ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -สถานการณ์การสถาปนา “สมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 20 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์” กำลังเดินทางมาถึงจุดสำคัญซึ่งอาจจะชี้เป็นชี้ตายอนาคตของ “สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ)” ว่า จะเป็นไปในทิศทางใด
แน่นอน จนถึงขณะนี้เรื่องดังกล่าวทวีความสลับซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะมิได้เป็นแค่เรื่องของ “ฝ่ายศาสนจักร” ที่เกี่ยวข้องกับความเป็น “มหานิกาย” และ “ธรรมยุติกนิกาย” แต่เพียงอย่างเดียว หากแต่มี “ฝ่ายอาณาจักร” เข้ามาเกี่ยวข้อง แถมยังเชื่อมกับ “การเมือง” อย่างไม่สามารถแยกออกจากกันได้
ทั้งนี้ ถ้าหากตรวจสอบสถานการณ์โดยองค์รวมก็คงแบ่งฝักแบ่งฝ่ายที่เกี่ยวข้องออกได้เป็น 2 ขั้วด้วยกันคือ
หนึ่ง-ฝ่ายรัฐบาล คสช. ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะมีหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรงในการนำรายชื่อสมเด็จพระราชาคณะชั้นสุพรรณบัฏ ขึ้นทูลเกล้าฯ และสังคมกำลังเฝ้าจับตาว่า พล.อ.ประยุทธ์จะตัดสินใจอย่างไรในขั้นตอนสุดท้าย
สอง-ฝ่ายสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ซึ่งขณะนี้ก็เห็นได้ชัดเจนแล้วว่า มีใครเป็นกองเชียร์หรือให้การสนับสนุนบ้าง และดูเหมือนว่ารัฐบาลทหารกำลังหวั่นวิตกต่อการเคลื่อนเกมของฝ่ายนี้อยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหัวหมู่ทะลวงฟันอย่าง “เจ้าคุณประสาร-พระเมธีธรรมาจารย์” เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ประกาศว่า ถ้าหากไม่เป็นไปตาม พ.ร.บ.สงฆ์ คงได้เห็นจีวรเหลืองออกมาเคลื่อนเกลื่อนประเทศเป็นแน่แท้
แล้วสุดท้ายเรื่องจะจบลงอย่างไร หรือจะมีทางออกอย่างไร
นี่คือสิ่งที่จำต้องวิเคราะห์ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีและขุมกำลังของแต่ละฝ่าย รวมทั้งค้นหาบทสรุปของเรื่องราวทั้งหมด เพราะทำไปทำมา ศึกครั้งนี้อาจไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด และทั้งสองฝ่ายอาจ win-win ด้วยกันก็เป็นได้
#ทีมธัมมี่…STRONG นะจ๊ะ
กล่าวสำหรับฝ่ายสนับสนุนสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชนั้น จากการตรวจสอบการเคลื่อนไหวพบว่า เป็น “เครือข่าย” ที่มีความใหญ่โตอยู่ไม่น้อย เพราะทั้งฝ่ายสงฆ์และฆราวาสที่ให้การสนับสนุนมีมวลชนที่พร้อมจะเคลื่อนขบวนออกมาอยู่บนท้องถนนในจำนวนที่ไม่น้อย
ฝ่ายนี้อ้างว่าการสถาปนาสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชดำเนินไปโดยถูกต้องตามกฎหมาย ตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2535 ซึ่งเขียนเอาไว้ชัดเจนว่า ผู้ที่จะได้รับการสถาปนาคือสมเด็จพระราชาคณะที่มีความอาวุโสสูงสุดทางสมณศักดิ์(หมายความว่า ได้รับการสถาปนาเป็น “สมเด็จ” ก่อนองค์อื่นๆ)
และนั่นเป็นความจริงหรือความชอบธรรมที่ไม่อาจปฏิเสธได้
คำถามก็คือฝ่ายนี้มีใครบ้าง?
กลุ่มแรกก็คือ มหาเถรสมาคม(มส.) ซึ่งเป็นองค์กรปกครองสูงสุดของคณะสงฆ์ไทย กลุ่มนี้มีความชัดเจนเพราะคล้อยหลังจากพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายกเสร็จสิ้นลงไม่นานนัก มส.ซึ่งมีสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์เป็นประธานก็นัดประชุม “วาระลับพิเศษ” ในวันที่ 5 มกราคม 2559 และมีมติออกมาในวันเดียวกันนั้นว่า มส.มีมติเห็นชอบให้สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช
และเมื่อตรวจสอบรายชื่อกรรมการ มส.ก็พบว่า มากกว่าครึ่งหรืออาจจะปาเข้าไปถึงร้อยละ 80 ด้วยซ้ำไปที่มีสายสัมพันธ์กับวัดพระธรรมกาย ซึ่งกรรมการ มส.เหล่านี้คือเจ้าคณะผู้ปกครองชั้นผู้ใหญ่ที่มีอำนาจทางการปกครองวัดน้อยใหญ่แทบจะทั่วราชอาณาจักรไทย ดังนั้น ท่านเจ้าคุณเหล่านี้จึงมีขุมกำลังในมือ
ส่วนกลุ่มที่สองเห็นจะหนีไม่พ้น “เครือข่ายวัดพระธรรมกาย” ของ “พระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) หรือ พระธัมมชโย ซึ่งชัดเจนมาตั้งแต่ต้นว่าสนับสนุนสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ผู้ซึ่งเป็น “พระอุปัชฌาย์” ของตนเองเต็มร้อย
กลุ่มนี้มีทั้งกำลังคน กำลังพระและกำลังทรัพย์ พร้อมเต็มอัตราศึก โดยตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา เครือข่ายของวัดพระธรรมกายได้แผ่อิทธิพลเข้าไปยังองค์กรปกครองคณะสงฆ์ รวมถึงวัดวาอารามต่างๆ ทั่วประเทศมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน
ขณะเดียวกันทั้งสองกลุ่มก็ยังมีพระในสังกัด “มหานิกาย” ซึ่งพลาดหวังจากการได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชมาอย่างน้อย 2 สมัยให้การสนับสนุนเป็นแนวร่วม กลุ่มที่ 3 ซึ่งถือเป็นเรื่องทางประวัติศาสตร์ศาสนาไทยที่เป็นปัจจัยที่ไม่อาจมองข้าม แม้พระในสังกัดมหานิกายจะมิได้ยืนอยู่ข้างสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ทั้งหมดก็ตาม แต่ก็ต้องยอมรับว่าเรื่องนี้เป็นปมในใจของมหานิกายมาโดยตลอดและมีความพยายามที่จะโยงเข้ามาเกี่ยวข้องให้ได้ เพราะต้องไม่ลืมว่า ในปัจจุบัน วัดที่มีพระสงฆ์ทั่วประเทศมีจำนวนทั้งหมด 39,800 วัด ในจำนวนนี้สังกัดมหานิกายมากกว่า 70% ขณะที่พระภิกษุ สายมหานิกายมีจำนวนกว่าสายธรรมยุติกนิกายราว 4-5 เท่า
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว เรื่องมหานิกายหรือธรรมยุติกนิกายมิได้มีความสลักสำคัญกว่าประเด็นคนที่ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชนั้น สมควรเป็นพระที่มีศีลบริสุทธิ์หรือยึดมั่นในพระธรรมวินัยของพระพุทธองค์มิใช่หรือ
เหมือนดังที่ “สนธิ ลิ้มทองกุล” เขียนบทความเรื่อง “มหานิกายกับธรรมยุติกนิกาย” เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2559 ในบางช่วงบางตอนว่า “ ทุกวันนี้ความขัดแย้งทางสงฆ์ ในเรื่องของสมเด็จช่วงวัดปากน้ำ กับการยึดถือหลักพระธรรมวินัย มาเป็นเรื่องธรรมยุตรังแกมหานิกาย แทนที่จะถามว่า คนที่จะขึ้นมาเป็นสมเด็จพระสังฆราชนั้น ควรจะเป็นพระที่มีศีลบริสุทธิ์หรือไม่ และจะต้องยึดถือหลักพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัดหรือเปล่า ?? กลับกลายเป็นว่า ธรรมยุตเป็นสังฆราช มากกว่ามหานิกาย ถึงคิวที่มหานิกายต้องเป็นบ้าง เหมือนเข้าคิวซื้อตั๋วหนัง”
หัวหมู่ทะลวงฟันคนสำคัญของกลุ่มที่หนึ่ง กลุ่มที่สองและกลุ่มที่สาม ซึ่งประกาศตัวออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็คือ พระเมธีธรรมาจารย์ (ประสาร จนฺทสาโร) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “เจ้าคุณประสาร” เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ว่าพร้อมนำ “ม็อบพระ” ออกมาเคลื่อนไหวถ้าหากรัฐบาลทหารไม่ทูลเกล้าฯ ชื่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช
เจ้าคุณประสารนั้น เป็นที่รับรู้กันว่า เป็นพระเสื้อแดง ดังปรากฏภาพถ่ายร่วมกับนักโทษชายหนีคดีทักษิณ ชินวัตร ในต่างกรรมต่างวาระ ยกตัวอย่างเช่นเมื่อครั้งที่นักโทษชายหนีคดีทักษิณนิมนต์พระธรรมทูตไปพบที่โรงแรม Fairmont Washington D.C ในวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2556 งานนี้ มีข้อมูลออกมายืนยันว่า เจ้าคุณประสารเป็นผู้ประสานงานให้ ขณะเดียวกันก็มีความชัดเจนว่าเจ้าคุณประสารให้การสนับสนุนวัดพระธรรมกายอย่างออกนอกหน้ามาโดยตลอดเช่นกัน
และที่เพิ่งเปิดตัวออกมาล่าสุดก็คือ “พระโสภณพุทธิวิเทศ” ประธานที่ปรึกษาเครือข่ายพระธรรมทูตไทยที่ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 1 ร่วมกับกลุ่มชาวพุทธไทยในยุโรปและสหราชอาณาจักร โดยเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์มีคำสั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยุติการข่มขู่ คุกคามผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช โดยประกาศเสียงดังฟังชัดว่า “เครือข่ายฯ จะติดตามสถานการณ์และผลการดำเนินงานของนายกรัฐมนตรี และติดตามเฝ้าสังเกตเหตุการณ์ข่มขู่ คุกคาม ทำลายล้างพระพุทธศาสนาในประเทศไทยอย่างใกล้ชิด และพร้อมที่จะยกระดับการเคลื่อนไหวสู่ระดับสากลต่อไปโดยทันที”
นอกจากนี้ ยังต้องไม่ลืมขาประจำอย่าง พระราชวิจิตรปฏิภาณ (สุนทร ญาณสุนทโร) หรือ “เจ้าคุณพิพิธ” ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร ซึ่งออกมาให้สัมภาษณ์ปกป้องสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์อย่างชัดแจ้งและตอบคำถามแทน เรียกว่าในทุกประเด็นทีเดียว
“อยากถามผู้ออกมาประท้วงว่า ตลอดชีวิตของสมเด็จท่านสร้างความเสียหายอะไรให้กับพุทธศาสนาบ้าง คุณประโยชน์ที่สมเด็จท่านทำให้นั้นมหาศาล และประจักษ์ชัด ในสังฆมณฑลนี้ผู้บริจาคทานบารมีมากสุดคือสมเด็จท่าน ทุกอย่างปฏิบัติตามพระธรรม พระวินัย ตามกฎเกณฑ์ ไม่ได้แสดงถึงความร่ำรวยอย่างที่คนใส่ร้าย เงินที่บริจาคก็เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะมากมาย คนที่ไม่ชอบสมเด็จท่าน คนพวกนี้ไม่เคยกราบไหว้สมเด็จท่านมาแต่เดิม ซึ่งพอเห็นศรัทธาคนซึ่งเกิดขึ้นที่วัดปากน้ำภาษีเจริญแล้วทำใจไม่ได้ สมเด็จท่านไม่อยากเป็นหรอก แต่จำเป็นต้องเป็นตามกฎหมาย”
“ถ้าสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์เป็นสังฆราชจะเอื้อให้กับธรรมกาย อยากถามว่า ที่ผ่านมาเคยที่ไหน กระทำตรงไหน เมื่อไหร่ คดีความของธรรมกายมีมหาศาล ก็ล้วนแต่หลุดโดยกฎหมาย ท่านไม่เคยไปโอบอุ้ม การเอาเรื่องธรรมกายมาผูกโยงจึงไม่ใช่เรื่อง”เจ้าคุณพิพิธร่ายยาวในหนังสือพิมพ์มติชน
กลุ่มที่สี่-ระบอบทักษิณและมวลชนคนเสื้อแดง ซึ่งเป็นที่รับรู้มาโดยตลอดเช่นกันว่า ยืนอยู่ข้างวัดพระธรรมกาย งานนี้ “จตุพร พรหมพันธุ์” ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)ออกมาแสดงตัวตนอย่างเด่นชัดว่า สนับสนุนสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช ถึงขนาด กล่าวในรายการมองไกล ผ่านทางยูทูบ เมื่อ 18 มกราคม 25589 กรณีที่มีทั้งพระสงฆ์และฆราวาสกลุ่ม “3 พ.” ออกมากล่าวโจมตีสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชว่า “ถือเป็นการกระทำที่เลวร้ายมาก มีความพยายามที่จะใส่ร้ายเพื่อให้ได้รับความมัวหมอง การเคลื่อนไหวของนายไพบูลย์(นิติตะวัน) และพระพุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย ที่ออกมาต่อต้านสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เปรียบเสมือนพระเทวทัตในสมัยพุทธกาลที่ออกมาใส่ร้ายพระพุทธเจ้า”
เรียกว่า เปรียบสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์เสมือนดั่งพระตถาคตกันเลยทีเดียว
ก็ไม่รู้ว่า อดีตศิษย์วัดบวรฯ ผู้นี้จะมี “ปมในใจ” เป็นการส่วนตัวผสมโรงเข้ามาด้วยหรือไม่ เพราะทุกวันนี้ นายจตุพรทำตัวประหนึ่งเป็นโฆษกส่วนตัวของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์เสียด้วยซ้ำไป
ทั้งนี้ ระบอบทักษิณกำลังเฝ้าพินิจพิจารณาสถานการณ์การสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชอย่างไม่วางตา เพราะมีโอกาสที่จะสร้างความสั่นสะเทือนให้กับรัฐบาล คสช.ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นแกนนำได้อย่างมีนัยสำคัญทางการเมืองโดยใช้ “ม็อบพระ” เป็นกำลังหลักดังที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในประเทศเมียนมาร์หรือทิเบต เป็นต้น
นี่คือการผนึกกำลังของ “ทีมธัมมี่” ที่รัฐบาลทหารกำลังหวั่นวิตกอยู่ไม่น้อย
เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2559 ในขณะที่สังคม โดยเฉพาะโลกสังคมออนไลน์ได้เปิดประเด็นวิพากษ์วิจารณ์สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์อย่างหนัก ก็ได้มีข้อมูลชุดที่น่าสนใจออกมาจากปากของ นายชยพล พงษ์สีดา รองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) ในฐานะประธานคณะกรรมการติดตามกรณีสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 20
นายชยพลเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะว่า ช่วงที่ผ่านมาทางสำนัก งานพระพุทธศาสนาฯ ได้รวบรวมข้อมูลคำกล่าวหาต่างๆ รวมทั้งภาพที่สร้างความเสื่อมเสียให้กับสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ทางสื่อต่างๆ โดยเฉพาะสื่อออนไลน์ เพื่อหาทางดำเนินการทางกฎหมายเนื่องจากการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายหมิ่นประมาทและเข้าข่ายความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ม.14 (1) (2) ฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน แต่เมื่อนำข้อมูลต่างๆ เข้าหารือกับสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เพื่อให้ท่านมอบอำนาจให้กับสำนักงานพระพุทธศาสนาฯไปดำเนินการทางกฎหมาย ท่านก็แจ้งมาว่า “ไม่เป็นอะไร ไม่ต้องไปทำอะไรเขาหรอก” ขณะเดียวกัน สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ยังให้องค์กรทางพระพุทธศาสนาบางแห่งที่ไปแจ้งความเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวไว้แล้วให้ถอนแจ้งความด้วย
นั่นคือความเมตตาของท่านเจ้าประคุณที่สมควรยิ่งต่อการชื่นชมในฐานะศิษย์แห่งตถาคต
แต่ขณะเดียวกันก็ชวนให้เกิดข้อสงสัยตามมาเช่นกันว่ากรณีที่ท่านเจ้าคุณประสารเตรียมจัด “ม็อบพระ” เพื่อสนับสนุนสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์นั้น ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ทำไมถึงไม่มีการห้ามปรามบ้าง เพราะรู้ทั้งรู้ว่า ไม่เหมาะสมกับสมณเพศซึ่งแสวงหาทางหลุดพ้นเป็นสรณะ
ก็ได้แต่หวังว่า จะมีเมตตาจากท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ถ้าหากมีการจัดม็อบพระขึ้นมาจริงๆ ในวันข้างหน้า
และข้อมูลที่ออกมาจากปากของนายชยพลก็สะท้อนออกมาให้เห็นด้วยว่า สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาตินั้น ยืนอยู่ข้างสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์เต็มสูบ เรียกว่า เป็นมือเป็นไม้เป็นแขนเป็นขาก็คงจะว่าได้ ซึ่งก็ต้องบอกว่า ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอะไร เพราะ พศ.ก็คือหน่วยงานที่ทำงานรับใช้มหาเถรสมาคมอยู่แล้ว โดยตัวผู้อำนวยการ พศ.มีหน้าที่เป็น “เลขาธิการมหาเถรสมาคม” โดยตำแหน่ง
#ทีมลุงตู่...ยื้อเวลานะจ๊ะ
ตัดฉากกลับมาที่ฝ่ายคัดค้านการสถาปนาสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชกันบ้าง ซึ่งก็มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะฝ่ายนี้ประกาศชัดเจนว่า “หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่เอาสมเด็จช่วง”
ตัวละครที่โดดเด่นก็คือ นายไพบูลย์ นิติตะวัน หลวงปู่พุทธะอิสระ แห่งวัดอ้อน้อย จังหวัดนครปฐม อดีตศิษย์เก่าวัดพระธรรมกายอย่าง นพ.มโน เลาหวณิช เป็นต้น
แต่จะเคลื่อน...จะดัน...จะคัดค้านอย่างไร ก็ไม่สำคัญเท่ากับ “ฝ่ายที่มีอำนาจ” อยู่ในมือ ซึ่งก็คือ รัฐบาล คสช. โดยเฉพาะตัว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เพราะมีอำนาจโดยตรงในการเสนอชื่อสมเด็จพระราชาคณะชั้นสุพรรณบัฏขึ้นทูลเกล้าฯ
ทั้งนี้ หน่วยงานของรัฐและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรงประกอบไปด้วย 1.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) ซึ่งปัจจุบันมีนายพนม ศรศิลป์ เป็นผู้อำนวยการ 2.นายสุวพันธ์ ตันยุววรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่กำกับดูแล พศ. 3.นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย และ 4.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งมีดาบอาญาสิทธิอยู่ในมือเต็มอัตราศึกในการจัดการปัญหาเรื่องนี้ด้วย “มาตรา 44”
ถ้าหากถามใจ พล.อ.ประยุทธ์ว่าต้องการให้เรื่องการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชจบลงอย่างไร คงไม่มีใครทราบ
แต่ถ้าวิเคราะห์จากความเป็นจริงที่ปรากฏก็ต้องตอบว่า น่าจะต้องการยื้อเรื่องนี้เอาไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะไม่ต้องการตัดสินใจให้เกิดปัญหาสั่นคลอนเสถียรภาพของรัฐบาล เนื่องจากเครือข่ายที่สนับสนุนสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์นั้นมีจำนวนไม่น้อย และถ้าเรื่องลุกลามบานปลายจนกลายเป็น “ม็อบพระ” จะยิ่งยุ่งหนักเข้าไปอีก โดยผลักภาระไปให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
ที่สำคัญคือ การยืดหรือซื้อเวลาออกไปจะเกิดผลดีมากกว่าผลเสียหรือบางทีใครจะไปรู้ได้ว่า อาจเป็นทางออกที่ WIN WIN ทั้งสองฝ่ายก็ได้
เพราะ....
หนึ่ง-รัฐบาล คสช.ไม่ต้องกลายเป็นศัตรูกับเครือข่ายธรรมกาย
สอง-รัฐบาล คสช.ไม่เสียมวลชนที่สนับสนุน เพราะต้องยอมรับว่า “ติ่ง คสช.” จำนวนมากที่ไม่เห็นด้วยกับการสถาปนาสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์เป็นสมเด็จพระสังฆราช
ดังนั้น การที่เห็นกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) เทกแอ๊กชั่นในเรื่องคดีการครอบครองรถโบราณของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือกรณีสหกรณ์คลองจั่นจึงอาจเป็นส่วนหนึ่งของ conspiracy ครั้งนี้ ซึ่งก็คงต้องติดตามกันต่อไป
หรือเรากำลังโดนแหกตากัน(อีกแล้วครับท่าน)
ทั้งนี้ สิ่งที่ทำให้รัฐบาลมีความชอบธรรมในการยื้อเวลาก็เพราะ พ.ร.บ.คณะสงฆ์มิได้กำหนด “เงื่อนเวลา” ในการสถาปนาว่าจะต้องเสร็จสิ้นเมื่อไหร่ จึงสามารถมีข้ออ้างในเรื่องดังกล่าวได้โดยมีกฎหมายรองรับ
แต่ พล.อ.ประยุทธ์และ คสช.หลงลืมไปว่า การปล่อยเรื่องนี้ให้ยาวนานออกไปมิได้เป็นผลดีกับประเทศชาติเลยแม้แต่น้อย เพราะนั่นเท่ากับว่า เป็นการเสริมให้เครือข่ายธรรมกายมีความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้นและกลายเป็นกลุ่มก๊วนทางการเมืองที่มีพร้อมสรรพในทุกมิติ
เป็นการผนึกกำลังเข้าด้วยกันระหว่างฝ่ายอาณาจักรและฝ่ายศาสนจักรอย่างลงตัว
เป็นการหลอมรวมการเมืองเข้ากับศาสนา โดยมีทั้งเครือข่ายทุนและมวลชนให้การสนับสนุน
พล.อ.ประยุทธ์ต้องตระหนักให้มากว่า ถ้ารัฐบาล คสช.ซึ่งมีอำนาจรัฏฐาธิปัตย์ในมือเต็มยังไม่สามารถชำระสะสางเครือข่ายธรรมกายได้ รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งหรือจะทำได้
สิ่งที่รัฐบาล คสช.และ พล.อ.ประยุทธ์ต้องตระหนักให้มากคือ ความเชื่อมโยงระหว่างสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์กับวัดพระธรรมกาย ซึ่งมีข้อกังขาในคำสอนและวัตรปฏิบัติมาอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่มีเคยมีใครหรือหน่วยงานใดสามารถชำระสะสางได้
วัดพระธรรมกายประกาศชัดว่า นิพพานเป็นอัตตา ซึ่งผิดไปจากธรรมของพระพุทธเจ้าที่บันทึกเอาไว้ชัดเจนว่า นิพพานเป็นอนัตตา และมีปราชญ์ทางศาสนาคนสำคัญของไทยและของโลกคือ พระพรหมคุณาภรณ์(ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ให้การยืนยันเอาไว้
หรือเรื่องการทำบุญของวัดพระธรรมกายซึ่งมุ่งเน้นไปที่การบริจาคทรัพย์สินเงินทอง ประหนึ่งว่า ยิ่งทำบุญมากก็ยิ่งทำให้ขึ้นสวรรค์เร็วขึ้น
ก็ไม่รู้ว่าถ้าหากพระอุปัชฌาย์ของพระธัมมชโยได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดของคณะสงฆ์เรื่องเหล่านี้จะดำเนินไปในทิศทางใด มิยิ่งหนักข้อเข้าไปอีกหรือ เพราะที่ผ่านมาก็เห็นดีเห็นงามให้การชื่นชมมาโดยตลอดเสียด้วยซ้ำไป
เพียงแค่เรื่องการสะสมรถโบราณ ซึ่งแม้จะมีการชักแม่น้ำทั้งห้ามาอ้าง สารพัดสารพัด ก็มองไม่เห็นว่า เป็นวิถีทางแห่งสมณเพศที่ตรงไหน
กล่าวสำหรับเรื่องคดีรถหรูนั้น จากการให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ทำให้ทราบว่า ดีเอสไอจะใช้เวลาประมาณ 1 เดือนในการชำแหละข้อมูลในเรื่องนี้ ซึ่งถ้าหากถามว่า “ช้าหรือไม่” ก็ต้องบอกว่า “ไม่ช้า” เพราะในความเป็นจริงคดีนี้เกิดขึ้นมาเป็นเวลาร่วม 3 ปี(พ.ศ.2556) แล้วแต่ก็มิได้มีความคืบหน้าอะไรออกมา ดังนั้นจะเป็นอะไรไปถ้าหากจะต้องเสียเวลาแสวงหาข้อเท็จจริงอีกแค่ 1 เดือน
และเท่าที่ทราบจากแหล่งข่าวระดับสูงก็มีความเชื่อถือได้ว่า คดีรถหรูนั้นจะมีผลต่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์อย่างแน่นอน เพียงแต่ไม่แน่ชัดว่า “เป้าหมายของการตรวจสอบ” ในครั้งนี้จะขีดเส้นเอาไว้ที่ตรงไหนเท่านั้น
ดังนั้น รัฐบาล คสช.และ พล.อ.ประยุทธ์จะต้องทำให้ประเด็นต่างๆ เหล่านี้ให้กระจ่าง รวมทั้งเร่งปฏิรูปศาสนาในประเทศไทยให้พ้นจากวิกฤตเสียที โดยเฉพาะวิกฤตทางด้านการปกครองคณะสงฆ์ที่มุ่งเน้นไปที่การส่งเสริม “โลกียะ” มากกว่า “โลกุตระ” จนหลงลืมเป้าประสงค์ที่ตัดสินใจก้าวเข้าสู่ร่มกาสาวพัตร์ รวมทั้งเรื่องสำคัญอย่าง “สมณศักดิ์” ที่วันนี้กลับกลายเป็นเป็นเรื่องของพวกพ้อง เรื่องของการสร้างถาวรวัตถุมากกว่าการศึกษาพระธรรมวินัยเพื่อแสวงหาทางหลุดพ้นของพระพุทธองค์
รัฐบาล คสช.และ พล.อ.ประยุทธ์ช่วยทำให้วงการสงฆ์ไทยหลุดพ้นจากคำว่า “ดวง” (ด = เด็กใครฯ หมายถึง เป็นพระที่อยู่ในการดูแลของใคร ว = วิ่งเส้นไหน ? หมายถึง ขอสมณศักดิ์มากับพระผู้ใหญ่รูปใด และ ง = เงินถึงหรือเปล่า ? หมายถึง พร้อมที่จะทุ่มหรือไม่) เสียทีเถิดพ่อเจ้าประคุณรุณช่อง
.....จะเป็นพระคุณยิ่ง