ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -แตะต้องแทบไม่ได้ สำหรับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ในยุคที่มี “บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) นิดๆ หน่อยๆ เป็นอันอ่อนไหว เข้าแจ้งความดำเนินคดีเอาผิดกับคนที่พาดพิงทันที โดยเฉพาะประเด็นสีเทาของกรมปทุมวัน ที่รู้กันทั้งบางมาแต่ไหนแต่ไร อย่างเรื่องการวิ่งเต้น ซื้อ-ขายเก้าอี้ตำรวจระดับบิ๊กๆ ที่มีมูลค่าเกินหกหลักขึ้นไป
ล่าสุดมาถึงคิว“ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ " อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต และอดีตประธานรัฐสภา ที่ สตช.มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ไปแจ้งความดำเนินคดี กับกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) หลังโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว เกี่ยวกับการปฏิรูปตำรวจ และแฉเรื่องการเซ้งลี้เก้าอี้ สืบเนื่องจากปัจจุบันการแต่งตั้งตำรวจระดับสารวัตร (สว.) - รองผู้บังคับการ (รอง ผบก.) วาระประจำปี 2558 ยังล่าช้าเป็นเต่า เกินเวลาที่กำหนดไว้ จนหลายฝ่ายได้กลิ่นตุๆ
ขณะที่“บิ๊กป้อม”นี่ของขึ้น เล่นบทเดิมเหมือนเมื่อครั้งที่สตช.ไปแจ้งความเอาผิด “บิ๊กตุ้ม”พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป อดีตนายทหารคนสนิท พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ คืออย่าพูดลอยๆ ให้เอาหลักฐานมาโชว์ พร้อมกับยืนยันเสียงสูง ไม่มี๊ ไม่มี ! เรื่องแบบนี้ในยุทธจักรโล่เงิน
แต่ไม่รู้ครั้งนี้จะเดินหน้าเอาผิดกับ“ดร.อาทิตย์”ขนาดไหน สุดซอย กลางซอย หรือปลายซอย เพราะถ้าจำกันได้ เมื่อครั้ง สตช. ฟึดฟัดจะหวด “บิ๊กตุ้ม”แบบตั้งใจจะให้กลัวจนไม่กล้าอ้าปากเรื่องเน่าๆ ของวงการตำรวจอีก แต่หนังกลับพลิก เพราะกระแสสังคมในขณะนั้นเอาใจช่วย อดีตนายทหารคนสนิท "ป๋าเปรม" เรื่องของเรื่องเพราะเรื่องการซื้อ-ขายตำแหน่งตำรวจนั้น ตั้งแต่เกิดมาแต่ท้องพ่อท้องแม่ คนไทยก็ได้ยินกันทั้งนั้น มีแต่คนที่ปิดหูปิดตา หรือไม่ก็เอาหูไปนา เอาตาไปไร่ เท่านั้นที่ไม่รู้เรื่อง
ยิ่ง สตช.หรือ“บิ๊กป้อม”ออกมาทำเหมือนรับไม่ได้ ในยุคที่คนเรียกร้องให้มีการปฏิรูปตำรวจเป็นเรื่องแรกๆ ยิ่งทำให้ประชาชนรู้สึกว่า เป็นพวกวัวสันหลังหวะ ก็ในเมื่อตั้งใจจะปฏิรูป แต่เรื่องแค่นี้ ที่เป็นของอื้อฉาวมานมนาน กลับทำเหมือนแกล้งหลับตาข้างหนึ่งเสียอย่างนั้น ปุดโธ่!
แล้วพอมาเจอคนจริงอย่าง“บิ๊กตุ้ม”ที่กล้าแลกหมัด เพราะเชื่อว่าสิ่งที่ตัวเองทำ ไม่ได้อุปโลกน์ขึ้นมา พร้อมสู้คดีในชั้นศาล ไม่มีเสียงอ่อย ชนิดเอาไงเอากัน สุดท้ายเป็น“บิ๊กป้อม”และสตช. ที่ต้องถอยกรูดเสียเอง ยอมเสียฟอร์ม ปล่อยให้เรื่องมันจบๆ กันไป เพราะจะว่าไป ถ้าเรื่องดังกล่าวขึ้นไปสู่การพิจารณาของศาลขึ้นมา และศาลไต่สวนแล้วเห็นว่าเป็นประโยชน์สาธารณะ ไม่รับฟ้องตามที่ สตช.ลุย จะหน้าแหก ดีไม่ดีถ้าเรื่องนี้ขึ้นสู่ศาล ไม่ใครก็ใคร อาจมีรายการสาวไส้กันเละ โดยเฉพาะพวกที่มีแผลข้างหลัง
แต่กรณีของ“ดร.อาทิตย์”ไม่รู้ “บิ๊กป้อม”จะกล้ามากน้อยแค่ไหน แต่หลายคนส่งเสียงเชียร์ให้อดีตประธานรัฐสภา ที่ครั้งหนึ่งเคยเสนอชื่อนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี จนดังกึกก้องเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว ลุกขึ้นต่อสู้คดีให้รู้แล้วรู้รอด อย่าไปหวั่นกลัวกับมาตรการทางกฎหมาย ในเมื่อสิ่งที่แสดงออกมาเป็นความจริง และเป็นประโยชน์ต่อสังคม รวมทั้งคนในสังคมอยากจะเห็นการเปลี่ยนแปลงองค์กร ที่มีหน้าที่พิทักษ์สันติราษฎร์ให้เป็นองค์กรที่ปกป้องประชาชนอย่างแท้จริง
คนหวังดีต่อชาติบ้านเมือง พูดความจริงเพื่อต้องการให้สังคมเกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น จะถูกดำเนินคดี ว่าเป็นคนบิดเบือนด้วยอิทธิฤทธิ์ของคนที่มีอำนาจก็ให้มันรู้กันไปว่า สังคมนี้ ประเทศนี้ มันกลับหัวกลับหางไปกันหมด !
การเข้าแจ้งความดำเนินคดีครั้งนี้ เหมือนผู้มีอำนาจจะตัดสินใจผิดพลาดมหันต์ครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่ง เพราะเนื้อหาที่“ดร.อาทิตย์” โพสต์ลงในเฟซบุ๊ก เป็นข้อความที่คนในสังคมพูดกันมานานโข พบเห็นได้ทั่วไปตามโซเชียลมีเดีย ลองไปทำโพลล์สำรวจประชาชนในประเทศมาสัก 1 พันคน ลองถามว่า เชื่อหรือไม่ว่า วงการสีกากีมีการวิ่งเต้นซื้อ-ขาย เก้าอี้ตำรวจ เชื่อหัวไอ้เรืองเลย คนที่บอกไม่รู้ไม่เห็นจะมีถึงสิบคนหรือเปล่า
อีกทั้ง“ดร.อาทิตย์”เองก็เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ผ่านเวทีการเมืองมาแล้วไม่รู้กี่ตำแหน่ง ผ่านเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองมาแล้วไม่รู้กี่สมัย คลุกคลีอยู่ในเส้นทางนี้มาค่อนชีวิต รู้ตื่นลึกหนาบางดีว่า แต่ละแวดวงมีด้านมืดอย่างไร การโพสต์ข้อความดังกล่าว ถ้าอ่านให้แตกฉาน แบบคนไม่เดือดเนื้อร้อนตัวก็จะรู้ว่า วัตถุประสงค์ต้องการให้เกิดการปฏิรูปตำรวจ ต้องการให้เห็นสิ่งที่ดีเกิดขึ้น ไม่ได้มุ่งร้ายรัฐบาล คสช. หรือแม้กระทั่ง สตช.เลย
ขณะเดียวกัน ที่ผ่านมา“ดร.อาทิตย์”เก็บเนื้อเก็บตัว ยุติบทบาททางการเมืองมานาน ไม่แสดงท่าทีอะไรที่จะไปพาดพิงใคร การออกมากระทุ้งด้วยตัวเองในเฟซบุ๊กจริงๆ คนที่รู้จักลักษณะนิสัยอดีตประธานรัฐสภารายนี้ดี จะรับรู้ได้เลยว่า ในฐานะผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองคนหนึ่งคงเหลืออดเต็มทนกับเรื่องดังกล่าว ไม่เช่นนั้นคงไม่ออกมาพูดในพื้นที่สาธารณะแบบนี้
จะว่าไปสิ่งที่ “ดร.อาทิตย์”บรรยายในโพสต์ดังกล่าว คนที่อยู่บนโลกของความเป็นจริง ไม่กระมิดกระเมี้ยน จะรู้ว่าพูดถูกจะแทบทุกข้อ ทั้งระบบอุปถัมภ์ ระบบคุณธรรมที่เสื่อมถอย มีสิ่งเดียวที่พูดผิดอยู่ข้อ คือ ที่ระบุว่า เก้าอี้ผู้กำกับต้อง 1 ล้านบาท ส่วนจะขึ้นรองผู้บังคับการ ต้อง 2 ล้านบาทนั้น เพราะราคามันต่ำเกินไป เขาร่ำเขาลือกันว่า เดี๋ยวนี้ขี้หมู ขี้หมา ระดับสารวัตรปาเข้าไประดับหนึ่งล้านแล้ว ขณะที่ระดับผู้กำกับเลยเถิดไปถึง 5 ล้านบาทกันแล้ว
เพียงแต่ที่ผ่านมามันจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน กลวิธีการกระทำผิดมันสลับซับซ้อน ตำรวจบางคนเองก็ไม่กล้าพูด เพราะตัวเองก็เป็นผู้ไปประเคนให้เขา ขว้างงูจะไม่พ้นคอตัวเองอีก พอไม่มีใบเสร็จ ก็ยืนกระต่ายขาเดียวมาตลอดว่า ไม่มีเรื่องอัปยศแบบนี้ในกรมปทุมวัน ถึงได้กล้าเดินหน้าจับดะกับคนที่พาดพิง
ไหนๆ ก็ไหนๆ หลังจากนี้ใครมีข้อมูลอะไร ถ้าหวังดีกับประเทศจริง ต้องการเห็นการปฏิรูปตำรวจที่เข้าลู่เข้าทาง ส่งไปให้ “ดร.อาทิตย์”รวบรวมเพื่อสู้คดีกันให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ร่วมด้วยช่วยกันเพื่อการปฏิรูป ไม่งั้นก็ใช้ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ไล่จับกันมั่วซั่วไปหมด อย่าปล่อยให้คนดีโดดเดี่ยว !