ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ถ้าไม่มีสถานการณ์เข้าด้ายเข้าเข็มกรณีพระธัมมชโย เกิดขึ้นในห้วงเวลานี้ ข่าวการแต่งตั้ง-โยกย้ายตำรวจ ระดับนายพัน หรือรองผบก.-สารวัตร คงจะฮือฮาเป็นกระแสหลัก เนื่องจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยการแถลงของ พล.ต.ต.ปิยะพันธ์ ปิงเมือง รองโฆษก สตช. ระบุว่ากำลังดำเนินคดีกับ ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ ฐานหมิ่นประมาท และพ่วงความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เข้าไปด้วย
แต่ถึงจะมีข่าวคราวอื่นๆ เข้ามายึดพื้นที่ไปก่อน ปัญหาการแต่งตั้งตำรวจระดับนายพัน ที่กำลังจะผ่านพ้นไปนั้นคงมีเรื่องราวต่างๆให้สังคมไทย และสังคมคนสีกากีได้จดจำไปอีกนาน เพราะเป็นคำสั่งที่ล่าช้าที่สุด ก่อเกิดปัญหามากที่สุด อีกทั้งมีความเละเทะจนโลกโซเชียลฯ ยกให้เป็นคำสั่งตามใจฉัน บ้างก็ว่าเปรียบเสมือนคนป่วยเป็นโรคต่อมลูกหมากโต หรือกระแนะกระแหนว่า เป็นโผละครหลังข่าว ต้องลุ้นกันวันละตอนๆ
เหนืออื่นใด คือคำพูดปากต่อปากว่ามีเรื่องผลประโยชน์ หรือมีการซื้อขายเก้าอี้กันด้วย ซึ่งน่าจะมีในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งวิธี “เปิดหลุม”จ้างให้ออกเพื่อสวมแทน
ประเด็นซื้อ-ขายตำแหน่ง(ตำรวจ) มีมาทุกยุคทุกสมัย ขึ้นอยู่ว่า จะมากหรือน้อย และพบพิรุธที่ส่ออย่างไรบ้าง ส่วน“ใบเสร็จ”หรือมีการออกมาฟ้องร้อง มีเจ้าทุกข์คือ คนซื้อกับผู้ต้องหาคือคนขาย ไม่เคยปรากฏ เพราะของแบบนี้ไม่มีใครหน้าไหนต้องการแสดงตัวให้ขายขี้หน้า หรือเกิดปัญหาคดีอาญาและทางวินัยร้ายแรง คือ ประพฤติชั่ว ดังนั้นคนที่เป็นผู้บังคับบัญชาระดับสูงสุด หรือผู้มีอำนาจกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำเป็นต้องหนักแน่น เปิดใจรับคำวิพากษ์ หรือคำชี้แนะ
ทั้งนี้ จากเหตุผลดังกล่าวที่รู้กันอยู่แก่ใจ...หากยังยึดถือว่าความล่าช้าเป็นบ่อเกิดแห่งความอยุติธรรม คำสั่งแต่งตั้งข้าราชการใดๆ ที่ล่าช้าเกินควร แถมยังเป็นการรวบอำนาจใช้วิธี “รวมศูนย์”จาก สตช. ก็ยิ่งต้องการความโปร่งใส ยิ่งตรวจสอบมาก วิจารณ์กันมาก ย่อมเกิดผลดีต่อผู้มีส่วนรับผิดชอบ เพราะถ้านำไปทบทวนพบเห็นความผิดปกติ ความบกพร่องก็สามารถแก้ไขไม่ปล่อยให้เป็นกลาก เกลื้อน หรือเป็นขี้ปากชาวบ้าน ขี้ปากผู้บังคับบัญชาติดตัวไป
ประเด็นสังคมเห็นความผิดปกติในการแต่งตั้งตำรวจ และออกมาแสดงความห่วงใยจนกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตคงยกกรณี พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศไทย (สปท.) อดีตนายทหารคนสนิท พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และอดีตหัวหน้าสำนักงานมูลนิธิรัฐบุรุษ มาพูดคุยกันให้สะเด็ดน้ำอีกครั้ง
หลังสำนักงานตำรวจแห่งชาติโดย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. ฝ่ายความมั่นคง อ้างถึงศักดิ์ศรีของตำรวจ และตั้งทีมพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีข้อหาหมิ่นประมาท และทำผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ กับ พล.ร.อ.พะจุณณ์ พร้อมกับออกหมายเรียก
การกระทบกระทั่งระหว่าง สตช. กับนายทหารคนสนิท “ป๋าเปรม” หลายสำนักข่าวนำไปวิเคราะห์แตกเป็นประเด็นความขัดแย้งของขั้วอำนาจ ขยายความไปอีกว่า เป็นการวัดรอยเท้า - เทียบบารมี ซึ่งถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อน จนที่สุดมีเสียงจาก พล.ร.อ.พะจุณณ์ ยืนยันว่า จะไม่นำเรื่องนี้ไปเป็นสาระ เพราะเป็นเรื่องเล็กน้อย เมื่อเทียบกับภารกิจสำคัญที่ยังรออยู่
ฉากสุดท้ายที่ปรากฏเป็นข่าวก็คือ วันที่ฝ่ายถูกกล่าวหาพร้อมทีมทนายความเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน แต่ไม่ปรากฏว่าตำรวจได้แจ้งข้อหาใด หรือไม่
ต่อมามีกระแสว่าตำรวจเป็นฝ่ายล่าถอย เนื่องจากเหตุการณ์ทำท่าลุกลาม กระทั่ง “ผู้มีอำนาจหมายเลข 2” ต้องนัดแนะกับผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมือง เพื่อปรับความเข้าใจกัน
หลังจากเข้าพบบุคคลสำคัญแล้วมีการติดต่อให้ พล.ร.อ.พะจุณณ์ ไปเคลียร์ปัญหาแบบ“ล้างใจ”กับ “ผู้มีอำนาจหมายเลข 2” ซึ่งก่อนหน้ามีข่าวด้วยว่า “ผู้มีอำนาจหมายเลข 1” พยายามโทรศัพท์ติดต่อกับ พล.ร.อ.พะจุณณ์ หลายต่อหลายครั้ง แต่ไม่สามารถติดต่อได้ จนต้องหันมาพึ่งบารมีจากบุคคลสำคัญให้เป็น“คนกลาง”จัดแจงให้
ข่าววงใน “ลับสุดยอด”ระบุว่า วันปรับความเข้าใจกันนั้น พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป มิได้เดินทางไปตามลำพัง แต่มี พล.ต.พะโจมม์ ตามประทีป น้องชายร่วมสายโลหิตติดตามไปด้วย การพบปะมีขึ้นที่มูลนิธิฯ แห่งหนึ่งซึ่ง “ผู้มีอำนาจหมายเลข 2” ปฏิเสธมิได้อยู่เบื้องหน้าเบื้องหลังใดๆ ทั้งสิ้น พร้อมกับเรียก 2 บิ๊กตำรวจ มาพูดคุยกัน สรุปได้ว่า“ผู้มีอำนาจหมายเลข 2” ไม่ได้สั่ง แต่ 2 บิ๊กตำรวจ ลงมือเองเพื่อเป็นการปกป้ององค์กรตำรวจ
เมื่อพูดคุยกันเป็นที่เรียบร้อยก่อนเดินทางกลับ พล.ร.อ.พะจุณณ์ กล่าวยืนยันว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความหวังดีที่มีต่อรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มิได้มีเจตนาอื่นแอบแฝง หากเรื่องใดเป็นเรื่องส่วนตัวก็พร้อมจะมองข้ามไป ยกเว้นเรื่องของส่วนรวม และกรณีของธุรกิจ “ดิวตี้ฟรี”แห่งหนึ่งที่ทำผิดสัญญา ก็จำเป็นต้องเดินหน้าอย่างสุดตัว เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติ
นี่คือเบื้องลึกที่สังคมยังไม่ทราบ...แต่ที่ยังค้างคาต่อไปก็คือ คดีหมิ่นประมาท และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ที่พนักงานสอบสวนออกหมายเรียก พล.ร.อ.พะจุณณ์ ไปแล้ว ต่อจากนี้ไปตำรวจจะหาทางออกอย่างไร สั่งไม่ฟ้อง หรือไม่พบว่ามีการกระทำผิด ก็ว่ากันไป....
สำคัญที่สุดคือ “ความวัว”ไม่ทันจาง “ความควาย” ดันเข้ามาแทรก !!??
พลันที่ ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ โพสต์ข้อความระบุว่า มีข่าวลือหนาหูเรื่องการซื่อขายตำแหน่งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ด้วยจำนวนเงินหลักล้าน แลกกับตำแหน่ง รอง ผบก.- ผกก. วันต่อมาได้รับการตอบโต้จากผู้เกี่ยวข้องอย่างดุเดือด
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ระบุว่า ดร.อาทิตย์ จะมาพบกับตนก็ได้ อย่ามาพูดกันลอยๆ ทำให้ประชาชนสับสน คนไหน ใครเป็นคนซื้อขาย ตำแหน่งอะไร ขอให้บอกมา เพราะผมเป็นคนชัดเจน และสั่งไปแล้วว่าห้ามทุจริตอย่างเด็ดขาด
วันเดียวกันที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.ปิยะพันธ์ ปิงเมือง รองโฆษกฯ เปิดแถลงระบุว่า กำลังดำเนินคดีหมิ่นประมาท และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ กับ ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ และปฏิเสธว่า มีสื่อบางสำนักนำไปเชื่อมโยงกับเรื่อง พล.ร.อ.พะจุณณ์ ว่าเป็นคนละคดีกัน ไม่เกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย “ทั้งพฤติกรรม พฤติเหตุ ต่างกันโดยสิ้นเชิง” ขณะที่ พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกฯ กล่าวเสริมว่า การกล่าวหาใดๆ จะพูดลอยๆไม่ได้ เพราะอาจเสี่ยงกับการถูกดำเนินคดี โดยผบ.ตร. ยอมไม่ได้ ที่จะให้ใครมากล่าวหาองค์กรตำรวจลอยๆ เพราะถือว่าเป็นการทำลายองค์กรตำรวจ
....นี่ไง แม้รองโฆษก สตช.จะปฏิเสธว่า คดี พล.ร.อ.พะจุณณ์ จะไม่เกี่ยวทั้งพฤติกรรม พฤติเหตุ แต่สำหรับสังคมไทยน่าจะ“เห็นต่าง”กันอย่างสิ้นเชิง เหมือนหนังเรื่องเก่าแต่นำมา “ฉายซ้ำ” โดยเปลี่ยนตัวละครจากอดีตนายทหารใหญ่ มาเป็นอดีตประธานรัฐสภาฯ
เหมือนกระทั่งวิธีคิดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ !!??
หลังถูกตำรวจโต้กลับ ดร.อาทิตย์ โพสต์ข้อความลงเฟซบุกอีกครั้ง ระบุว่า...."ผมไม่ได้สงสัย หรือมีส่วนได้เสียอะไร และผมไม่ได้กล่าวหาลอยๆ แต่ถึงผมไม่พูด คนอื่นเขาก็พูดกันทั่ว และยังบอกอีกว่า ที่ผมรู้นั้นน้อยเกินไป และมีมานานแล้ว ทุกครั้งที่มีการแต่งตั้ง ผมพูดเพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องได้ทราบว่า สังคมรู้กันว่าอย่างไร ควรมองเห็นในความหวังดีของผมบ้าง ผมไม่ต้องการไปพบท่านหรอกครับ และผมก็ไม่ทราบว่าท่านเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เพราะผมรัก และอยากให้บ้านเมืองนี้สงบ สันติสุข และเจริญรุ่งเรืองด้วยความบริสุทธิ์ใจ ผมไม่ใช่เสื้อแดง เสื้อเหลือง เสื้อเขียว เสื้อฟ้า ผมใส่ทุกสี..บางทีก็ไม่ใส่...แต่ผมมีหัวใจสีแดงแห่งสุวรรณภูมิ ...ใจเย็นๆ...และขอให้พระผู้เป็นเจ้า จงประทานพรให้สงบและสันติสุข...”
คงต้องจับตาเรื่องนี้กันต่อไป....สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะยังคงแข็งขันเดินหน้าไม่สนใจกับกระแสใดๆ หรือจะกลับมาแบบหนังภาคแรกที่มี พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป อดีตนายทหารคนสนิท พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองค์มนตรี เป็นตัวแสดงนำ
ไม่ว่าจะเริ่ม หรือจบลงอย่างไร ที่แน่ๆ ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อดีตนักการเมืองผู้โชกโชน และเป็นที่รักของประชาชนในยุคหนึ่ง ฐานะ “วีรบุรุษประชาธิปไตย”อาจต้องขอบคุณตำรวจ ที่ช่วยเป็นแรงส่งให้ชื่อของท่านเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายอีกครั้ง แถมยังอาจได้ใจตำรวจอีกจำนวนไม่น้อย ที่มีข้อเท็จจริงอยู่ว่า พวกเขารู้สึกถูกทิ้งขว้าง และไม่ได้รับความเป็นธรรมจากสถานการณ์ปัจจุบันที่เป็นอยู่