ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ณ บัดนี้เป็นที่พิสูจน์ให้เห็นชัดแจ้งแล้วว่า คดีทุจริตสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ซึ่งมี “พระเทพญาณมหามุนี” หรือ “พระธัมมชโย” เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ถูกกล่าวหาและตกเป็นผู้ต้องหาในข้อหา “ฟอกเงินและรับของโจร” ยังคงย่ำอยู่กับที่ และเหลือประเด็นที่ต้องจับตา รวมถึงถกเถียงเพียงแต่ประเด็นเดียวคือ “จะจับเมื่อไหร่ จะจับอย่างไรและด้วยวิธีไหน” เท่านั้น
แต่ที่แน่ๆ คือ ณ วันนี้หลวงพ่อธัมมชโยของศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย “ยังคงยืนเด่นโดยท้าทาย” กฎหมายแบบไม่ยี่หระ และก้าวไกลไปถึงขั้นสำแดงความยิ่งใหญ่ในลักษณะของการเป็น “รัฐซ้อนรัฐ” เป็น “รัฐเอกราช” และเป็น “รัฐธรรมกาย” ที่ใครๆ ก็ไม่สามารถแตะต้องได้
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือ การนำรถแบ็กโฮมาปิดประตูทางเข้าออกวัด การระดมม็อบเข้ามาเป็นโล่มนุษย์ การวางแนวรั้วลวดหนาม การปล่อยบอลลูนตรวจการณ์ รวมถึงการปรากฏตัวของ “การ์ดแดงสายฮาร์ดคอร์” ภายในวัด เป็นต้น
คำถามก็คือ รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งกำลังจะกลายเป็น “รัฐล้มเหลว” จะทำอย่างไรในเมื่ออำนาจรัฐถูกท้าทายอย่างซึ่งๆ หน้า แถมองค์กรที่เกี่ยวข้องกับโดยตรงอย่าง “มหาเถรสมาคม(มส.) ที่มี “สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์(ช่วง วรปุญฺโญ)” เป็นประธาน มิได้ไยดีที่จะให้ความช่วยเหลืออย่างที่ควรจะเป็นเลยแม้แต่น้อย
กำเนิดใหม่ “รัฐธรรมกาย”
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีกระแสข่าวลือต่างๆ มากมายเกี่ยวกับพระธัมมชโย และข่าวลือที่น่าสนใจที่สุดก็คือ ข่าวลือเรื่องพระธัมมชโยหลบหนีออกต่างประเทศไปตั้งแต่วันที่ 26 พฤษภาคม 2559 หลังไม่ได้ปรากฏตัวให้พบเห็นในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา
ต้นตอของข่าวลือดังกล่าวมาจากการเผยแพร่ข่าวสารในกลุ่ม “คนฝึกวิชชาธรรมกาย” ที่อยู่คนละสายกับพระธัมมชโย ที่ระบุว่า พระธัมมชโยหนีคดีแล้วโดยมุ่งหน้าไปที่รัฐโอเรกอน ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเด็นที่มีเหตุมีผลมิใช่น้อย เพราะนับตั้งแต่ปฏิบัติการ LIVE SHOW ขาดำในห้องปลอดเชื้อ ก็ไม่มีใครได้พบเห็นพระธัมมชโยอีกเลย แม้กระทั่งลูกศิษย์ลูกหา ผู้ปฏิบัติธรรมภายในวัด รวมกระทั่งถึงบรรดา “อุปนิกขิต” ที่ถูกส่งเข้าไปหาข้อมูลภายในวัดพระธรรมกาย
รวมถึงกรมสอบสวนคดีพิเศษก็ยังไม่ยืนยันการดำรงอยู่ของพระธัมมชโยในวัดพระธรรมกายเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาข่าวเรื่องพระธัมมชโยหนีไปต่างประเทศก็ถูกปฏิเสธจาก “นายองอาจ ธรรมนิทา” โฆษกคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกายที่ยืนยันว่า หลวงพ่อของพวกเขายังคงอยู่ในวัด ไม่ได้หลบหนีไปไหน และตอกย้ำ ในทุกๆ วันว่า ยังคงนอนอาพาธอยู่ในวัดพระธรรมกาย เพียงแต่ไม่เปิดเผยว่า อยู่ในกุฎิดาวดึงส์หรืออาคารหลังไหนกันแน่
เมื่อพระธัมมชโยยังไม่หนี(ตามที่นายองอาจกล่าวอ้างและยืนยัน) ก็มาถึงประเด็นสำคัญคือ แล้วจะจับเมื่อไหร่ ซึ่งจากการตรวจสอบสถานการณ์โดยรวมก็ทำให้มั่นใจได้ว่า รัฐบาล กระทรวงยุติธรรมและดีเอสไอ ปฏิบัติการด้วยความระมัดระวังและไม่รีบร้อนที่จะจับ เนื่องจากมีข้อมูลที่เชื่อได้ว่า “อภิสิทธิสงฆ์” รูปนี้ไม่ธรรมดา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อฟังคำให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ที่ถึงกับเอ่ยปากเป็นห่วงคดีพระธัมมชโยว่า กลัว “ม็อบชนม็อบ” ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดาและสะท้อนให้เห็นว่า การจับพระธัมมชโยจะไม่เกิดขึ้นง่ายๆ อย่างแน่นอน
“เมื่อยังไม่ได้ก็คือยังไม่ได้ ต้องปล่อยให้ดำเนินการกันต่อ ทำไมต้องเร่งรัด ถ้าทำแล้วเกิดผลกระทบมาก เจ้าหน้าที่ก็ไม่ควรทำ สามารถดำเนินการวันหน้าได้ จะได้ไม่ถูกกล่าวหาว่าละเว้นหรือไม่ปฏิบัติหน้าที่ ตาม ม.157 ที่พูดเพราะเป็นห่วงม็อบชนม็อบจากแรงศรัทธา ถ้าไม่ห่วงก็ใช้อำนาจไปนานแล้ว มอบหมายให้ดีเอสไอและฝ่ายความมั่นคงร่วมกันหาแนวทางว่า จะทำอย่างไรต่อ” พล.อ.ประยุทธ์กล่าวและตอกย้ำในวันถัดมาอีกครั้งว่า “จับวันนี้หรือวันหน้าก็เหมือนกัน…เอาเป็นว่าชาตินี้จับได้แน่นอน”
และด้วยความล่าช้าในปฏิบัติการของกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) นี้นี่เอง จึงเป็นที่มาของการปล่อยข่าวเรื่องวัดพระธรรมกายเดินเกมต่อรองและพร้อมจ่าย คสช.2,000 ล้านบาทเพื่อแลกกับการล้มคดี ซึ่งต้องถือว่า เป็นยุทธวิธีที่ได้ผลในทางจิตวิทยามวลชนเป็นอย่างยิ่ง ทั้งๆ ที่ถ้าหากวิเคราะห์กันในภาพรวมแล้วก็ยังมองไม่เห็นทางว่าจะเป็นความจริงแต่ประการใด
ดังนั้น จึงไม่แปลกใจที่ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จะหัวเสียและสั่งไล่ล่าหาตัวคนปล่อยข่าวทันที
อย่างไรก็ตาม ณ วินาทีนี้ เห็นชัดแจ้งแล้วว่าการจับกุมพระธัมมชโยไม่ใช่เรื่องง่าย ที่สำคัญคือ พระธัมมชโยได้สำแดงให้เห็นแล้วว่า จะไม่ยอมมอบตัวง่ายๆ โดยยืนยันกระต่ายขาเดียวว่า “อาพาธ” พร้อมทั้งแสดงออกถึง “ความท้าทาย” รัฐบาลเสียด้วยซ้ำไปว่า ถ้า แน่จริงก็ให้ยกกำลังบุกเข้ามาจับถึงในวัดพระธรรมกาย(สิจ๊ะ) มาตั้งแต่ต้น
เป็นไปได้อย่างไรที่ปากพูดว่า เราเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของหลวงพ่อธัมมชโย แต่แทนที่จะเข้ามอบตัวและต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรม แต่กลับมีปฏิบัติการที่สะท้อนให้เห็นถึงความย้อนแย้งกับคำพูดของตนเองโดยสิ้นเชิง
วัดพระธรรมกายจะตอบคำถามอย่างไรเรื่องการระดมม็อบเข้ามาปฏิบัติธรรมภายในวัด และการปรากฏตัวของม็อบที่เดินทางมาให้กำลังใจเป็นระยะๆ เสมือนหนึ่งต้องการให้เป็นโล่มนุษย์อย่างไรอย่างนั้น
วัดพระธรรมกายจะตอบคำถามอย่างไรกับกรณีการนำรถแบ็กโฮจอดปิดประตูทางเข้า-ออก และการจัดทีมพระ 2-3 รูปยืนส่องกล้องติดตามความเคลื่อนไหวรอบนอกวัดที่บนสะพานลอยยกระดับข้ามคลองสามซึ่งเชื่อมต่อเข้าวัด โดยมีการสลับหมุนเวียนกันเป็นระยะๆ
วัดพระธรรมกายจะตอบคำถามอย่างไรถึงการนำขดลวดหนามมาวางไว้บนกำแพงรอบบริเวณฝั่งอาคาร 100 ปี คุณยายจันทร์ ขนนกยูง รวมถึงการนำกล้องวงจรปิดมาติดตั้งเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมประมาณ 20 ตัว บริเวณประตูโบสถ์ฝั่งถนนเลียบคลองสาม หมู่ 7 ต.คลองสาม อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานีโดยใช้ผ้าเทปดำมาปิดอำพรางไว้ตามต้นไม้ พร้อมติดป้ายห้ามถ่ายรูป และการปล่อยลูกบอลลูนลอยขึ้นบนฟ้าสูงจากพื้นประมาณกว่า 50 เมตร ซึ่งยังไม่แน่ชัดถึงวัตถุประสงค์ที่แท้จริง
ขณะที่ข้ออ้างเรื่องมือที่ 3 เข้ามาสร้างสถานการณ์ มิได้เป็นเหตุผลที่เพียงพอ
ด้วยเหตุดังกล่าว จึงไม่แปลกใจที่ พล.อ.ประยุทธ์ถึงกับเอ่ยปากว่า “...ผมถามว่าถูกต้องหรือไม่ ปิดประตูเอาลวดหนามมาล้อม เหตุการณ์เหมือนการตั้งป้อมค่ายที่สวนลุมฯ คิดกันบ้าง เอาอดีตมาเรียนรู้ ทหารก็ต้องทำหน้าที่เข้าไปดูแลแล้วก็มีการยิงอาวุธใส่มา จะให้ทำอย่างไร ต้องการให้เกิดอย่างนั้นอีกหรือ ไม่พอหรือ ตายกันเยอะแยะยังไม่พอ แล้วจะยังปลุกกัน ต่อไปจากนี้ไปก็ต้องรับผิดชอบร่วมกัน จะให้ผมมารับผิดชอบคนเดียวผมไม่รับ จะต้องรับผิดชอบร่วมกัน ถือว่าเป็นการทำให้เหตุการณ์บานปลายจนแก้ปัญหาไม่ได้ ถ้ามีการจับตั้งแต่แรกควบคุมตัว หรือมอบตัวก็จบไปแล้วไม่ใช่หรือ คดีก็ยังไม่สิ้นสุดว่าผิดหรือถูกก็ต้องไปพิสูจน์ทราบกัน ก็จบแค่นั้นอย่ามาบอกว่าไปรังแกพระ มันไม่ใช่ มีการโกงมาตั้งแต่เรื่องของสหกรณ์ยูเนี่ยนคลองจั่น มีการโอนเงินเข้ามาก็ไปพิสูจน์ทราบกันว่ามันไม่ใช่ แต่ปล่อยมาจนกลายเป็นว่าเราไปรังแกพระ มันไม่ใช่”
ขณะที่ หลวงปู่พุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม ได้โพสต์เฟซบุ๊ก "หลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara)" มีหัวเรื่องว่า “มันเริ่มแล้ว เริ่มขบวนการประกาศสงครามไม่ยอมรับอำนาจรัฐแล้ว” โดยมีเนื้อหาในบางช่วงบางตอนระบุข้อมูลสอดรับกับสิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์พูดเช่นกันว่า “สายยังรายงานมาว่าเวลานี้มีบรรดาชายฉกรรจ์กลุ่มเสื้อแดงพร้อมกระเป๋าใบใหญ่ทยอยกันเข้าไปภายในวัดอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังสร้างสิ่งกีดขวางในจุดสำคัญๆ ทั้งขาเข้าและออกสารพัดทั้งทางบกและทางน้ำ เรียกว่างานนี้หากเจ้าหน้าที่บุกเข้าไป จับ หัวหน้าลัทธิคงได้มีการปะทะกันแน่”
นี่หรือคือวัด
นี่หรือคือสถานที่ปฏิบัติธรรม
เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นว่า วัดพระธรรมกายไม่ต้องการให้อ้ายอีหน้าไหน(ดีเอสไอ) เข้ามาภายในวัดเพื่อจับพระธัมมชโย และได้แปรสภาพจาก “วัด” กลายเป็น “รัฐธรรมกาย” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ธรรมกาย-ลัทธิเสื้อแดง แนวร่วมของกันและกัน
กระนั้นก็ดี ประเด็นที่น่าสนใจถัดมาคือ ความสัมพันธ์ระหว่างวัดพระธรรมกายกับคนเสื้อแดง ซึ่งต้องถือว่า มีความเคลื่อนไหวที่มีนัยสำคัญยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถึงกับเอ่ยปากยกตัวอย่างกรณีการตั้งป้อมค่ายประตูเหมือนของวัดพระธรรมกายโดยนำไปเปรียบเทียบกับยุทธศาสตร์ของคนเสื้อแดงเมื่อครั้งชุมนุมในสวนลุมพินีเมื่อครั้งเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองปี 2553
ทั้งนี้ เนื่องเพราะเมื่อ “คิด วิเคราะห์และแยกแยะ” เชื่อมโยงความสัมพันธ์ของเสื้อแดงกับวัดพระธรรมกาย รวมทั้งการใช้ยุทธศาสตร์และยุทธวิธีต่างๆ ที่วัดพระธรรมกายผลิตออกมาปกป้องต้นธาตุต้นธรรมของตนเอง จะเห็นได้ว่ามีความละม้ายคล้ายคลึงเป็นอย่างยิ่ง
นี่ย่อมไม่เรื่องบังเอิญที่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวเช่นนี้ และให้สัมภาษณ์ชัดเจนถึงความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นถ้าหากนำกำลังเข้าไปจับกุมตัวพระธัมมชโย
เนื่องเพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาจะเห็นว่า คนเสื้อแดงพากันออกมาปกป้องพระธัมมชโยอย่างเห็นได้ชัด แถมสมาชิกพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงจำนวนมากก็เลื่อมใสศรัทธาในพระธัมมชโยดังที่ปรากฏเป็นข่าวก่อนหน้านี้ ดังนั้น ถ้าจะกล่าวว่า คนเสื้อแดงและวัดพระธรรมกายเป็นแนวร่วมของกันและกันก็คงไม่ผิดอะไร
ยิ่งตอกย้ำกันด้วยภาพ “การด์เสื้อแดงฮาร์ดคอร์” ปะปนกับศิษยานุศิษย์ อยู่ภายในวัดพระธรรมกาย ซึ่งมีการเผยแพร่ในโลกโซเชียลมีเดียและพ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ มีความเห็นถึงเรื่องดังกล่าวว่า “กำลังติดตามตรวจสอบเรื่องดังกล่าวอยู่ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่เราพิจารณาด้วย เพื่อหลีกเลี่ยงความรุนแรง” ก็ยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของวัดพระธรรมกายกับคนเสื้อแดงอย่างเห็นได้ชัดยิ่ง
เพราะการปรากฏตัวของ นายกิติศักดิ์ ศรีสุนทร หรือแจ็ค คือเรื่องจริง ซึ่งวัดพระธรรมกายจำนนด้วยหลักฐานและไม่อาจแก้ตัวได้ เนื่องจากนายกิติศักดิ์ได้อัดคลิปขณะกำลังแต่งกายชุดขาวอยู่บนรถยนต์ขนมุ้งภายในวัดพระธรรมกายด้วยตนเอง โดยระบุว่า “มาเพื่อปกป้องพระพุทธศาสนา มาเพื่อปกป้องพระดีๆ” พร้อมทั้งทิ้งท้ายว่า” ดีเอสไอถอนตัวได้นะ คิดดีๆวัดนี้เข้ายากนะ” แถมยังบอกด้วยว่า “เพื่อน-พักพวกจะตามมาอีก”
จากนั้นในวันที่ 2 มิถุนายน 2559 ได้มีการเผยแพร่คลิปวิดีโอภาพนายกิติศักดิ์ ชี้แจงถึงการปรากฏตัวในวัดพระธรรมกายอีกครั้ง โดยเนื้อหาในคลิป นายกิติศักดิ์ได้ออกมาตำหนิ เล็ก บ้านฉาง คนสนิทคนแดนไกลที่หักหลัง กรณีมีการนำเอาภาพถ่ายที่กลุ่มการ์ดคนเสื้อแดง ถ่ายกันเองในวัดพระธรรมกาย จนถูกสังคมออนไลน์ออกมาโจมตีอย่างหนัก หลังจากภาพถูกเผยแพร่ออกไป โดยภาพดังกล่าวถูกถ่ายในวัดพระธรรมกายจริง ถ่ายเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2559 เวลา 09.30 น. ซึ่งกลุ่มพี่น้องการ์ดได้ไปช่วยวัดพระธรรมกาย ซึ่งคนที่ถ่ายรูปคือน้องในกลุ่ม แต่ปรากฏว่า เล็ก บ้านฉาง ซึ่งเป็นสามีของ เจ๊แหม่ม ซึ่งเป็นคนที่ทำให้งานคนแดนไกล ได้นำเอาภาพดังกล่าวไปเผยแพร่
เรียกว่า แถไถและแก้ตัวกันจนมั่วซั่วไปหมด รวมทั้งนายเอกภพ เหลือรา หรือ “ตั้ง อาชีวะ” ที่ลงทุน LIVE สัมภาษณ์นายกิติศักดิ์เพื่อช่วยแก้ตัวหลังวัดพระธรรมกายจำนนด้วยหลักฐานและติดกับดักโยงใยงความสัมพันธ์ของคนเสื้อแดงกับวัดพระธรรมกายว่า เป็นคนเสื้อแดงจริง แต่ไม่ได้เป็นการ์ด เป็นเพียงผู้เข้าร่วมชุมนุม และไม่ได้นิยมชมชอบความรุนแรง
ทว่า จะชี้แจงอย่างไร เอาแค่สามารถต่อสายคุยกับตั้ง อาชีวะ คนเสื้อแดงที่หลบหนีคดี ม.112 ไปอยู่ที่ออสเตรเลียได้ก็ไม่ธรรมดาแล้ว
อย่างไรก็ดี เกี่ยวกับเรื่องนายกิติศักดิ์นั้น พระมหานพพร ปุญฺญชโย ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย ชี้แจงว่า จากการตรวจสอบและสอบสวนผู้เกี่ยวข้องทราบว่าชายคนนี้ได้ออกจากวัดพระธรรมกายไปแล้วโดยสมัครใจ ไม่ได้มีการไล่ออกจากวัดหรือบังคับแต่อย่างใด โดยวัดพระธรรมกายแถลงตลอดเวลาว่าวัดมุ่งเน้นในการสอนสมาธิ ไม่ได้มุ่งเน้นในเรื่องการเมือง ลูกศิษย์ที่เข้ามาปฏิบัติธรรมภายในวัดก็มีหลากหลายกลุ่ม ไม่อยากให้เชื่อมโยงไปเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง
สรุปก็คือ ยอมรับว่านายกิติศักดิ์อยู่ในวัดจริง แต่ได้ออกไปแล้ว
แต่พระมหานพพรก็มิวายให้ข้อมูลในเชิงข่มขู่สำทับด้วยว่า ในช่วงวันที่ 1-5 มิถุนายนนี้ จะมีคณะศิษยานุศิษย์เข้ามาทำบุญภายในวัดมากกว่าปกติประมาณ 5 หมื่นคน เนื่องจากวัดพระธรรมกายจัดงานทำบุญวันอาทิตย์ต้นเดือน ซึ่งถือเป็นบุญใหญ่ของวัดและจัดต่อเนื่องจากหลายปี อีกทั้งวันนี้มีคณะภิกษุสงฆ์จากภาคอีสานจะมามอบช่อดอกไม้ผ่านตัวแทนให้กับพระธัมมชโย เพื่อถวายกำลังใจในการรักษาอาการป่วยด้วย
นอกจากนี้ ในระหว่างที่รัฐบาลกำลังมืดแปดด้านเพราะไม่ต้องการใช้ความรุนแรง วัดพระธรรมกายก็เล่นเกม “ระหว่างประเทศ” กดดันคู่ขนานไปพร้อมกับยุทธวิธีการสร้างป้อมค่ายประตูเมือง ด้วยการออกมาเปิดเผยว่า สมัชชาสงฆ์เถรวาทโลก ได้ส่งหนังสือเรียกร้องผ่านอีเมล์ไปยังพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อหาสันติวิธี ในการพูดคุยเรื่องคดีความกับพระเทพญาณมหามุณี หรือ พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เนื่องจากไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรง อยากให้ใช้สันติวิธีทางสำนึกคิดเป็นหลัก เพราะพระธัมมชโยมีอาการอาพาธ และยืนยันว่าขณะนี้พระธัมมชโย ยังคงนอนรักษาอาการอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดภายในวัด
แถมพระภาสุระ ทันตมโน หัวหน้ากององค์กรระหว่างประเทศ วัดพระธรรมกาย ผู้ที่ออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ระบุด้วยว่า จะมีการส่งตัวแทนพระสงฆ์เข้ามาเป็นคนกลางในการเจรจากับพระธัมมชโย หรือไม่ จะต้องรอหนังสือแจ้งมาเป็นลายลักษณ์อักษรก่อน
อุต๊ะ!! ช่างร้ายเหลือเสียยิ่งกระไร
เมียงๆ มองๆ และพินิจพิเคราะห์ดูแล้วช่างเหมือนยุทธศาสตร์ “โลกล้อมประเทศ” ที่นักโทษชายหนีคดีทักษิณ ชินวัตร ใช้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน ยิ่งเมื่อมีการจัดตั้งป้อมค่ายคูเมืองและการระดมการ์ดแดงเข้ามาภายในวัดด้วยแล้วด้วยแล้ว ต้องใช้คำว่า “เหมือนเป๊ะ” เลยทีเดียว
นี่ไม่รวมถึงเรื่องทุนธรรมกาย(เงินและทรัพย์สิน) ที่มีขนาดมหึมา ชนิดที่สามารถ “จ้างผีให้โม่แป้ง” ได้
ขณะที่องค์กรปกครองคณะสงฆ์อย่างมหาเถรสมาคม(มส.) ก็ชัดเจนแล้วว่า จะไม่ขอข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยสำแดงให้เห็นเช่นกันในวันประชุม มส.เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2559 ที่ไม่มีวาระเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวและไม่ได้มีการหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาหารืออีกต่างหาก ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องปกติที่สามารถเข้าใช้ได้ว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
ส่วนเมื่อไล่เรียงระบบการปกครองคณะสงฆ์เพื่อขอความช่วยเหลือตามขั้นตอนอย่างที่ พศ.ให้ความกรุณาอรรถาธิบายเอาไว้ ก็จะเห็นว่า มีขั้นตอนและกระบวนการมากมาย ไล่ตั้งแต่เจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะภาค ไปจนถึงเจ้าคณะใหญ่หนกลาง
ระดับเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะจังหวัดไม่ต้องพูดถึง เพราะเชื่อว่า ไม่กล้า
ด้านเจ้าคณะภาค 1 ซึ่งมีพื้นที่การปกครองครอบคลุมไปถึงวัดพระธรรมกาย ก็ต้องติดตามใกล้ชิด เพราะงานนี้พระเดชพระคุณเจ้าคณะภาค 1 คือ พระราชวิสุทธิเวที(สายชล ฐานวุฑโฒ ปธ.9) อยู่ที่วัดชนะสงคราม และพระพุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐมได้เดินทางไปยื่นเรื่องเอาไว้แล้ว
ส่วนเจ้าคณะใหญ่หนกลาง วันนี้มี “สมเด็จพระพุทธชินวงศ์” เจ้าอาวาสวัดพิชัยญาติการาม รั้งเก้าอี้ตัวนี้อยู่ ซึ่งก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า มีจุดยืนอย่างไร เพราะหากยังจำกันได้ เมื่อครั้งที่สมเด็จวัดพิชัยญาติการามดำรงสมณศักดิ์ที่ “พระธรรมโมลี” เมื่อปี 2544 เคยได้รับการแต่งตั้งจาก เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม ให้ตั้งศาลสงฆ์เพื่อเอาผิดต่อพระธัมมชโยมาแล้ว และสุดท้ายเรื่องก็จบลงที่อัยการถอนฟ้องด้วยเหตุผลที่หากย้อนกลับไปดูแล้วต้องร้อง “โอ้โห…พระคุณเจ้า”
เฉกเช่นเดียวกับเจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์(ช่วง วรปุญฺโญ) ที่ใครๆ ก็รู้ว่า มีจุดยืนเยี่ยงไรกับพระธัมมชโยและวัดพระธรรมกาย
เห็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่ในเส้นทางการปกครองแล้ว ก็ต้องบอกว่า ยากยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา และลืมไปได้เลยที่จะใช้เส้นทางสายนี้ เพราะเห็นชัดแล้วว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อทั้งหลายมีจุดยืนอย่างไร
ด้านดีเอสไอก็ดูเหมือนจะขยับอะไรไม่ออกเช่นกัน เพราะล่าสุดโฆษกคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย ได้ประกาศชัดเจนถึงกรณีที่ พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จะให้แพทย์จากโรงพยาบาลตำรวจมาตรวจอาการพระธัมมชโย หากยืนยันว่า อาการอาพาธจริง ก็ยินดีมาแจ้งข้อกล่าวหาที่วัดพระธรรมกายว่า หากดีเอสไอ มีท่าทีอย่างนี้มาตั้งแต่ต้น เรื่องนี้ก็คงจบไปนานแล้ว แต่ขณะนี้การแสดงออกของดีเอสไอที่ผ่านมา ทำให้คณะศิษยานุศิษย์ไม่เชื่อมั่นในความเป็นกลางของดีเอสไอ
เรียกว่า วัดพระธรรมกายไม่เห็นหัวดีเอสไอเลยก็ว่าได้
สถานการณ์ ณ ตอนนี้ สภาพของวัดพระธรรมกายและพระธัมมชโยมิต่างอะไรจาก “รัฐอิสระ” ที่มีเอกราชเป็นของตนเองไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ คสช.จะตัดสินใจอย่างไรกับการท้าทายอำนาจรัฐในท้ายที่สุด เพราะเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ถ้า คสช.จัดการ “รัฐธรรมกาย” ไม่ได้ ก็คงไม่มีรัฐบาลไหนสามารถจัดการได้