ASTVผู้จัดการ – “เจ๊ยุ ทำเนียบ” ให้สัมภาษณ์เว็บแดงแจ๋ อัด “ประยุทธ์” ไม่มีภาวะผู้นำ - ไม่ฉลาด - เผด็จการกว่ายุค 14 ตุลาฯ เย้ยเอาตัวเองให้รอดก่อน โต้ “กองทัพ” นั่นแหละที่ต้องปฏิรูปก่อนส่วนอื่น โวยยุคนี้ตั้งคนเอาแต่ กปปส. จ้องล้าง นปช.- เพื่อไทย นักโทษการเมืองก็ไม่ยอมนิรโทษกรรม
วันนี้ (17 ต.ค.) ในกลุ่มผู้สื่อข่าวการเมืองทำเนียบรัฐบาลได้มีการส่งต่อบทสัมภาษณ์ชิ้นหนึ่งของ นางยุวดี ธัญญศิริ นักข่าวอาวุโส หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ประจำทำเนียบรัฐบาล ซึ่งให้สัมภาษณ์วิพากษ์วิจารณ์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีอย่างรุนแรง ผ่านเว็บไซต์ Thaivoicemedia.com โดยจากการตรวจสอบของ ASTVผู้จัดการพบว่า เว็บไซต์ดังกล่าวเป็นเว็บไซต์ที่เน้นการนำเสนอข้อมูลทางฝ่ายคนเสื้อแดง แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ พรรคเพื่อไทย รวมถึงกลุ่มต้น ม.112 และต้านคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
เมื่อตรวจสอบต่อไปอีกพบว่า บทสัมภาษณ์ชิ้นดังกล่าวถูกเผยแพร่ในเว็บไซต์ Thaivoicemedia ตั้งแต่ช่วงค่ำวานนี้ (16 ต.ค.)โดยมีพาดหัวว่า “ยุวดี” นักข่าวอาวุโสทำเนียบวิจารณ์ “ประยุทธ์” ไม่เหมาะเป็นนายกฯ อคติ - อาฆาต เผด็จการกว่ายุค 14 ตุลา เตือนระวัง “พัง” พร้อมเสนอ ปฏิรูปกองทัพก่อนปฏิรูปประเทศ
ขณะที่เนื้อหาของบทสัมภาษณ์ชิ้นดังกล่าวทั้งหมดมีดังนี้
นางยุวดี ธัญญศิริ นักข่าวอาวุโส หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ประจำทำเนียบรัฐบาล ให้สัมภาษณ์ “Thaivoicemedia.com” กรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไม่พอใจเกี่ยวกับการซักถามและการทำข่าว ที่ทำเนียบรัฐบาลว่า โดยส่วนตัวไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองอะไร กับ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะตลอดเวลาการทำงานข่าวมา 40 ปี จะให้เกียรติกับแหล่งข่าวเสมอ ไม่ว่า นายกรัฐมนตรี จะมาจากการเลือกตั้ง หรือ มาจากการรัฐประหาร ซึ่งนักข่าวทุกคนจะต้องศึกษา ประวัติความเป็นมา ลักษณะอุปนิสัยของนายกรัฐมนตรีแต่ละคนอยู่แล้ว จะถามอย่างไร ถึงจะได้คำตอบ หรือได้ข่าว ถามแนวไหน แบบไหนถึงจะได้ประเด็นข่าว เพื่อให้ความกระจ่างชัดในประเด็นที่ถามได้
นางยุวดี กล่าวว่า กรณีของ พล.อ.ประยุทธ์ นั้น คิดว่า ยังไม่เข้าใจการทำหน้าที่ของนักข่าวดีพอ นักข่าวไม่ได้มีหน้าที่เสนอข่าวด้านรัฐบาลเพียงอย่างเดียว ต้องมีแง่มุมอื่น หรือความคิดเห็นอื่นๆ ที่จะต้องนำเสนอให้รอบด้านครบถ้วน ไม่ใช่หลับหูหลับตาฟัง โดยไม่ตั้งคำถาม หรือถามอะไรที่ไร้สาระ หน่อมแน่ม ไม่ใช่
“อย่างเรื่อง คดีนักท่องเที่ยวอังกฤษถูกฆ่าที่เกาะเต่า คุณประยุทธ์ก็หาว่าพวกเราเดินตามตูดฝรั่ง ที่กล่าวหาว่า การสอบสวนของตำรวจไทยหลงทาง เราก็ถามไปตามหน้าที่ นายกฯก็ชี้แจงมาสิว่า หลงทางหรือไม่ หลงทาง เอาข้อเท็จจริงมาพูดกัน ไม่ใช่มาต่อว่า ว่าตามตูดฝรั่ง ซึ่งผู้นำที่ดี เขาไม่พูดอย่างนี้ มาด่าพวกเราว่า ไม่รักชาติบ้านเมือง นักข่าวก็เป็นคนไทย รักบ้านเมืองด้วยเหมือนกัน ไม่ใช่มีแต่คุณประยุทธ์ คนเดียวเสียเมื่อไหร่ ที่รักบ้านรักเมืองมากกว่าคนอื่น พูดอย่างนี้ไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำ” นางยุวดีกล่าว
นักข่าวอาวุโสประจำทำเนียบรัฐบาล ยังกล่าวด้วยว่า การแถลงข่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ แต่ละครั้ง แทนที่จะเอาข้อเท็จจริงที่นักข่าวสงสัยมาอธิบาย หรือมาชี้แจง กลับมาสอน มาอบรมนักข่าว บางทีพูดอบรมข่มขู่นักข่าว เป็นชั่วโมง แล้วมาต่อว่าอีกว่า ปล่อยให้พูดเป็นชั่วโมง ซึ่งก็แนะนำไปว่า ให้พูดข้อเท็จจริง กระชับ สั้นๆ ก็พอ เพราะมีหลายเรื่องหลายประเด็น แต่กลับมาตำหนิอีกว่า ให้พูดสั้นๆ แล้วไม่รู้เรื่อง ปัญหาบ้านเมืองจึงไม่จบ นี่ไม่ใช่วิสัยของผู้นำที่มีพฤติกรรมแบบนี้
“จะบอกว่าเมื่อลงข่าวไปแล้ว เกิดความเสียหายขึ้น ใครรับผิดชอบ นักข่าวและต้นสังกัดของนักข่าวฉบับนั้นๆ เขารับผิดชอบของเขาอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วงเขาหรอก ห่วงตัวเองให้รอดก่อนดีกว่าเถอะ” นางยุวดีกล่าว
นางยุวดี กล่าว คนที่เป็นนายกรัฐมนตรี จะต้องมีจิตใจที่เมตตา มีความยุติธรรม เป็นกลาง แต่รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ ดูเหมือนจะดำเนินนโยบาย ของกลุ่ม กปปส. มาปฏิบัติเป็นส่วนใหญ่ และกลุ่มบุคคลที่อยู่ฝั่ง กปปส. ทำอะไรก็ไม่ผิด แต่ถ้าเป็นฝ่าย นปช. พรรคเพื่อไทย คอยคิดที่จะจองล้างจองผญาญไม่จบ ไม่สิ้น
“คณะกรรมการ หรือ สมาชิก สนช. หรือ สปช. อะไรทั้งหลายทั้งปวงที่ตั้งกันขึ้นมาก็เห็นตั้งเฉพาะพวกเดียวกันเข้ามาทั้งนั้น ขณะที่ ฝ่ายตรงกันข้ามอย่าง พวกเสื้อแดง พวก นปช. ก็เอาเขาไปขังไว้เป็นปีๆ ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีที่มาจากการทำรัฐประหาร เมื่อเข้ามาแล้วจะต้องนิรโทษกรรมให้กับฝ่ายต่างๆ ทั้งหมด เพื่อให้บ้านเมืองมันเกิดความสว่าง ไม่ต้องมาขัดข้องหมองใจ ให้อภัยกันไปเสียบ้าง ยุคเผด็จการสมัยก่อน เมื่อยึดอำนาจมาแล้วสิ่งที่นายกรัฐมนตรีจะต้องทำ คือ 1. จะต้องนิรโทษกรรมนักโทษทางการเมือง หากคนไหนไม่มีคดีอาญาก็ต้องปล่อยไป ไม่ใช่ขังเขาไว้เป็นเวลา 2 - 3 ปี แบบนี้ เราเคยถามว่าทำไมไม่ทำ รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ยังมีหน้ามาบอกว่า ไม่เห็นมีนักโทษทางการเมือง ถ้าคิดอย่างนี้ ก็เลิกพูดกัน แล้วไอ้ที่ขังเขาอยู่นั่นนะ มันเป็น หมา เป็น แมว หรือไงวะ จะอาฆาตกันไปถึงไหน แค่มีความเห็นต่างทางการเมืองกันก็เท่านั้น จะเอาเป็นเอาตายกันเลยหรือ คนไทยด้วยกันทั้งนั้น” นางยุวดี กล่าว
นางยุวดี กล่าวต่อไปว่า สมัย 14 ตุลาฯ เมื่อ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี ยังเสนอให้มีการนิรโทษกรรมให้นักศึกษาที่หนีเข้าป่า ให้กลับออกมาด้วยซ้ำ เพราะเห็นว่า ประเทศชาติจะขาดปัญญาชนไม่ได้ เพราะยุคนั้นปัญญาชนที่มีความรู้ ความสามารถ เข้าป่ากันไปเป็นจำนวนมากทีเดียว อีกอย่าง พ่อแม่ ครอบครัวเขาที่อยู่ข้างหลัง จะได้รู้สึกสบายใจ บรรยากาศทางการเมืองที่เคยคับแค้นใจกัน หรือมีแต่ความมืดก็จะสว่างขึ้น แต่ ตรงกันข้ามกับเผด็จการสมัยนี้ ที่มี นายกรัฐมนตรี ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พยายามสร้างแต่พระเดช แต่ไม่ได้สร้างพระคุณ ดังนั้น เมื่อพูดอะไรไป ก็ไม่มีใครฟัง ไม่มีใครเชื่อ ไม่มีใครศรัทธา
“เวลาที่คุณประยุทธ์ต่อว่า หรือดุด่าอย่างมีอารมณ์กับเรานั้นนะ เรารู้สึกสงสารเขานะ คือ คนที่เข้ามานั่งในระดับสูงสุดของประเทศแบบนี้ ถ้าไม่รู้จักปรับตัว ใครพูดอะไรก็ไม่ฟัง เคยชินกับการสั่งแต่คนอื่นตลอดเวลาแบบนี้ รับรองว่า พัง นายกฯคนนี้ทำอะไรไม่ฉลาด ต้องรู้จักผ่อนหนัก ผ่อนเบาบ้าง อย่าลืมว่า นายกรัฐมนตรีนั้นมีหน้าที่ดูแลแก้ปัญหาให้กับประชาชน ต้องเข้าใจประชาชน ไม่ใช่ให้ประชาชนมาเข้าใจตัวเอง เราว่า เผด็จการในอดีตสมัย จอมพลถนอม จอมพลประภาส ไม่มีปัญหากับนักข่าวเหมือนคุณประยุทธ์ ผู้นำเผด็จการเมื่อก่อนยังพร้อมที่จะรับฟัง ทำข่าวง่ายกว่ายุคนี้เยอะ” นักข่าวอาวุโส ประจำทำเนียบรัฐบาล กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า คิดอย่างไรกับการที่ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังจะปฏิรูปประเทศซึ่งรวมถึงการปฏิรูปสื่อด้วย นางยุวดี กล่าวว่า คณะกรรมการปฏิรูปทั้ง 11 ด้าน กลับไปปฏิรูปตัวเองก่อนดีกว่า สื่อมวลชนจำเป็นต้องปฏิรูปและปรับตัวอยู่แล้ว ไม่งั้นจะอยู่ไม่ได้ และกลุ่มบุคคลที่จะเข้ามาทำหน้าที่ปฏิรูปก็พวกเดียวกันทั้งนั้น คิดไปในทำนองเดียวกัน เป็นทหารเสียมากกว่าครึ่งด้วยซ้ำ อย่างนี้แล้วมันจะปฎิรูปสำเร็จได้อย่างไร
“กองทัพเองต่างหากละ ที่จะต้องเร่งปฎิรูปก่อนใครเพื่อน คิดดู นายพล ในกองทัพไทย มีจำนวนเป็นพันแล้วตอนนี้ ทำไมตั้งกันเยอะแยะ เดินกร่างเต็มไปหมด จะเหยียบกันตายอยู่แล้ว ขนาดนายกสมาคมกีฬา สมาคมมวยสมัครเล่น อะไรต่อมิอะไร ก็เป็นนายพลทั้งนั้น มันอะไรกัน และเมื่อเข้ามารับตำแหน่งด้านการบริหารต่างๆ โอกาสที่จะเกิดการทุจริต โดยการเรียกเปอร์เซ็นต์จากโครงการนั้น โครงการนี้ก็มีเหมือนกัน เรื่องนี้ จะไม่ให้ตรวจสอบ ไม่ให้ตั้งคำถามไม่ได้” นางยุวดีกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ พูดขอความเห็นใจว่าไม่อยากที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรี แต่สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง บังคับให้ทหารต้องออกมารับผิดชอบ นางยุวดีกล่าวว่า พูดแบบนี้ เขาเรียกว่า พูดแบบปากกับใจไม่ตรงกัน ก็คอยดูกันต่อไปแล้วกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า คิดว่า รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จะอยู่เพียง 1 ปี จริงหรือไม่ นางยุวดีกล่าวว่า ก็คงจะตะแบงไปเรื่อย หากรัฐธรรมนูญร่างไม่เสร็จ ก็ยืดไปเรื่อย เปิดทางไว้แล้ว ไม่แน่อาจจะเลือกตั้งในปี 2559 ก็ได้
“เราทุกคนรักบ้านเมืองกันทั้งนั้นแหละ อะไรที่ไม่ถูกไม่ต้องก็ต้องวิพากษ์วิจารณ์กันไป ผู้บริหารประเทศก็ต้องรับฟัง จะเชื่อไม่เชื่อ จะทำไม่ได้ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ไม่ใช่มองคนอื่นที่วิพากษ์วิจารณ์เป็นศัตรูไปเสียหมด” นางยุวดีกล่าว
สำหรับ นางยุวดี ธัญญศิริ หรือ “เจ๊ยุ” นักข่าวอาวุโส หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ประจำทำเนียบรัฐบาล เป็นที่ร่ำลือกันในหมู่ผู้สื่อข่าวและคอข่าวว่าเป็นนักข่าวประจำทำเนียบที่ค่อนข้างจะชื่นชอบรัฐบาลในยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่ายเป็นพิเศษ โดยในปี 2547 สมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีคำสั่งแต่งตั้ง พล.อ.สิริชัย ธัญญสิริ รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด สามีของนางยุวดี ไปนั่งในตำแหน่ง ผู้อำนวยการกองอำนวยการสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ และต่อมาในปี 2548 ก็ในยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งมี พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา รมว.กลาโหม ก็มีการแต่งตั้ง พล.อ.สิริชัย ธัญญสิริ เป็นปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งถือว่าเป็นตำแหน่งสูงสุดในชีวิตราชการ