ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -หลังโดนค่อนแคะอย่างหนักว่า รัฐบาลจะมีน้ำยาตามลากคอแก๊งหมิ่นสถาบันฯ กลับมารับโทษทัณฑ์ในประเทศไทยได้หรือไม่ เพราะกี่ครั้งต่อกี่ครั้งมักจะติดปัญหาเรื่องข้อกฎหมาย ที่ประเทศต่างๆ เหล่านี้มักจะอ้างว่า ไม่มีกฎหมายในลักษณะเดียวกับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จึงไม่สามารถส่งตัวกลับมาไดเนื่องจากอาจกลายเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน พอเกิดกรณีหมิ่นสถาบันฯ จากต่างประเทศทีไร ทางการไทยจึงแทบไม่ต่างอะไรกับเป็ดง่อยที่ได้แต่นั่งดูคนเหล่านี้ข่มเหงน้ำใจคนไทย
แต่ล่าสุดเริ่มจะเห็นยุทธวิธีของรัฐบาลในการแก้ปัญหานี้แล้ว หลังตัวแทนกรมตำรวจในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ได้เรียกกลุ่มเสื้อแดงใต้ดินไปเจรจา ขอให้ยุติการส่งกระจายเสียงผ่าน YouTube 2 ช่อง คือ ช่อง YAMMY revolution และ Faiyen Channel ซึ่งอ้างว่า เป็นสถานีไทยเสรีเพื่อสาธารณรัฐไทย ตั้งอยู่ในเมืองหลวงของประเทศลาว โดยขู่ว่า หากไม่เชื่อฟังจะส่งตัวกลับไปรับโทษที่เมืองไทย
กระทั่งต่อมาทางกลุ่มแดงใต้ดินได้ออกแถลงการณ์ เมื่อวันที่ 19 พ.ย. ขอยุติการออกอากาศเพื่อรอดูสถานการณ์จนกว่าจะกลับเป็นปกติเพื่อความปลอดภัย ถือว่าเป็นครั้งแรกๆ ที่ต่างประเทศให้ความร่วมมือไทยในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว หลังที่ผ่านมาประเทศต่างๆ ที่มีแก๊งหมิ่นฯไปซุกหัวอยู่ เหมือนเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ทำให้การจัดรายการผ่านโซเชียลมีเดียมีเต็มพรืดไปหมด สกัดเท่าไหร่ก็ไม่หมดสักที
แต่ก็ถือเป็นสัญญาณที่ดีในการแก้ไขปัญหา แม้ที่สุดเราจะไม่สามารถลากคอพวกนี้เข้ามาชดใช้ความผิดให้สาสมกับที่เหยียบย่ำหัวใจคนไทย เพราะแม้ไม่ได้ตัวมาคนเหล่านี้ก็อยู่ไม่เป็นสุขเช่นเดียวกัน ต้องอยู่อย่างทุกข์ทรมาน ไม่ได้อิสรภาพที่จะพูดจะเขียนอะไรก็ได้เหมือนที่ตัวเองต้องการ ทั้งที่การหนีไปซุกประเทศอื่นเพราะต้องการสิ่งเหล่านี้ แต่นี่นอกจากจะไม่ได้อาศัยอยู่ในบ้านเกิดแล้ว ยังถูกจำกัดขอบเขตในการเดิน
เรียกว่า เจอหวย 2 เด้ง
เพราะที่สุดคนเหล่านี้ล้วนอยากบ้านมาตายในบ้านเกิดทั้งนั้น ไม่มีใครมีความสุขอย่างแท้จริงในต่างแดน คนเหล่านี้แค่รอว่า สิ่งที่ตัวเองต้องการจะสำเร็จในวันหนึ่ง แล้วเมื่อนั้นจะเดินกลับมาอย่างภาคภูมิใจ แต่ขณะนี้สิ่งที่วาดฝันไว้กลายเป็นแค่จินตนาการเท่านั้น โอกาสที่จะตายต่างแดนมีสูงขึ้นเรื่อยๆ นอกเสียจากจะกลับมาติดคุก ชดใช้ความผิดในประเทศไทยเท่านั้นสถานเดียว
เอาเป็นว่าเบื้องหน้าต่อให้คนเหล่านี้จะทำเป็นยิ้มแย้มแจ่มใสแค่ไหน เสมือนไม่สะทกสะท้านที่ต้องมาอาศัยบ้านคนอื่น ทำเป็นมีความสุข ที่ได้อิสรภาพ แต่เชื่อเถอะเป็นความสุขแบบจอมปลอมทั้งนั้น ยิ่งมาเจอทางการลาวบล็อกแบบนี้ เหมือนตายทั้งเป็น
จะว่าไปการที่ทางการลาวเริ่มสั่งให้คนพวกนี้เริ่มรูดซิปปาก ส่วนหนึ่งเป็นมาตรการจากทางไทยในการประสานขอความร่วมมือ หลังจากเสียหน้าโดนปฏิเสธไม่รู้กี่ครั้งในการขอให้คนส่งเหล่านี้กลับมาดำเนินคดี เลยเริ่มยุทธวิธีใหม่ นั่นคือ ถ้าส่งให้ไม่ได้ ก็ใช้ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศพูดคุย เพื่อให้บล็อกคนเหล่านี้ไม่ให้เคลื่อนไหว แม้ไม่ได้ตัวไม่เป็นอะไร แต่คนเหล่านี้ก็ต้องไม่สามารถปลุกปั่นยุยงอะไรได้เหมือนกัน
กล่าวคือ อย่าให้ต้องเสียน้ำอกน้ำใจกัน เพราะนอกจากจะไม่ได้ตัวแล้ว การนิ่งเฉยไม่ต่างอะไรกับการเปิดทางให้คนพวกนี้ใช้ประเทศนั้นๆ เป็นฐานในการโจมตีประเทศไทย มิตรภาพมันก็สั่นคลอนได้เหมือนกัน ลองนึกภาพกลับว่า ถ้ามีคนของประเทศดังกล่าวมาใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการโจมตีบ้านเมือง แล้วเราแสร้งทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่บ้าง เขาจะรู้สึกอย่างไร ก็คงเหมือนเราทุกวันนี้ นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งว่าทำไมลาวจึงแอ็กชั่นแรงมากในรอบนี้
ที่ผ่านมาไทยเองก็เคยใช้กรณีนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง ตอนที่นายเอกภพ เหลือรา หรือ ตั้ง อาชีวะ เหิมเกริมหนัก โจมตีสถาบันผ่านโซเชียลมีเดียอย่างต่อเนื่อง ในช่วงที่หนีไปมุดรูอยู่ในประเทศนิวซีแลนด์ ชนิดที่คนไทยโกรธแค้นอย่างหนัก แต่ทำอะไรไม่ได้ แต่ที่สุดเราได้ใช้ความพยายามในการประสานกับประเทศดังกล่าวเพื่อขอให้ช่วยป้องปรามก็ยังดี
จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ของประเทศนั้นๆ เข้าไปขอความร่วมมือให้ ตั้ง อาชีวะ หุบปากเสีย ไม่เช่นนั้นอาจจะต้องไปหาบ้านใหม่ ที่สุดข่าวคราวของนักเลงโซเชียลมีเดียรายนี้ก็เงียบหายไป จนปัจจุบัน ซึ่งถือเป็นยุทธวิธีที่ได้ผลพอสมควรกับบางประเทศที่มีความสัมพันธ์อันดีกับไทย
แต่บางประเทศที่มีขนาดใหญ่ตรงนี้ก็ต้องหาทางแก้ไขปัญหาต่อไปว่าจะทำอย่างไร แต่ความร่วมมือของลาวในครั้งนี้ถือว่าช่วยไทยได้เยอะ เพราะเป็นประเทศหนึ่งที่แก๊งหมิ่นสถาบันฯ หลบไปซุกหัวเยอะที่สุดเป็นลำดับต้นๆ โดยพบว่ามีหลายกลุ่ม อาทิ กลุ่มลุงสนามหลวง หรือ ชูชีพ ชีวะสุทธิ์ นักธุรกิจที่หลบหนีคดี ม.112 ไปอาศัยอยู่ประเทศจีน เมื่อหลายปีก่อน หลังรัฐประหาร 2557 และย้ายจากจีนมาเช่าอพาร์ทเมนต์ อยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน เป็นคนวางแผนทำ‘วิทยุออนไลน์ใต้ดิน’ โดยมีกลุ่มไฟเย็นเป็นฐานกำลังสำคัญ โดยสมาชิก ก็มี ไตรรงค์ สินสืบผล (ขุนทอง ไฟเย็น) รมย์ชลี สมบูรณ์รัตนกูล (แยมมี่ ไฟเย็น) สหายร้อยสิบสอง (นักเขียนชื่อดัง) และสหายยังบลัด
อีกกลุ่มคือ กลุ่มสหายหมาน้อย หรือ “โกตี๋ เรดการ์ด”แกนนำแดงวิทยุชุมชน ที่หนีคดี 112 ไปเปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวอยู่ที่เมืองหลวงเก่า มีความสนิทสนมกับกลุ่มลุงสนามหลวงของชูชีพ
กับอีกกลุ่มคือ กลุ่มของ สุรชัย แซ่ด่าน ประธานกลุ่มแดงสยาม ที่หนีไปเปิดสถานีวิทยุออนไลน์ เพื่อออกอากาศรายการปฏิวัติประเทศ มาตั้งแต่ปลายปี 2558 แต่ไม่ถูกกับกลุ่มลุงสนามหลวง และ กลุ่มโกตี๋ หลังทะเลาะกันเรื่องเงินๆ ทองๆ
ทว่าที่เชื่อมโยงกันมีอยู่จุดคือ ทั้ง 3 กลุ่ม จะได้รับเงินสนับสนุนในการเคลื่อนไหวทุกเดือนจากใครบางคน แล้วการที่อาศัยอยู่ในลาวได้นานๆ ก็เพราะบารมีของใครบางคนที่ประสานขอเอาไว้
แต่การทางการลาวเข้าไปบล็อกในครั้งนี้ มันก็เริ่มแสดงให้เห็นว่าความขลังของผู้มีบารมีเริ่มจะสิ้นแล้วหรือไม่ ไม่สามารถคุ้มกะลาหัวได้อีกต่อไป
งานนี้น่าจับตายังมีประเทศเพื่อนบ้านของเรา ประเทศไหนอีกบ้างที่จะใช้ยุทธการนี้กับพวกแก๊งหมิ่นที่หนีไปหลบซ่อน ถ้ามีนั่นหมายความว่า บารมีเก่าของใครบางคนหมดยุคเสียแล้ว พวกที่หนีไปถึงคราวตกระกำลำบาก เคลื่อนไหวก็ไม่ได้ ตังค์ก็ไม่มีจะรับประทานเหมือนกัน.