xs
xsm
sm
md
lg

สาวลึกเหตุ “พระธัมมชโย” ไม่มอบตัว!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


อดีตศิษย์เอกวัดพระธรรมกาย สาวลึกถึงก้นบึ้งเหตุที่พระธัมมชโยไม่มอบตัวเพราะมีความเชื่อมั่นว่าตนเองจะหลุดจากคดีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน จากสถานการณ์ที่เป็นปัจจัยบวกทั้งจำนวนสาวกและสาขาที่มีอยู่ทั่วโลก ที่พร้อมจะผลักดันให้ก้าวไปสู่เป้าหมายอาณาจักรธรรมกาย หรือ รัฐอิสระได้ไม่ยาก กอปรกับอาการโรคหลงตัวเอง คิดว่าตนเอง คือ “ต้นธาตุต้นธรรม” เป็นหัวหน้าของพระพุทธเจ้า ซึ่งทุกคนที่อยู่ในอาณัติห้ามคัดค้านและต้องทำตามคำสั่ง ที่สำคัญมีวิธีคิดถอดแบบกลุ่มเสื้อแดง ซึ่งพระธัมมชโยเชื่อว่าหากขั้วการเมืองเก่ากลับมา จะช่วยทำให้รอดจากคดีได้เช่นเดียวกับคดีที่ผ่านมาในปี 2542 เมื่อมีการเปลี่ยนรัฐบาลจากยุคนายชวน หลีกภัย มาเป็นยุคของนายทักษิณ ชินวัตร

การแก้ปัญหาวัดพระธรรมกายยืดเยื้อเรื้อรังมาเป็นเวลานาน แม้จะมีการดำเนินการทั้งทางโลกโดยใช้กระบวนการทางกฎหมาย และทางสงฆ์โดยการประชุมมหาเถรสมาคม หรือพระผู้ใหญ่เจ้าคณะเข้ามาร่วมดำเนินการด้วยก็ตาม

แม้กระทั่งกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ส่งหนังสือถึงสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ขอให้พิจารณาระงับการเผยแพร่ภาพและเสียงชั่วคราวของสถานีโทรทัศน์วัดพระธรรมกาย (DMC) ซึ่งเป็นแม่ข่ายใหญ่ในการปลุกระดมสาวกเข้ามาในวัดธรรมกาย ซึ่งล่าสุด บอร์ด กสท. มีมติสั่งปิดทีวีช่องธรรมกาย เป็นเวลา 30 วัน ด้วยเหตุใช้สื่อปลุกระดมนัดผู้ศรัทธารวมตัวที่วัด ซึ่งขัดมาตรา 64, ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับ 97

อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ได้สร้างความเคลือบแคลงใจให้กับสังคมมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน เพราะที่ผ่านมานั้นยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด และหากพระธัมมชโยปฏิบัติเหนืออำนาจศาลสงฆ์ และเหนือกว่าอำนาจรัฐ ไม่เป็นไปตามกฎกติกาของสังคมแล้ว คิดว่าการใช้กฎหมายต่อไปก็คงลำบาก อีกทั้งยังเป็นที่จับตาของสังคม ว่าจะมีโอกาสเป็นมวยล้มหรือไม่
 หนังสือถึง กสทช. ขอให้พิจารณาระงับการเผยแพร่ภาพและเสียงสถานีโทรทัศน์และวิทยุ DMCชั่วคราว
ประวัติศาสตร์คดีธัมมชโยที่ผ่านมาเป็นเช่นไรวันนี้ก็เป็นเช่นนั้น

ปัจจุบันแม้คดีพระธัมมชโยยังไม่ปรากฏข้อสรุปประการใด แต่นับวันจะยิ่งเห็นถึงการเคลื่อนไหวและพฤติกรรมในเชิงรุกและเชิงรับ ที่ไม่ต่างจากคดีเก่าของพระธัมมชโยในปี 2542 ซึ่งถูกสอบพบพัวพันคดียักยอกที่ดินที่ได้รับบริจาคจากญาติโยมในเดือนเมษายน 2542 ซึ่งเป็นยุคที่นายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี โดยกรมการศาสนาและกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ดูแลเรื่องนี้ โดยได้ส่งตัวแทนแจ้งความต่อกองปราบปรามให้เอาผิด “ธัมมชโย” ใน 3 ข้อหาหนักคือ แจ้งความเท็จ ยักยอกทรัพย์และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งมีการนัดหมายเพื่อไปให้ปากคำหลายครั้ง สุดท้ายจนถึงขั้นขีดเส้นตายออกหมายจับพระธัมมชโย

แต่ก็มีความพยายามบ่ายเบี่ยง ด้วยเหตุผลต่างๆนานา ทั้งอ้างอาการป่วยหนักของพระธัมมชโย และ “พระทัตตชีโว” รองเจ้าอาวาส ส่งจดหมายถึงเครือข่ายกัลยาณมิตร เร่งขนคนเข้าวัดวางเป้าอย่างน้อยจังหวัดละ 1 พันคน โดยได้ออกหนังสือที่ วธก.2220/ว.037 ลงวันที่ 23 พ.ค. 2542 ขอให้ศูนย์กัลยาณมิตรทุกแห่งที่กระจายอยู่ทั่วประเทศให้พยายามนำคนมาวัดให้ได้ตามเป้าหมายเป็นอย่างน้อย
พระธัมมชโยในปี 2542 ถูกสอบพบพัวพันคดียักยอกที่ดินที่ได้รับบริจาคจากญาติโยม  ( ภาพ : ไทยพีบีเอส)
ซึ่งเหตุการณ์ต่างๆ ที่ดำเนินไป เหมือนเป็นการซื้อเวลาเข้าสู่ปี 2548 ที่ศิษย์ธรรมกายมีการล่ารายชื่อเสนอต่อนายทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น กระทั่งเดือนสิงหาคมปี 2549 ศาลสั่งจำหน่ายคดีวัดพระธรรมกาย หลัง “ อัยการสูงสุด” ยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง “พระธัมมชโย” กับลูกศิษย์ 2 สำนวน ยักยอกเงินบริจาควัดกว่า 35 ล้าน ยกเหตุจำเลยคืนเงินวัดกว่า 930 ล้าน และยอมเผยแผ่ศาสนาตามพระไตรปิฎกตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชฯ แล้ว ขณะที่คดีธรรมกายอีก 3 สำนวนอัยการพร้อมยุติคดีสั่งไม่ฟ้อง

นับว่าแผนรับมือในคราวนั้นไม่ได้มีความแตกต่างใดๆ กับสถานการณ์วันนี้ ที่ทั้งพระธัมมชโย เจ้าอาวาส และพยานพระลูกวัดของวัดพระธรรมกาย ใช้การเบี้ยวนัด ไม่มารับฟังข้อกล่าวหาหลายครั้ง ด้วยเหตุผลอาการป่วยหนัก และสรุปเองว่าไม่มีความผิด เชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของพระธัมมชโย อ้างเหตุผลหลวงพ่อเป็นคนดีของสังคม รวมถึงจัดงานบุญสวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตรต่อเนื่อง เพื่อระดมสาวกเข้าวัดให้มากที่สุด
ดร.นพ.มโน เลาหวณิช อาจารย์วิทยาลัยแพทยศาสตร์นานาชาติจุฬาภรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอดีตลูกศิษย์วัดพระธรรมกาย
วิเคราะห์สาเหตุไม่ยอมมอบตัว

ดร.นพ.มโน เลาหวณิช อาจารย์วิทยาลัยแพทยศาสตร์นานาชาติจุฬาภรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอดีตลูกศิษย์วัดพระธรรมกาย กล่าวถึงสาเหตุที่พระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาส ฝ่าฝืนเส้นตาย 30 พ.ย. ไม่มามอบตัวกับพนักงานสอบสวน หรือแม้กระทั่งการเบี้ยวไม่เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาหลายครั้งนั้น

ประการแรก คือ ยอมรับสภาพของตัวเองไม่ได้ว่า จะต้องถูกดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการถูกปั๊มนิ้วมือ หรือถูกสอบสวน ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ เพราะที่ผ่านมาพระธัมมชโยได้รับการปฏิบัติจากคนรอบข้างและบรรดาลูกศิษย์เหมือนไข่ในหิน กอปรกับลักษณะของคนที่ขี้กลัว เห็นได้จากเหตุการณ์ในอดีตหลังจากขึ้นศาลในคดียักยอกเงินวัด เมื่อกลับไปถึงวัดก็มีอาการอาเจียนเป็นเลือด มักเสแสร้งว่าตนป่วยหนัก ทั้งที่ไม่ได้ป่วยมาก เพื่อเป็นข้ออ้างเมื่อมีสถานการณ์บีบบังคับ

ประการต่อมา สิ่งที่ทำให้พระธัมมชโยดื้อแพ่งไม่ยอมมอบตัวและมีความมั่นใจว่าจะไม่ถูกจับกุม เพราะเชื่อในบรรดาบริวารที่ทำหน้าที่ปกป้องดูแลอยู่นั้น จะสามารถรับมือกับเหตุการณ์เช่นเดียวกับที่เคยทำสำเร็จมาแล้วในปี 2542 เรียกได้ว่า “ในสมัยนั้นใครก็ทำอะไรท่านไม่ได้ จึงไม่เคยมีความคิดว่าจะแพ้ มีแต่คิดว่าจะชนะเท่านั้น”

ประการที่สาม คือ การรวมคนเป็นกำแพงโล่มนุษย์ให้ได้จำนวนมาก ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด จะเห็นว่าในปี 2542 พระธัมมชโย และวัดพระธรรมกายเคยทำอย่างไร ครั้งนี้ก็ใช้วิธีแบบนั้น ไม่มีอะไรใหม่ ซึ่งขณะนี้คนก็แห่กันเข้าไปในวัดพระธรรมกายเป็นจำนวนมาก จึงทำให้มั่นใจในความศรัทธาที่มีต่อธรรมกาย ที่เชื่อว่าไม่ได้ลดจำนวนลง จะสามารถมาเป็นกำแพงโล่มนุษย์ ขวางไม่ให้เจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปจับกุมพระธัมมชโยในวัดได้
โล่ห์มนุษย์วัดพระธรรมกาย เมื่อ16 มิถุนายน 2559
ตั้งเป้าสู่อาณาจักรธรรมกายหรือรัฐอิสระ

ขณะเดียวกัน พระธัมมชโย ยังเชื่อมั่นว่าตัวเองมีบารมี จะสามารถฟันฝ่าไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ คือ สร้างอาณาจักรธรรมกายให้เป็นเหมือนอาณาจักรวาติกันได้ไม่ยาก ไม่ว่าใครจะไปพูดคัดค้านอย่างไรก็ไม่เป็นผล ทุกกิจกรรมทุกงานบุญของวัด เช่นการสวดธัมมจักกัปปวัตนสูตรก็เป็นไอเดียของพระธัมมชโยทั้งนั้น
นอกจากนี้ การนำเงินไปซื้อที่ดินหรือซื้ออะไรต่างๆ นั้นก็ล้วนเป็นความคิดของพระธัมมชโยเช่นกัน ไม่มีใครกล้าค้าน ห้ามเถียง ห้ามออกเสียง เพราะคนที่ไม่เห็นด้วยจะอยู่ไม่ได้ จึงไม่กล้าโต้แย้ง ทุกอย่างต้องตามน้ำอย่างเดียว

“ท่านมั่นใจ ด้วยปัจจัยต่างๆ นับตั้งแต่สาวกและวัดพระธรรมกายมีวัดสาขา สำนักสงฆ์ และศูนย์ปฏิบัติธรรมของเครือข่ายของวัดทั่วประเทศมากถึง 129 แห่ง ในต่างประเทศทั้งที่ยุโรปและอเมริกาอีก 86 แห่ง เหล่านี้เป็นสิ่งที่ช่วยสนับสนุนให้ธรรมกายไปสู่เป้าหมายคือ การสร้างอาณาจักรธรรมกายที่ยิ่งใหญ่ เป็นลัทธิที่ยิ่งใหญ่หรือรัฐอิสระได้ไม่ยากนัก”

มีอาการป่วยด้วยโรคหลงตัวเอง

ดร.นพ.มโน กล่าวว่า สิ่งที่พระธัมมชโยแสดงออกมาในลักษณะที่กล่าวมานั้น เรียกว่ามีอาการหลงตัวเองเพราะคิดว่าตัวเองมีความชอบธรรม และแต่งเรื่องที่ไม่เป็นความจริงว่า สมบัติทุกอย่างในโลกนี้พระธัมมชโยมีสิทธิ์ครอบครองได้ทั้งหมด เพราะคิดว่าตนเองเป็น “ต้นธาตุต้นธรรม” เป็นหัวหน้าของพระพุทธเจ้า ทั้งฝ่ายโปรดและฝ่ายปราบเหนือกว่าพระพุทธเจ้าธรรมดา สามารถให้ธรรมแก่ผู้เลื่อมใสให้บรรลุธรรมกาย

เช่นเดียวกัน หากได้อ่านคำให้สัมภาษณ์ของนายอานันต์ อัศวโภคิน เจ้าของบริษัทเครือ “แลนด์แอนด์เฮ้าส์” และศิษย์เอกธรรมกาย ที่ชวนปิดบัญชีโลกทำบุญ และเปิดบัญชีสวรรค์ จะยิ่งเข้าใจว่า วัดพระธรรมกายคิดอย่างไร ทำไมเงินทองในกระเป๋าชาวบ้านจึงเป็นเงินทองของพระธัมมชโย เพราะกล่าวว่าจะมาฝืนอยู่ทำไม ทรัพย์สินสมบัติต่างๆ มีจริงแต่ไม่ใช่ของเรา ทั้งหมดเป็นเงินของพระต้นธาตุต้นธรรมที่ท่านให้มา ท่านเป็นคนที่ทำให้เรามีเงิน ดังนั้นเราต้องนำไปคืนให้ท่าน เพราะเราเป็นแค่ทางผ่าน

ลักษณะต่างๆ เหล่านี้เป็นอาการโรคจิตแบบหลงตัวเอง (Narcisisitic) มีลักษณะโลกความจริงเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่เชื่อตัวเองอย่างเดียว หลงตัวเอง และยิ่งไปกว่านั้น ยังทำให้คนเชื่อว่าตัวเองเป็นพระต้นธาตุต้นธรรม เมื่อทำให้คนกลุ่มหนึ่งมีความเชื่อแล้ว จากนั้นก็ขยายต่อกันไปเป็นไฟลามทุ่ง มักจะมีความเป็นอยู่ที่ลึกลับ และทำอะไรไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย

เชื่อมั่นเต็มร้อยเพราะในอดีตเคยรอดมาแล้ว

ทั้งนี้หากย้อนรอยคดีเมื่อปี 2542 ที่พระธัมมชโยถูกฟ้องโกงเรื่องที่ดินโกงเงินทำเอกสารเท็จ ที่ยืดเยื้อมาหลายปี และในที่สุดในปี 2549 ซึ่งนายทักษิณ ชินวัตร เข้ามารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พระธัมมชโยก็สามารถชนะคดีได้

มาถึงเหตุการณ์ในวันนี้ก็มีปมใกล้เคียงกัน คดีเรื่องที่ดิน คดีที่เกี่ยวกับการโกงเงินและเอกสารเท็จ และท่านก็มีวิธีการต่างๆ ที่เหมือนกัน เช่น จัดสวดมนต์ และต้องระดมคนให้มาวัดพระธรรมกายกันมากๆ กิจกรรมปั๊มพระก็เหมือนที่เคยทำ ไม่มีอะไรแตกต่าง สิ่งต่างๆ เหล่านี้ยิ่งทำให้เชื่อว่ามีอำนาจมาก สั่งได้ทุกอย่าง จึงยิ่งทำให้พระธัมมชโยคิดว่าจะรอดได้เหมือนกับที่ผ่านมา สถานการณ์วันนี้ เรียกได้ว่า ทะเยอทะยาน และมีอาการหลงตัวเอง หลงผิดว่าคนอื่นเป็นพญามารมาแกล้ง ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นคนทำตัวเอง

ถอดแบบกลุ่มเสื้อแดงเชื่อขั้วการเมืองเก่าช่วยได้

ที่สำคัญ คือ วิธีคิดที่เหมือนกันกับกลุ่มเสื้อแดง เพราะจากการแถลงของนายองอาจ ธรรมนิทา โฆษกคณะศิษยานุศิษย์ วัดพระธรรมกาย ที่ใช้ถ้อยคำว่า “หากทำให้ตกใจจะจัดการ ดังนั้นอย่าทำให้ตกใจ” วาทกรรมแบบนี้เหมือนกับนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่มเสื้อแดง ที่บอกว่าอย่าทำให้ตกใจเราจะจัดการ เป็นวิธีที่เหมือนกับเสื้อแดงอย่างชัดเจน รวมทั้งยังมีความเชื่อว่าการเมืองขั้วอำนาจเก่า ที่มีกลุ่มคนเสื้อแดงสนับสนุน จะกลับมามีอำนาจอีกครั้งและช่วยให้พระธัมมชโย และวัดพระธรรมกายรอดจากคดีเช่นที่ผ่านมา

กำลังโหลดความคิดเห็น