผู้ต้องหาครอบครองงาช้างโดยไม่ได้รับอนุญาตมายื่นคำร้องฝากขังครั้งแรก เป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 14 - 25 มี.ค. 2561 ทั้งนี้ศาลพิจารณาคำร้องและสอบถามผู้ต้องหาแล้วไม่คัดค้านจึงอนุญาตให้ฝากขังได้
และเหตุการณ์ที่นายเปรมชัย ไม่คาดคิดว่าจะต้องมาเผชิญกับความเกลียดชังจากสังคมก็ปรากฏ โดยในระหว่างที่ทนายความของนายเปรมชัย ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เพื่อขอปล่อยตัวชั่วคราวในชั้นฝากขัง เจ้าหน้าที่ได้คุมตัวนายเปรมชัย เข้าทางด้านหน้าศาลอาญาเพื่อเข้าห้องเวรชี้ บริเวณชั้น 1 ด้านล่างศาลอาญา มีประชาชนที่เห็นนายเปรมชัย ถูกคุมตัวตะโกนถามว่า “เป็นไง เนื้อเสือดำอร่อยไหม? ” นายเปรมชัย ได้แต่เดินก้มหน้าก้มตาไม่ตอบโต้ ก่อนถูกคุมตัวเข้าไปฝากขังและรอผลปล่อยชั่วคราว ขณะเดียวกันมีกลุ่มต่อต้านกรณีล่าสัตว์ป่าของนายเปรมชัย ชูป้ายประท้วงเชิงสัญลักษณ์ระบุข้อความว่า “SAVE WILD LIFE” มีภาพเสือดำประกอบ มายืนรอดูนายเปรมชัย ซึ่งถูกควบคุมตัวมาฝากขังด้วย
อย่างไรก็ตาม นายเปรมชัย ได้เปิดเผยกับสื่อมวลชนเพียงสั้นๆ ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา พร้อมยืนยันว่าไม่ได้เป็นคนลงมือฆ่าเสือดำ ส่วนตัวรู้สึกเสียใจที่ถูกสังคมมองแบบนี้ อีกทั้งเชื่อว่าความจริงจะปรากฏในชั้นศาล อีกทั้งยังเอ่ยปาก “ขอโทษสังคม” อีกครั้ง หลังศาลสั่งให้ประกันตัวชั่วคราว
ก่อนจะตัดฉากมาถึงวันนี้ มีดรามา #เสือดำต้องไม่ตายฟรี ที่ พล.ต.อ.ศรีวราห์ ทำเรื่องทะแม่งๆ ไม่หยุดหย่อน โดยครั้งหลังสุดก่อนสำนวนคดีจะถึงมืออัยการนั้น ก็มีเรื่องดีเอ็นเอ ซึ่ง พล.ต.อ.ศรีวราห์ “บิ๊กปู” หรือ “น้องศรี” ของ “พี่ป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุว่า พบดีเอ็นเอของเสือดำบนมีดและเขียงแต่ไม่สามารถระบุดีเอ็นเอคนใช้ได้ชัดเจน และยังบอกอีกว่าหลักฐานที่ส่งมานั้นถูกทำลายจากสารเคมีกรมอุทยานฯ แล้ว พูดง่ายๆ คือโทษว่าทาง “กรมอุทยานฯ” นำวัตถุพยานไปปู้ยี่ปูยำ จนดีเอ็นเอเสียหาย
กระทั่งทำให้ นางกณิตา อุ่ยถาวร หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการนิติวิทยาศาสตร์สัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช (อช.) ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบและควบคุมดูแลการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอสัตว์ป่าในคดีนายเปรมชัย ยืนยันว่าไม่ได้แตะต้องวัตถุพยานทั้งมีดและเขียง ส่วนการตรวจหาดีเอ็นเอเสือดำใช้แค่ก้านสำลีที่ตำรวจป้ายคราบเลือดมาให้ก็พบดีเอ็นเอเสือดำแล้ว พร้อมกับวอนสังคมเป็นปากเสียงให้สัตว์ป่าต้องไม่ตายฟรี
สิ้นคำวอนจากหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการนิติวิทยาศาสตร์ฯ นายตระกูล วินิจนัยภาค อดีตอัยการสูงสุด ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว หลังเกิดเรื่องรองฯศรี ปะทะ กณิตา โดยระบุว่า “...เห็นข่าวนี้...แล้วตกใจ!!! เอาล่ะซี...ถ้าผมเป็นอัยการเจ้าของสำนวนคดีนี้...คงเตรียมตัวปวดหัวแน่ๆ ถ้าผมเป็นอัยการเจ้าของสำนวน ผมจะตรวจดู...ตั้งแต่บันทึกการจับกุม บันทึกคำให้การของผู้กล่าวหาและพยานทุกปาก บันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุ หลักฐานต่างๆ บัญชีของกลาง บันทึกคำให้การของผู้ต้องหาและพยานฝ่ายผู้ต้องหา (ถ้ามี)...ให้ละเอียดรอบคอบ ถ้าสงสัยก็เรียกพยานมาซักถามเพิ่มเติมให้สิ้นกระแสความ ถ้าให้ดี ผมไปดูสถานที่เกิดเหตุด้วยเพื่อให้เห็นสภาพจริง เพราะคดีนี้ผู้ต้องหาต้องต่อสู้ในชั้นที่ตกเป็นจำเลยในศาลแน่ๆ ปล. (1) ถ้าผมเป็น อสส. ผมจะสั่งมอบหมายให้รองอัยการสูงสุด หรืออย่างน้อยอธิบดีอัยการภาค...ไปช่วยดูแลสำนวนการสอบสวนคดีนี้แน่ๆ ครับ (เพราะชักจะไม่ชอบมาพากล)!!!”
ทางฟาก “พี่ป้อม” ของ “น้องศรี” ก็นิ่งอยู่ไม่ได้ ออกมาป้อง “บิ๊กปู” ปรามคนนอกหยุดวิจารณ์คดีสังหารเสือดำ “คนนอกจะพูดอะไรก็พูดได้ แต่คนที่อยู่เขาทำงานมีพยานหลักฐานต้องให้เขาทำของเขาไป ไม่มีใครไปนอกลู่นอกทางได้” พล.อ.ประวิตร ออกอาการปกป้อง “น้องศรีฯ” เต็มที่
งานนี้ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรมว.การคลัง ถึงกับโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวถึงเรื่องราวทะแม่งๆ ล่าสุดที่เกิดขึ้นว่า “.... ผมขอสรุปว่าเรื่องนี้ นับวันมีแต่บูดเบี้ยว บู้บี้ หมดรูปลงไปทุกวัน นอกจากประชาชนจะไม่สามารถฝากผีฝากไข้ไว้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว จากตัวอย่างคดีนี้ ประชาชนกลับจะต้องตระหนักว่า การที่คุกจะขังคนรวยได้นั้น จะต้องมีอภินิหารไม่ต่ำกว่าระดับฟ้าผ่ากลางวัน”
เมื่อสำนวนคดีถูกส่งถึงมืออัยการแล้ว นับจากนี้ก็ต้องรอดูว่าปลาใหญ่อย่างนายเปรมชัย จะตายน้ำตื้นหรือไม่ หรือว่าต้องรออภินิหารฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ อย่างที่ว่า เพราะบัดนี้เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า นายเปรมชัยปฏิเสธว่า ไม่ได้เป็นคนฆ่าเสือดำ ดังนั้น จึงต้องติดตามกันต่อไปอย่างไม่กะพริบตา