xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 3-9 ก.ค.2559

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ

1.ดีเอสไอเรียกพระ 5 รูปใกล้ชิด “ธัมมชโย” สอบปากคำ ด้าน “ศรีวราห์” นำทีมตรวจ “เวิลด์พีซ วัลเล่ย์” พบไร้เอกสารสิทธิ 205 ไร่-สร้างอาคารกีดขวางทางน้ำ-ขุดบ่อบาดาลไม่ได้รับอนุญาต!
(บน) พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร.นำทีมตรวจสอบเวิลด์พีซ วัลเล่ยฺ์ สาขาธรรมกายที่เขาใหญ่ (ล่างซ้าย) พระธัมมชโย (ล่างขวา) พระทัตตชีโว รองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ถูกดีเอสไอเรียกสอบด้วย
ความคืบหน้าการตรวจสอบกรณีศูนย์ปฏิบัติธรรม "เวิลด์พีซ วัลเล่ย์" สาขาของวัดพระธรรมกาย ที่เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา บุกรุกที่ดินของรัฐ เมื่อวันที่ 6 ก.ค. พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้นำคณะเดินทางลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบเรื่องดังกล่าว โดยได้มีการประชุมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องที่ สภ.หมูสี อ.ปากช่อง ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ, ทหาร, กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ปทส.) , เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง , นิคมสร้างตนเองลำตะคอง , ที่ดินจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งนอกจากจะตรวจสอบพื้นที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมเวิลด์พีซ วัลเล่ย์ แล้ว ยังจะตรวจสอบพื้นที่วัดเขาวง ต.หนองน้ำแดง อ.ปากช่อง ซึ่งเป็นเครือข่ายของวัดพระธรรมกายอีกแห่งหนึ่งด้วย

หลังประชุม พล.ต.ต.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผบก. ปทส. ได้นำกำลังตำรวจกว่า 70 นาย พร้อมหมายค้นจากศาลอาญากรุงเทพฯ เข้าตรวจค้นพื้นที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมเวิลด์พีซ วัลเล่ย์ โดยมีนายสุธี ช่วยบำรุง ทนายความเวิลด์พีช วัลเล่ย์ เป็นผู้เซ็นชื่อรับหมายค้นและนำเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นสถานที่ โดยไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าร่วมตรวจสอบแต่อย่างใด จากการตรวจสอบการก่อสร้าง พบความผิดที่เห็นได้ชัดเจน คือ 1.ก่อสร้างอาคารกีดขวางทางน้ำสาธารณะ 2.สร้างอาคารกีดขวางทางสาธารณะเดิม และ 3. ขุดเจาะบ่อบาดาลโดยไม่ได้รับอนุญาต

ต่อมา พล.ต.อ.ศรีวราห์ และคณะ ได้เข้าไปตรวจสอบในเวิลด์พีซ วัลเล่ย์ โดยให้ผู้อำนวยการกองช่างองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) โป่งตาลอง ชี้จุดพร้อมร้องทุกข์กล่าวโทษว่า เวิลด์พีซ วัลเล่ย์ สร้างอาคารรุกล้ำทางเดินและลำรางสาธารณะ ก่อนออกมาแถลงข่าวที่บริเวณหน้าประตู เวิลด์พีซ วัลลเล่ย์ ท่ามกลางฝนที่ตกหนัก พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวว่า พื้นที่เวิลด์พีซ วัลเล่ย์ มีที่ดินประมาณ 500 ไร่ แบ่งเป็นมีเอกสารสิทธิเป็นโฉนดที่ดินจำนวน 3 แปลง เนื้อที่ 62 ไร่ เป็น นส.3 ก. 10 แปลง เนื้อที่ 230 ไร่ และไม่มีเอกสารสิทธิ ประมาณ 205 ไร่ ตรวจที่แคมป์คนงานก่อสร้างของ บริษัท ฤทธา จำกัด ที่เป็นบริษัทผู้รับเหมาก่อสร้าง พบคนงานรวม 489 คน เป็นแรงงานต่างด้าว 69 คน ตรวจปัสสาวะแรงงานไทย มีฉี่ม่วง 7 คน จึงนำตัวส่งดำเนินคดีที่ สภ.หมูสี

ขณะที่ผลการตรวจสอบอาคารขนาด 11 ชั้น และอาคารทรงกลม 3 ชั้น (จานบิน) พบก่อสร้างทับลำรางสาธารณะ และทางสาธารณะเดิม อีกทั้งมีการขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลโดยไม่ได้รับอนุญาต

ส่วนที่วัดเขาวง ต.หนองน้ำแดง อ.ปากช่อง ซึ่งเป็นสาขาของวัดพระธรรมกายอีกแห่งหนึ่งนั้น ผลการตรวจสอบพบว่า บุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเขาเสียดอ้า-อ่าวหิน จำนวน 26 ไร่ มีการสร้างกุฏิหลังเล็กบนภูเขา ซึ่งเป็นป่าสงวนแห่งชาตินับสิบหลัง พร้อมมีการปักเสาไฟฟ้าในที่ดินป่าสงวนฯ เจ้าหน้าที่จึงแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ

ด้าน พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) กล่าวถึงคดีพระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย สมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และร่วมกันรับของโจรของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นเมื่อวันที่ 6 ก.ค.ว่า พนักงานสอบสวนสำนักคดีการเงินการธนาคารได้เรียกพระใกล้ชิดกับพระธัมมชโยมาให้ปากคำจำนวน 5 รูปในวันที่ 8 ก.ค. ประกอบด้วย พระราชภาวนาจารย์ หรือพระทัตตชีโว รองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย, พระถวัลศักดิ์, พระมหาสมชาย, พระครูใบฎีกาอำนวยศักดิ์ มุนิสโก และพระสุธรรม สุธัมโม แต่พระสุธรรมอ้างว่า ติดภารกิจ ขอเลื่อนการเข้าให้ปากคำไปเป็นวันที่ 21 ก.ค.แทน อย่างไรก็ตาม ภายหลัง พระอีก 4 รูปได้ขอเลื่อนการเข้าให้ปากคำเช่นกัน จากวันที่เป็น 8 ก.ค. ไปเป็นวันที่ 22 ก.ค. ซึ่งพนักงานสอบสวนดีเอสไอไม่ขัดข้อง เพราะเป็นการขอเลื่อนครั้งแรก

ส่วนกรณีพระธัมมชโยจะเข้ามอบตัวหรือไม่ หลังอัยการนัดสั่งคดีสมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และร่วมกันรับของโจร ในวันที่ 13 ก.ค. ซึ่งมีพระธัมมชโยเป็น 1 ใน 5 ผู้ต้องหาคดีนี้นั้น หลังจากสัปดาห์ก่อน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ส่งสัญญาณว่า อาจใช้มาตรา 44 จัดการปัญหาพระธัมมชโย ปรากฏว่า เริ่มมีกระแสต่อรองจากฝ่ายธรรมกายและพระธัมมชโยอีกครั้ง โดยมีข่าวว่า พระธัมมชโยตั้งเงื่อนไขกับดีเอสไอว่า หากมอบตัว ต้องได้รับการประกันตัวทันที ซึ่ง พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ ยืนยันว่า ไม่ได้มีการเจรจาต่อรองเรื่องการมอบตัวดังกล่าวแต่อย่างใด และว่า ขณะนี้ คดีอยู่ที่อัยการแล้ว การจะให้ประกันตัวหรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่ดีเอสไอ แต่อยู่ที่อัยการและศาล อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 8 ก.ค. ได้มีการประชุม 3 ฝ่าย ระหว่าง พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้บัญชาการสำนักคดีภาษีอากร ดีเอสไอ, นายสมเกียรติ ธงศรี ผู้อำนวยการสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม และพระเทพรัตนสุธี เจ้าอาวาสวัดเขียนเขต ในฐานะเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี หลังหารือ พระเทพรัตนสุธี เผยว่า ดีเอสไอมาหารือเรื่องข้อกฎหมาย ไม่ได้หารือเรื่องการมอบตัวของพระธัมมชโย และว่า ขณะนี้คดีอยู่ที่อัยการว่า จะสั่งฟ้องหรือไม่ในวันที่ 13 ก.ค. พระเทพรัตนสุธีจะไม่เข้าไปก้าวก่ายเรื่องการมอบตัวแต่อย่างใด แม้จะเป็นพระปกครองทางสงฆ์ก็ตาม โดยอ้างว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวเกี่ยวกับการดำเนินคดีพระธัมมชโย ไม่ใช่สงฆ์เป็นผู้ฟ้อง

ส่วนความคืบหน้าคดีฟอกเงิน สืบเนื่องจากการยกยอก ฉ้อโกงสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นนั้น เมื่อวันที่ 7 ก.ค. พ.ต.ท. บรรณฑูรย์ ฉิมกรา ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ 3 ดีเอสไอ และนายขจรศักดิ์ พุทธานุภาพ อัยการพิเศษฝ่ายการสอบสวน 3 สำนักการสอบสวน ได้นำเอกสารสำนวนคดีสหกรณ์ฯ คลองจั่น ไปแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมนายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ผู้ต้องหาในคดีสมคบกันฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงิน ที่เรือนจำกลางบางขวาง จังหวัดนนทบุรี เพิ่มอีก 3 สำนวน หลังตรวจสอบพบว่า นายศุภชัย ได้นำเงินจากสหกรณ์ฯ คลองจั่น ไปตั้งบริษัท เอส ดับบลิว โฮลดิ้งส์ กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด, นำเงินจากสหกรณ์ฯ ให้นายสถาพร วัฒนาศิรินุกุล ไปซื้อที่ดิน โดยถือครองในชื่อบริษัท เอส ดับบลิว โฮลดิ้ง และนำเงินจากสหกรณ์ฯ ไปซื้อหุ้นของบริษัท เอ็ม โฮม เอส พี วี 2 จำกัด ทั้งนี้ แต่ละสำนวนมีมูลค่าความเสียหายไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท

2.“พีซทีวี” ไม่จอดำ แม้ กสท.มีมติสั่งปิด 30 วันฐานขัดคำสั่ง คสช. เหตุคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลปกครองยังมีผลอยู่!


เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ที่ประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) ได้มีมติระงับใช้ใบอนุญาตของสถานีโทรทัศน์พีซทีวี ของแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) เป็นเวลา 30 วัน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 10 ก.ค. ส่งผลให้พีซทีวีต้องยุติการออกอากาศเป็นเวลา 30 วัน โดย กสท.ให้เหตุผลที่มีมติดังกล่าวว่า เนื่องจากพีซทีวี มีการออกอากาศเนื้อหารายการที่ขัดต่อประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ฉบับที่ 97/2557 และ ฉบับที่103/2557 ที่ว่าด้วยการห้ามออกอากาศโทรทัศน์ที่มีเนื้อหา ยุยง ปลุกปั่น หรือสร้างความแตกแยกในสังคม

ทั้งนี้ กสท.ระบุว่า “แม้ก่อนหน้านี้ศาลปกครองมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้พีซทีวีสามารถออกอากาศได้ และคดีความที่ กสทช. เพิกถอนใบอนุญาตของพีซทีวีครั้งก่อน ยังคงอยู่ในช่วงการไต่สวนของศาลปกครองสูงสุด แต่การสั่งระงับใบอนุญาตครั้งนี้ ถือเป็นคำสั่งใหม่ เป็นคนละประเด็นกับที่นำไปสู่การเพิกถอนใบอนุญาตครั้งก่อน คำสั่งบอร์ดกสท.ครั้งนี้ จึงมีผลทางปกครองได้ โดยในกรณีดังกล่าว หากพีซทีวี ไม่เห็นด้วย สามารถใช้สิทธิ์ในการฟ้องร้องต่อศาลได้เช่นกัน”

เป็นที่น่าสังเกตว่า วันเดียวกัน(4 ก.ค.) ก่อนประชุมบอร์ด กสท. นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่า กรรมการผู้มีอำนาจ บริษัท พีซ เทเลวิชั่น จำกัด หรือพีซทีวี พร้อมด้วย นพ.เหวง โตจิราการ และผู้ดำเนินรายการ 3 รายการ ได้แก่ รายการเข้าใจตรงกันนะ รายการเข้มข่าวดึก และรายการ ห้องข่าวเล่าเรื่อง ได้เดินทางมาที่สำนักงาน กสทช. เพื่อยื่นหนังสือขอคัดค้านการพิจารณาเพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการของสถานีพีซทีวี โดยเป็นการยื่นให้ กสท.ทบทวนมติเป็นครั้งที่ 2 โดยหนังสือระบุว่า รายการทั้ง 3 รายการที่คณะอนุกรรมการด้านผังรายการและเนื้อหารายการนำมากล่าวอ้าง ไม่ได้มีเนื้อหาฝ่าฝืนกฎหมายใดๆ ทั้งสิ้น เป็นการรายงานข่าวตามหน้าที่ของสื่อสารมวลชนตามปกติ และการอ้างใช้อำนาจพิเศษตามประกาศ คสช.ฉบับดังกล่าวนั้น ไม่มีข้อใดกำหนดให้ลงโทษการกระทำที่ฝ่าฝืนถึงขั้นต้องลงโทษเพิกถอนใบอนุญาตการออกอากาศแต่อย่างใด

นพ.เหวง กล่าวว่า การมายื่นหนังสือครั้งนี้ เพื่อย้ำเตือนให้ กสท.ทบทวนมติที่ต้องการเอาผิดพีซทีวี เนื่องจากเหตุผลที่กรรมการชี้เอาผิดนั้น ไม่เป็นธรรม สถานีได้รับการคุ้มครองจากคำสั่งศาลปกครองชั้นต้น ตั้งแต่วันที่ 16 ก.ค. 2558 และเรื่องราวยังอยู่ในกระบวนการของศาล ยังไม่มีคำสั่งศาลปกครองสูงสุดออกมา ดังนั้น กสท.จึงไม่มีอำนาจสั่งปิดสถานี หากยังทำแบบนี้ถือเป็นการละเมิดอำนาจศาลปกครอง อยากขอให้ทางศาลเรียก กสท.ไปชี้แจงว่าทำได้อย่างไร รวมทั้งกรณีของพีซทีวี คล้ายกับกรณีของเอเอสทีวี ที่ถูกกรมประชาสัมพันธ์สั่งปิดในปี 2549 ซึ่งในตอนนั้นศาลปกครองก็คุ้มครองชั่วคราวเช่นกัน แม้กรมประชาสัมพันธ์จะยื่นต่อศาลเพื่อสั่งปิด แต่ก็ปิดไม่ได้ พีซทีวี ไม่สามารถปิดได้เช่นกัน เพราะศาลปกครองคุ้มครองอยู่ หากมีการสั่งปิดบริษัทจะเดินหน้าเรียกร้องความเป็นธรรมต่อศาลต่อไป “การกระทำของรายการที่ถูกกล่าวหานั้น ไม่ได้เข้าข่ายตามที่ กสท.กล่าวอ้าง มองว่าเป็นการใส่ร้ายป้ายสี และมโนกันไปเองมากกว่า ทางบริษัทได้ไปถามกฤษฎีกาแล้ว กสท. ไม่มีอำนาจสั่งปิด ขอเตือนว่าบ้านเมืองปกครองด้วยกฎหมาย หากความประสงค์ของผู้มีอำนาจจ้องปิดกั้นช่องทางสื่อสาร ยิ่งสร้างความเกลียดชังให้เกิดขึ้นมากกว่าเดิม”

ทั้งนี้ นพ.เหวง รวมทั้งผู้ดำเนินรายการและผู้ประกาศข่าวของพีซทีวี ได้ร้องศาลปกครองว่า กสท.ละเมิดคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลฯ ที่ให้พีซทีวีสามารถออกอากาศได้ต่อจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา ซึ่งศาลได้ไต่สวนทั้งฝ่าย กสทช.และฝ่ายพีซทีวี หลังการไต่สวนนานกว่า 3 ชั่วโมง นพ.เหวง เปิดเผยว่า ศาลได้อ่านคำสั่งของศาลปกครองสูงสุดลงวันที่ 26 พ.ค. 2559 ที่ยืนตามคำสั่งศาลปกครองกลาง ให้คุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาในคดีที่พีซทีวีได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง กรณีถูก กสทช.เพิกถอนใบอนุญาต และคดีอยู่ระหว่างการพิจารณา โดยให้พีซทีวียังคงออกอากาศได้ต่อไป เพราะคำสั่งคุ้มครองนี้ยังคงมีผลอยู่ รวมทั้งระบุว่า หาก กสท.เห็นว่าพีซทีวีกระทำผิดเงื่อนไข หรือไม่เป็นไปตามกฎหมาย ต้องมายื่นเรื่องต่อศาล เพื่อให้พิจารณาว่าจะเพิกถอนการคุ้มครองหรือไม่

3.“ขวัญชัย” ไม่รอ ปชต. ดอดเข้ามอบตัวคดียกพวกทำร้าย-พยายามฆ่าพันธมิตรฯ อุดรฯ แล้ว อ้างที่หนี เพราะกลัวศาลเพิ่มโทษ!

บรรยากาศขณะที่นายขวัญชัย สาราคำ หรือไพรพนา เข้ามอบตัวที่มณฑลทหารบกที่ 24 จ.อุดรธานี เมื่อ 6 ก.ค.
ความคืบหน้ากรณีศาลฎีกาได้อ่านคำพิพากษาคดีนายขวัญชัย สาราคำ หรือไพรพนา อดีตประธานชมรมคนรักอุดร พากลุ่มเสื้อแดงทำร้ายและพยายามฆ่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจังหวัดอุดรธานี ที่หนองประจักษ์ศิลปาคม จ.อุดรธานี เมื่อวันที่ 24 ก.ค.2551 โดยศาลฎีกาพิพากษาแก้ลดโทษจำคุกนายขวัญชัย ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 2 ปี 8 เดือน เหลือจำคุก 2 ปี เพื่อให้เหมาะสมกับพยานหลักฐานที่ปรากฏ แต่ไม่รอลงอาญา พร้อมสั่งให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เสียหายจำนวน 395,000 บาท ซึ่งนายขวัญชัยไม่เดินทางมาฟังคำพิพากษาเมื่อวันที่ 28 มิ.ย. ศาลจึงสั่งออกหมายจับ ขณะที่นางอาภรณ์ สาราคำ ภรรยานายขวัญชัย บอกในวันดังกล่าวว่า นายขวัญชัยคงคิดแล้วว่า หากประเทศไทยมีประชาธิปไตยเมื่อไหร่ คงจะกลับมารับโทษ

ปรากฏว่า ให้หลังแค่ 1 สัปดาห์ เมื่อวันที่ 6 ก.ค. นายขวัญชัย พร้อมนางอาภรณ์ ได้เข้าพบ พล.ต.อำนวย จุลโนนยาง ผู้บัญชาการมณฑลททหารบกที่ 24 (ผบ.มทบ.24) และ พล.ต.ต.พีระพงษ์ วงศ์สมาน ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุดรธานี (ผบก.อุดรธานี) ที่ห้องรับรองมณฑลทหารบก (มทบ.) ที่ 24 จ.อุดรธานี เพื่อขอมอบตัว โดยระหว่างเข้ามอบตัว พล.ต.อำนวย และ พล.ต.ต.พีระพงษ์ ได้พูดคุยกับนายขวัญชัย และภรรยาอย่างเป็นกันเอง

ทั้งนี้ นายขวัญชัยกล่าวกับสื่อมวลชนว่า ขอไม่ตอบว่าหลบไปอยู่ที่ใด เพราะไม่อยากให้พรรคพวกเดือดร้อน แต่เมื่อคิดทบทวนเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมา ในการต่อสู้ทางการเมืองตั้งแต่ปี 2549 และทบทวนบทบาทตัวเอง เหตุการณ์ต่างๆ เมื่อสถานการณ์มันเป็นอย่างนี้ ก็ต้องยอมรับความจริง เมื่อศาลฎีกาพิพาษศาลงโทษจำคุก 2 ปี จึงคิดว่ากลับมารับโทษดีกว่า ซึ่งตอนแรกที่ไม่ได้มาฟังคำพิพากษา ตนได้ข้อมูลมาคลาดเคลื่อน เกรงว่าจะมีการเพิ่มโทษ กลัวว่าจะมีการทำร้ายตนในเรือนจำ เพราะข่าวเรื่องติดเชื้อในกระแสเลือดกับคนต่าง ๆ มันแรงเหลือเกิน จึงทำให้ตนหลบหนีไป ไม่กล้ามาฟังคำพิพากษา "วันนี้ได้รับคำยืนยันจากท่าน พล.ต.อำนวย ซึ่งเป็นคนที่ผมเคารพนับถือ ตั้งแต่สมัยการต่อสู้ปี 49 ที่ตั้งแต่มีการรัฐประหารครั้งแรก ที่ผมไว้วางใจมาโดยตลอด เมื่อท่านให้ความมั่นใจถึงขนาดนี้แล้ว จึงเดินทางกลับมาเข้าสู่กระบวนการรับโทษ พร้อมที่จะเข้าไปต้องโทษ 2 ปี ซึ่งตอนนี้ทำใจได้แล้ว"

จากนั้น พล.ต.อำนวย และ พล.ต.ต.พีระพงศ์ ได้นำตัวนายขวัญชัย ขึ้นรถเพื่อนำตัวส่งยังศาลจังหวัดอุดรธานี โดยมีทนายความ พร้อมภรรยา บุตร และผู้ติดตาม เดินทางไปด้วย ก่อนที่จะควบคุมตัวนายขวัญชัยไปยังเรือนจำกลางอุดรธานี

ด้าน พล.ต.อำนวยกล่าวถึงกรณีที่นายขวัญชัย ไม่มาฟังคำพิพากษาก่อนหน้านี้ว่า ทางกองทัพบกในฐานะดูแลหน่วยงานความมั่นคง และทางตำรวจ ได้พยายามติดตามตัวกลับมา เพราะกลัวว่าอาจจะมีความเข้าใจผิด หรือมีอะไรที่เกิดขึ้นแบบไม่คาดคิดหรือไม่ ซึ่งจะส่งผลต่อความเชื่อมั่น เชื่อถือ ในระบบความมั่นคง จึงได้พยายามติดต่อหาข้อมูลกับทางครอบครัวนายขวัญชัย และฝากบอกว่า ขอให้นายขวัญชัยกลับมาเข้าสู่ระบบเสีย เพราะอย่างไรประเทศไทยก็ยังดำรงเรื่องของความยุติธรรม และความมีน้ำใจอยู่

4.“หญิงไก่” อ่วม ถูกตั้ง 3 ข้อหาหนัก “แจ้งความเท็จ-พยายามค้ามนุษย์-แอบอ้างสถาบัน ม.112” ด้านศาลไม่ให้ประกัน ส่งผลนอนคุก!

(บน) นางมณฑา หยกรัตนกาญ หรือหญิงไก่ (ล่าง) นายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ทนายความของผู้เสียหายที่ถูกหญิงไก่แจ้งความดำเนินคดี
จากกรณีที่ น.ส.ประภาวรรณ ใจกล้า หรือก้อย อายุ 19 ปี นิสิตปี 1 คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ได้เข้าร้องทุกข์ต่อตำรวจกองปราบปรามว่าถูกนางมณตา หยกรัตนกาญ หรือไก่ หรือหญิงไก่ อายุ 56 ปี อดีตนายจ้าง กลั่นแกล้ง โดยแจ้งความดำเนินคดีตนและพ่อแม่ ข้อหาลักทรัพย์มูลค่าเกือบ 10 ล้าน แต่ภายหลังหญิงไก่ อ้างว่าสื่อสารกับตำรวจผิด จริงๆ แล้ว แค่ 8 แสนบาท เหตุเกิดเมื่อปี 2558 ในเขตท้องที่ สน.ประชาชื่น ซึ่งต่อมา มีอดีตลูกจ้างหญิงไก่ อีกหลายรายเข้าร้องทุกข์ต่อกองปราบฯ ว่าถูกหญิงไก่แจ้งความดำเนินคดีในลักษณะเดียวกัน และหลายรายถูกหญิงไก่ชักชวนให้ไปทำงานต่างประเทศเหมือนกัน เมื่อไม่ไป จึงถูกหญิงไก่แจ้งความดำเนินคดีฐานลักทรัพย์ ซึ่งบางคนถูกจำคุกไปแล้ว ขณะที่บางคนอยู่ระหว่างดำเนินคดี

ทั้งนี้ หลังจากรวบรวมหลักฐานได้เพียงพอ ตำรวจกองปราบฯ ได้ขอศาลออกหมายจับหญิงไก่ ฐานแจ้งความเท็จและพยายามค้ามนุษย์ แต่ศาลไม่อนุมัติหมายจับ เนื่องจากเห็นว่า หญิงไก่ไม่มีพฤติการณ์หลบหนี มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง และยังให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเป็นระยะๆ จึงให้พนักงานสอบสวนออกหมายเรียกแทน จากนั้นพนักงานสอบสวนกองปราบฯ ได้ออกหมายเรียกหญิงไก่ให้มารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 11 ก.ค.

ขณะที่ พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้มีคำสั่งให้ตำรวจตรวจสอบว่าหญิงไก่เข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูงหรือไม่ หลังมีพฤติกรรมแอบอ้างเป็นคุณหญิง

ด้านหญิงไก่ได้ชิงเข้าพบตำรวจกองปราบฯ เมื่อวันที่ 7 ก.ค. ก่อนถึงกำหนดหมายเรียก 4 วัน เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา โดยพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหาหญิงไก่รวม 3 ข้อหา คือ 1.แจ้งความเท็จ กลั่นแกล้งผู้อื่นให้ได้รับโทษทางอาญา จำนวน 3 คดี เนื่องจากเป็นการกระทำผิดต่างกรรมต่างวาระ 2.ข้อหาพยายามค้ามนุษย์ และ 3.แอบอ้างสถาบันเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อย่างไรก็ตาม หญิงไก่ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และขอให้การในชั้นศาล

จากนั้นตำรวจได้นำหญิงไก่ไปตรวจค้นห้องพักในคอนโดบ้านประชานิเวศน์ แขวงลาดยาว เขตจตุจักร ทั้งนี้ ในห้องพัก พบพาสปอร์ตจำนวน 19 เล่ม สมุดบัญชีเงินฝาก 9 เล่ม จึงยึดไปตรวจสอบ นอกจากนี้ยังพบว่า ภายในห้องมีการติดกล้องวงจรปิดไว้ 2 ตัว หลังการตรวจค้นแล้วเสร็จ ตำรวจได้นำตัวหญิงไก่ไปขอศาลฝากขังครั้งแรก โดยคำร้องฝากขังสรุปว่า เมื่อวันที่ 6 ก.ค.ที่ผ่านมา ทนายความได้นำลูกจ้างของหญิงไก่เข้าแจ้งความต่อตำรวจกองปราบฯ ให้ดำเนินคดีหญิงไก่ ฐานแจ้งความเท็จ กลั่นแกล้งผู้อื่นให้ต้องรับโทษ นอกจากนี้ ผู้เสียหายยังระบุว่า หญิงไก่มีพฤติการณ์ดูหมิ่นสถาบัน โดยมักแอบอ้างว่ามีความใกล้ชิดสนิทสนมกับเจ้านายในสถาบันเบื้องสูง พนักงานสอบสวนจึงควบคุมตัว แจ้งข้อหาดูหมิ่นสถาบัน มาตรา 112 ซึ่งในชั้นสอบสวน ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ พนักงานสอบสวนต้องสอบปากคำพยานอีก 5 ปาก และรอผลการตรวจหลักฐานอื่นๆ จึงขอฝากขังผู้ต้องหาไว้ 12 วัน พร้อมขอคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากเป็นคดีสำคัญ มีอัตราโทษสูง หากปล่อยตัวชั่วคราว เกรงผู้ต้องหาจะหลบหนี และไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน

ต่อมา ญาติหญิงไก่ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสด 1.1 ล้านบาท เพื่อขอปล่อยตัวชั่วคราว ด้านศาลพิเคราะห์ความหนักเบาของข้อหาแล้ว อีกทั้งผู้ต้องหาถูกแจ้งข้อหาเดียวกันนี้ของศาลทหารด้วย จึงไม่อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำตัวหญิงไก่ไปควบคุมไว้ที่ทัณฑสถานหญิงกลาง บางเขน

ด้าน พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เผยว่า ตำรวจจะสอบสวนขยายผลว่า หญิงไก่กับนายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ หรือหมอหยอง ผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบัน มาตรา 112 ที่เสียชีวิตไปแล้ว มีความเกี่ยวพันหรือเชื่อมโยงกันหรือไม่ เพราะมีข่าวปรากฏตามสื่อมวลชนว่า ทั้งสองมีความสัมพันธ์กัน

เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนหน้าหญิงไก่จะเข้ารับทราบข้อกล่าวหาและถูกควบคุมตัว หญิงไก่ได้เดินทางไปไหว้พระพุทธชินราช ที่ จ.พิษณุโลก พร้อมสาบานว่า ถ้าอดีตลูกจ้างนำเงินหรือทรัพย์สินของตนไป ขอให้คนเหล่านั้นมีอันเป็นไป แต่ถ้าอดีตลูกจ้างไม่ได้ลักขโมยของตนไป ก็ขอให้ตนมีอันเป็นไป ถ้าตนใส่ความคนเหล่านั้น ก็ขอให้ตนมีอันเป็นไป ขอให้ตนมีแต่ภัยพิบัติเกิดขึ้นในชีวิต แต่ถ้าคนเหล่านั้นเอาของตนไปจริง ก็ขอให้ตนมีแต่สิ่งดีๆ เกิดขึ้นในชีวิต

ล่าสุด เมื่อวันที่ 8 ก.ค. นายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่งรับเป็นทนายความให้น้องก้อยและครอบครัว ซึ่งเป็นอดีตลูกจ้างที่ถูกหญิงไก่แจ้งความฐานลักทรัพย์ ได้ออกมาแฉว่า หญิงไก่อาจเกี่ยวข้องกับการสูญหายของบุคคล 2 คน คนหนึ่งเป็นอดีตลูกจ้าง ส่วนอีกคนเป็นเศรษฐีนี คนที่เป็นอดีตลูกจ้างคือ นายสุนทร ขันหิน ชาว จ.ลพบุรี เคยเป็นคนขับรถให้หญิงไก่ ซึ่งหญิงไก่ไว้ใจมาก และได้ย้ายชื่อมาอยู่ในทะเบียนบ้านของหญิงไก่ กระทั่งเมื่อวันที่ 19 มี.ค.2555 หญิงไก่ได้แจ้งย้ายชื่อนายสุนทรออกจากทะเบียนบ้าน จากนั้นนายสุนทรก็กลายเป็นบุคคลสูญหายที่ครอบครัวติดต่อไม่ได้อีกเลย ส่วนอีกคนที่เป็นเศรษฐีนี เป็นป้าของครูคนหนึ่งใน จ.อุดรธานี ซึ่งหญิงไก่ไปติดต่อขอซื้อที่ดินมูลค่า 8 ล้าน เมื่อปี 2546 โดยอ้างว่าเพื่อสร้างคอนโดมิเนียม จากนั้นหญิงไก่ได้เดินทางไปกับสามีที่เป็นนายตำรวจและได้รับตัวป้าเจ้าของที่ดิน กระทั่งป้าหายตัวไป ไม่สามารถติดต่อได้จนถึงปัจจุบัน ซึ่งญาติได้ถามหญิงไก่ ก็ได้คำตอบว่า ป้าเธอตายไปแล้ว ส่วนที่ดินแปลงดังกล่าวได้มีการโอนเป็นชื่อวันทนีย์ หยกวิริยะกุล(ชื่อสกุลเดิมของหญิงไก่) ทนายสงกานต์ เผยด้วยว่า การสูญหายของบุคคลทั้ง 2 คนดังกล่าว ทางครอบครัวผู้เสียหายต่างรอให้ถึงวันที่หญิงไก่จะถูกสำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินคดี และว่า พฤติการณ์ของหญิงไก่ เวลาเดินทางไปไหนจะมีรถตำรวจนำ รวมถึงเด็กๆ ชาวเขา เวลาเข้าหาหญิงไก่ ต้องหมอบ กราบ และต้องพูดด้วยคำราชาศัพท์เสมอ นอกจากนี้หญิงไก่ยังเคยใช้ชื่อเฟซบุ๊กว่า คุณหญิงสุชาดา ด้วย

5.ภรรยา “บรรยิน” ออกโรงป้องสามี ไม่ได้ฆ่า “ชูวงษ์” ขณะที่ ตร.พบหลักฐานดีเอ็นเอมัด “ป้อนข้าว” มีลูกกับ “บรรยิน” เล็งสอบคดีภรรยาเก่าบรรยินขับรถชนต้นไม้ดับ!

 (บน) นางวราภรณ์ ตั้งภากรณ์ ภรรยา พ.ต.ท.บรรยิน พา น.ส.อุรชา วชิรกุณฑล เข้าพบตำรวจกองปราบฯ ตามหมายเรียก (ล่าง) ตำรวจกองปราบฯ เข้าจับกุม พ.ต.ท.บรรยิน(เสื้อขาว)ที่รีสอร์ทเขาใหญ่ โดยมี น.ส.อุรชา พักอยู่ด้วย
ความคืบหน้ากรณีตำรวจกองปราบฯ ออกหมายเรียก น.ส.อุรชา วชิรกุณฑล หรือป้อนข้าว อดีตโบรกเกอร์สาว 1 ในผู้ต้องหาคดีโอนหุ้นชูวงษ์ เพื่อมาให้ปากคำในวันที่ 5 ก.ค. เกี่ยวกับภาพรวมของคดีโอนหุ้นและคดีฆ่านายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง นักธุรกิจรับเหมาก่อสร้างหมื่นล้าน รวมทั้งความสัมพันธ์กับ พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ อดีต ส.ส.นครสวรรค์ พรรคไทยรักไทย 1 ในผู้ต้องหาคดีโอนหุ้นชูวงษ์ ที่ล่าสุด พ.ต.ท.บรรยิน ถูกตั้งข้อหาฆ่านายชูวงษ์โดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน โดยตำรวจพบ น.ส.อุรชา พักอยู่กับ พ.ต.ท.บรรยิน ที่รีสอร์ทเขาใหญ่ ขณะตำรวจนำหมายจับเข้าควบคุมตัว พ.ต.ท.บรรยิน เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ เมื่อถึงกำหนด(5 ก.ค.) น.ส.อุรชา ได้เดินทางมาพบตำรวจกองปราบฯ ตามหมายเรียก แต่มาพร้อมกับนางวราภรณ์ ตั้งภากรณ์ ภรรยา พ.ต.ท.บรรยิน เป็นที่น่าสังเกตว่า นางวราภรณ์พยายามปกป้อง พ.ต.ท.บรรยิน โดยยืนยันว่า นายชูวงษ์เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ พร้อมย้ำว่า พ.ต.ท.บรรยิน กับ น.ส.อุรชา ไม่ได้มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวตามที่หลายสงสัย และว่า น.ส.อุรชา ก็เหมือนกับเป็นลูกของตนอีกคนหนึ่ง โดยบอก เรื่องที่ (พ.ต.ท.บรรยิน-น.ส.อุรชา) ไปไหนมาไหนกันสองคน จะไปต่างประเทศหรือไปเขาใหญ่ จ.นครราชสีมา ตนมีหลักฐานพิสูจน์ได้ว่า พ.ต.ท.บรรยิน กับ น.ส.อุรชา ไม่ได้ไปกันสองคน ตนก็ทราบดี ทุกวันนี้ที่เขาต้องถูกออกจากงาน ไปทำธุรกิจร่วมกับลูกสาว ลูกชายตน ซึ่งวันนี้ก็ให้กำลังใจ ต้องทำธุรกิจร่วมกัน เด็กสองคนนี้(น.ส.อุรชา และ น.ส.กัญฐณา ศิวาธนพล หรือน้ำตาล พริตตี้ ผู้ต้องหาคดีโอนหุ้นชูวงษ์) ก็เหมือนลูกตน เหมือนกับว่ามีลูกเพิ่มมาอีก

อย่างไรก็ตาม มีข่าวว่า น.ส.อุรชา มีลูกแล้ว ซึ่งในการเข้าให้ปากคำกับตำรวจกองปราบฯ น.ส.อุรชา ก็ยอมรับว่า มีลูกแล้ว 1 คน แต่ไม่ยอมบอกว่า ใครเป็นพ่อเด็ก ขณะที่นายชัยพรรณ วชิรกุลฑล น้องชาย น.ส.อุรชา ก็ยอมรับระหว่างเข้าให้ปากคำต่อตำรวจว่า น.ส.อุรชา มีลูกแล้วจริง วัย 3 เดือน แต่ไม่ยอมบอกเช่นกันว่า ใครเป็นพ่อเด็ก โดยบอกว่าเป็นเรื่องส่วนตัว

อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า หลังจากตำรวจกองปราบฯ เข้าตรวจค้นบ้าน น.ส.อุรชา ในหมู่บ้านบางกอกบลูเลอวาร์ด ย่านพระราม 9 พบเครื่องใช้เด็กแรกเกิด และหลักฐานต่าง ๆ โดยตำรวจได้ยึดไว้ พร้อมกับนำส่งให้เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) ตรวจสอบ หาดีเอ็นเอเพื่อพิสูจน์ความสัมพันธ์ระหว่าง พ.ต.ท.บรรยิน และ น.ส.อุรชา ซึ่งในที่สุดก็พบว่า ดีเอ็นเอของเด็กตรงกับดีเอ็นเอของ พ.ต.ท.บรรยิน และ น.ส.อุรชา สำหรับดีเอ็นเอของ พ.ต.ท.บรรยิน นั้น เจ้าหน้าที่ พฐ. ได้ตรวจเก็บไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ส่วนดีเอ็นเอของ น.ส.อุรชา นั้น หลังจาก น.ส.อุรชา เดินทางเข้าให้ปากคำต่อตำรวจกองปราบฯ ตำรวจได้ประสาน พฐ. มาเก็บดีเอ็นเอของ น.ส.อุรชา ในวันดังกล่าวด้วย ทั้งนี้ ผลตรวจพิสูจน์ที่ออกมา เหมือนเป็นการตบหน้านางวราภรณ์ ภรรยา พ.ต.ท.บรรยิน ที่ยืนยันเมื่อวันก่อนว่า ทั้งคู่ไม่ได้มีสัมพันธ์ฉันชู้สาว ขณะที่ พ.ต.ท.บรรยิน ก็เคยยืนยันหลังนายชูวงษ์เสียชีวิตว่า ตนไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวกับ น.ส.อุรชา ทั้งที่หากนับเวลาย้อนกลับไปโดยคำนวณจากอายุของเด็กวัย 3 เดือน จะพบว่า พ.ต.ท.บรรยิน มีความสัมพันธ์กับ น.ส.อุรชา ในช่วงเดือน มิ.ย.2558 ซึ่งเป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับวันที่นายชูวงษ์เสียชีวิต คือ 26 มิ.ย.2558

นอกจากคดีการเสียชีวิตของนายชูวงษ์แล้ว ล่าสุด ตำรวจกำลังตรวจสอบคดีเก่าที่เกี่ยวกับ พ.ต.ท.บรรยิน อีกคดีหนึ่ง ซึ่งเป็นคดีขับรถชนต้นไม้ จนภรรยาเก่าเสียชีวิต คล้ายกับกรณีนายชูวงษ์ โดยครั้งนั้น พ.ต.ท.บรรยิน ดำรงตำแหน่งรองสารวัตรจราจร ยศ ร.ต.ท. ที่ สภ.แห่งหนึ่งใน จ.นครสวรรค์ ทั้งนี้ บันทึกประจำวันของ สภ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ ระบุอุบัติเหตุในครั้งนั้นว่า เมื่อวันที่ 23 มี.ค.2534 ช่วงเวลา 23.00 น. พ.ต.ท.บรรยินและ น.ส.รสรินทร์ ศรีนุกูล ภรรยาเก่า กลับจากรับประทานอาหารที่ร้านครัวชัยนาท อ.พยุหะคีรี โดย น.ส.รสรินทร์เป็นคนขับ ใช้เส้นทางสายอุทัยธานี มุ่งหน้าเข้าเมืองนครสวรรค์ ระหว่างใกล้เข้าเขตนครสวรรค์ ได้เกิดเหตุรถสิบล้อแซงสวนขึ้นมา โดยสมัยนั้นถนนยังเป็นเลนสวน ทำให้รถของ พ.ต.ท.บรรยิน หักหลบกะทันหัน จนเสียหลักตกข้างทางไปชนกับต้นสะเดาขนาดใหญ่ เป็นเหตุให้ น.ส.รสรินทร์ บาดเจ็บสาหัส นำส่งโรงพยาบาลพยุหะคีรี ก่อนเสียชีวิตในเวลาต่อมา

อย่างไรก็ตาม ชุดสืบสวนได้สอบปากคำพยานแวดล้อมและบุคคลใกล้ชิด น.ส.รสรินทร์ แล้ว ทุกคนเกิดข้อสงสัยและเคลือบแคลงใจว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่น่าจะเป็นอุบัติเหตุ และว่า น.ส.รสรินทร์ ขับรถไม่เป็น แต่บันทึกประจำวันในครั้งนั้น กลับระบุว่า น.ส.รสรินทร์ เป็นคนขับรถดังกล่าว รวมไปถึงสภาพบาดแผล ซึ่งพบว่า คอหัก และเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต ซึ่งไม่สอดคล้องกับการเกิดอุบัติเหตุดังกล่าวเช่นกัน รวมทั้งหลังเกิดอุบัติเหตุ มีการฌาปนกิจศพอย่างเร่งรีบ ซึ่งในส่วนนี้ ตำรวจได้นำมาเป็นโมเดลในการทำคดีการเสียชีวิตของนายชูวงษ์ว่า มีลักษณะพฤติการณ์ที่คล้ายกันด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น