ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -การกลับลำ “ยอมมอบตัว” ทั้งๆ ที่ตัดสินใจ “หนี” คดีทำร้ายร่างกายผู้ร่วมชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งเปิดเวทีที่สวนสาธารณะหนองประจักษ์ อ.เมืองฯ จ.อุดรธานี เมื่อวันที่ 24 ก.ค.51 ของ “ขวัญชัย ไพรพนา” หรือชื่อจริง “ขวัญชัย สาราคำ” นำมาซึ่ง “คำถามที่ชวนให้สงสัย” ยิ่งนัก
คำถามนั้นก็คือ อะไรเป็นสิ่งที่ทำให้แดงฮาร์ดคอร์ผู้เป็นขาใหญ่แห่งเมืองอุดรธานีแห่งนี้ยอมมอบตัวอย่าง “เหนือความคาดหมาย”
เพราะต้องไม่ลืมว่า เนื่องจากก่อนหน้านี้หลังศาลฎีกามีคำพิพากษาให้รับโทษจำคุก 2 ปี “นางอาภรณ์ สาราคำ” ผู้เป็นภรรยา ออกมาให้เหตุผลต่อสาธารณชนว่า สามีของเธอจะมามอบตัวก็ต่อเมื่อประเทศเป็นประชาธิปไตยเสียก่อน
และคราวนี้ในวันมอบตัวที่มณฑลทหารบก(มทบ.) ที่ 24 จังหวัดอุดรธานี นายขวัญชัยได้เปิดปากถึงเหตุผลที่หนีว่า “ได้ข้อมูลมาคลาดเคลื่อน เกรงกว่าจะมีการเพิ่มโทษ กลัวว่าจะมีการทำร้ายผมในเรือนจำ เพราะข่าวเรื่องติดเชื้อในกระแสเลือดกับคนต่างๆ มันแรงเหลือเกิน”
นั่นคือเหตุผลที่แท้จริงหรือ
ประเด็นแรกคือ เรื่องโทษ น่าจะเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของเหตุผลอันน้อยนิด นายขวัญชัยอาจจะหนีเพราะกลัวติดยาว แต่ไม่น่าจะใช่เหตุผลที่แท้จริง เพราะนายขวัญชัยย่อมทราบดีว่า โทษของคดีทำร้ายร่างกายไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไร
ประเด็นเรื่องการติดเชื้อในกระแสเลือดในคุกก็เป็นเพียงข้ออ้างที่พอจะฟังขึ้น เพราะโจทย์ของนายขวัญชัยก็เยอะ ไม่เช่นนั้นคงไม่เคยถูกยิงถล่มด้วยอาวุธสงคราม หวิดเป็นผีเฝ้าสถานีวิทยุ และจนถึงขณะนี้ยังจับมือใครดมไม่ได้ ทว่า แม้อาจจะมีโอกาสเกิดขึ้น แต่ต้องบอกว่าน้อยถึงน้อยที่สุด ยิ่งติดคุกที่เรือนจำกลางจังหวัดอุดรธานี ซึ่งเป็นถิ่นฐานบ้านช่องของนายขวัญชัยและเป็นเมืองหลวงของคนเสื้อแดงด้วยแล้ว โอกาสยิ่งมีน้อย แม้จะไม่ใช่ในยุคที่คนเสื้อแดงมีอำนาจรัฐก็ตาม
สิ่งที่ต้องขบคิดก็คือ ในเมื่อนายขวัญชัยคิดจะหนีคดีแล้วทำไมถึงไม่หนีให้ตลอดรอดฝั่ง ใช่เป็นเพราะไม่สามารถ “ดีล” กับ “นายใหญ่” ในเรื่องของความช่วยเหลือและเงินทองที่จำต้องใช้ขณะที่อยู่ในต่างประเทศหรือไม่ เนื่องจากถ้าจะหนีก็ต้องใช้เวลายาวถึง 15 ปีจนกว่าคดีจะหมดอายุความ ซึ่งต้องใช้เงินทองอยู่ไม่น้อย
แม้นายขวัญชัยจะไม่บอกว่า ตอนที่หลบหนีคดีไปช่วงระยะเวลาสั้นๆ เขาไปอยู่กับใครที่แห่งหนตำบลไหน แต่เชื่อเถอะว่า นายขวัญชัยคงไม่ได้อยากหนีไปอยู่ประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงในละแวดนี้อย่างแน่นอน หากแต่ปรารถนาจะไปยุโรป สหรัฐฯ หรือไม่ก็ออสเตรเลียเหมือน “ตั้ง อาชีวะ” แดงล้มเจ้าซึ่งได้สิทธิเป็นพลเมืองแดนจิงโจ้พร้อมภรรยา และลูกน้อย
วันนี้ นายขวัญชัยที่เคยต่อสายตรงถึง “นายเหลี่ยม” ได้ด้วยผลงานชิ้นโบแดง กลับต่อสายกันไม่ติดเช่นนั้นหรือ
วันนี้ นายขวัญชัยซึ่งสร้างผลงานอันเอกอุเข้าตา “นายเหลี่ยม” ด้วยการบุกไปที่สวนสาธารณะหนองประจักษ์ศิลปาคม รื้อทำลายเวที ไล่ทำร้าย ทุบตี มวลชนพันธมิตรฯ อย่างอุกอาจ โหดเหี้ยม ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง จนได้รับการสมนาคุณอย่างงาม วันนี้...กลายเป็นหมาหัวเน่าเช่นนั้นหรือ
วันนี้ นายขวัญชัยซึ่งเบ่งบารมีขึ้นมาในระดับ “แดงฮาร์ดคอร์” ตัวพ่อ ในสายภูธร สามารถระดมคนจากภาคอีสาน เข้ามาร่วมชุมนุมในกรุงเทพฯ ครั้งละมากๆ และมีความฮึกเหิมขนาดที่คิดวัดบารมีขึ้นมาเทียบชั้นระดับแกนนำแดงนครบาล อย่าง “ไอ้ตู่-ไอ้เต้น” ด้วยการขอแยกท่อน้ำเลี้ยงจากนายใหญ่ไปลงที่อุดรฯ โดยตรง ไม่ให้ต้องถูกหักหัวคิว กลายเป็นโคถึกที่สิ้นสภาพการใช้งานและไม่เป็นที่ปรารถนาของ “นายเหลี่ยม” แล้วเช่นนั้นหรือ
วันนี้ นายขวัญชัยซึ่งได้รับความไว้วางใจจากนายใหญ่ถึงขนาดมีการขนานนามให้ อุดรฯเป็นเมืองหลวงของคนเสื้อแดง และในช่วงหลบหนีคดี นายขวัญชัยไปถ่ายรูปคู่อยู่กับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีซึ่งมีฐานะเป็นผู้หลบหนีคดีเช่นกัน ในต่างประเทศอีกต่างหาก ทำไมถึงตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
และทำไมนายขวัญชัยซึ่งเคยถึงขนาดพูดกับกลุ่มผู้สนับสนุนในภาคอีสานว่า มีอำนาจโยกย้ายผู้กำกับ ผู้บังคับการ รวมถึงผู้บัญชาการตำรวจทั่วพื้นที่ภาคอีสาน โดยมีอำนาจเซ็นรับรองให้นายตำรวจได้รับการแต่งตั้งโดยคนที่ดูไบ ถึงหมดราคาไปได้รวดเร็วขนาดนี้
วันนี้ นายขวัญชัยคงต้องยอมรับความจริงของชีวิตแล้วว่า ตัวเขาไม่ได้มีความสำคัญต่อ “นายเหลี่ยม” อีกต่อไป เฉกเช่นเดียวกับแกนนำคนเสื้อแดงรายอื่นๆ ที่มีคดีความติดตัวเป็นหางว่าว สุดท้ายแล้วถ้าหากโดนตัดสินให้ติดคุกติดตะราง “นายใหญ่” จะให้การอุปการคุณอีกหรือไม่ และจำต้องเช็กสถานะของตัวเองเป็นการเร่งด่วนว่ายังคงมี “ค่า” ในบริบทของเกมการเมืองที่เปลี่ยนไปหรือไม่
ถ้าไม่....จะทำอย่างไรกันดี
หนาวเหน็บ เจ็บและเสียวไปถึงขั้วหัวใจกันเลยทีเดียว
กระนั้นก็ดี นอกเหนือจากสภาพหมาหัวเน่าที่ไร้ราคาแล้ว ยังมีกระแสเสียงที่น่าเชื่อถือได้แว่วเข้ามาอีกว่า เหตุผลที่นายขวัญชัยกลับลำยอมมอบตัวก็เพราะมี “ดีลลับ” บางประการกับ “บิ๊กสีเขียว” เนื่องจากแทนที่นายขวัญชัยจะเดินไปมอบตัวกับตำรวจโดยตรง กลับใช้ “ทางอ้อม” ด้วยการไปมอบตัวกับ “ทหาร” ที่มณฑลทหารบก(มทบ.) ที่ 24 จ.อุดรธานีแทน
นั่นแสดงว่า ได้มีการประสานงานกันมาล่วงหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“วันนี้ได้รับคำยืนยันจากท่าน พล.ต.อำนวย(จุลโนนยาง ผบ.มทบ.24) ซึ่งเป็นคนที่ผมเคารพนับถือตั้งแต่สมัยการต่อสู้ปี 49 ที่ตั้งแต่มีการรัฐประหารครั้งแรก ที่ผมไว้วางใจมาโดยตลอด เมื่อท่านให้ความมั่นใจถึงขนาดนี้แล้ว จึงเดินทางกลับมาเข้าสู่กระบวนการรับโทษ พร้อมที่จะไปต้องโทษ 2 ปี ซึ่งตอนนี้ทำใจได้แล้ว”นายขวัญชัยแจกแจง
นี่ต่างหากจึงเป็นข้อเท็จจริงที่และเป็นเหตุผลที่จำต้องขีดเส้นใต้เป็นกรณีพิเศษ
ทำไมอยู่ๆ นายขวัญชัยจึงมีความไว้วางใจในทหารขึ้นมาเสียเฉยๆ แม้เขาจะอ้างว่ามีความเคารพนับถือในตัว พล.ต.อำนวย จุลโนนยาง ผบ.มทบ.24 มาก่อนหน้านี้แล้วก็ตาม แต่ในยุคที่ คสช.เป็นใหญ่ ถ้าไม่ได้รับไฟเขียวจากผู้มีอำนาจรัฏฐาธิปัตย์สีเขียว มีหรือที่นายทหารอย่าง พล.ต.อำนวยจะกล้าทำอะไรโดยพลการ
การที่ทหารเปิดค่ายรอรับนายขวัญชัยซึ่งตัดสินใจเข้ามอบตัวจึงไม่ใช่เรื่องธรรมดาที่จะมองข้าม
ขณะเดียวกันนายขวัญชัยคงจะรู้แจ้งเห็นจริงแล้วว่า โทษ 2 ปีของเขาเอาเข้าจริงแล้วก็คงนอนอยู่ในมุ้งสายบัวไม่นานนักเหมือนเช่นที่เคยเกิดขึ้นกับ “เด็จพี่พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์” และแกนนำคนเสื้อแดงอย่าง “จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศีรษะ” ซึ่งเมื่อคิดสะระตะถึงข้อดีข้อเสียและความอยากมีชีวิตอยู่อย่างสงบๆ ในช่วงบั้นปลาย นายขวัญชัยจึงตกลงรับภารกิจนี้
และนั่นเป็นที่มาของกระแสข่าวเรื่อง “ดีลลับ” บางประการระหว่างนายขวัญชัยกับคนที่คุณก็รู้ว่าใคร ซึ่งจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า ดีลลับที่ว่านั้นเป็นเรื่องอะไร
ใช่เกี่ยวข้องกับเรื่องการทำประชามติที่กำลังจะมาถึงหรือไม่
ใช่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งและเกมการเมืองที่กำลังจะเกิดขึ้นหรือไม่
แต่ที่แน่ๆ คงต้องบอกว่า งานนี้....จุ๊…จุ๊...จุ๊...และ...อิ...อิ....อิ...