ป้อมพระสุเมรุ
“ปฏิรูปตำรวจ” ถูกชูเป็นวาระเร่งด่วนของประเทศ แต่กลับถูก “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หมางเมิน ไม่เร่งทำให้เกิดเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน
ในบางอารมณ์ที่ไม่สบอารมณ์ถึงกับโบ้ยให้ไปทำกันรัฐบาลหน้าอีกต่างหาก
แม้บรรดาผู้ที่ปูพรมให้ “บิ๊กตู่” ออกมารัฐประหารอย่าง “กำนันเทือก” นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศ จะยื่นเจตจำนงให้ “รัฐบาล-คสช.” เร่งดำเนินการก็ตามที
อาการนิ่ง-เฉย-จงใจ ปล่อยให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ติดอยู่ในแดนสนธยาเหมือนเดิม จนถูกมองว่า สาเหตุที่ไม่เข้าไปแตะต้อง เพราะรัฐบาล คสช.จำเป็นต้องอาศัย “ทัพสีกากี” เป็นเครื่องมือในการวางฐานค้ำยันอำนาจที่มีอยู่ไว้
ถ้าไปเต้นตามเสียงกองเชียร์ สั่ง “ปฏิรูปตำรวจ” ปุบปับ แล้วเกินกระแสต้านจาก สตช.ขึ้นมา ฝันหวานที่อยู่กุมอำนาจอีกสัก 5 ปี 10 ปี ก็ไม่ง่าย ครั้นจะไปเปิดศึกหลายด้านก็ไม่ส่งผลดีต่อ คสช.เอง ตามหลักคิดผูกมิตรไว้ดีกว่าสร้างศัตรูเพิ่ม
จริงเท็จอย่างไร “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคงที่กำกับดูแล สตช.คงรู้ดีกว่าใครเพื่อน
แถมต้องระวังตัวด้วยว่า หากทะเล่อทะล่าเข้าไปยุ่มย่าม “กรมปทุมวัน” อาจมีรายการย้อนศรตอกหน้ากลับมาที่ “บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม” เอง โดยเฉพาะเสียงลือเสียงเล่าอ้างเรื่อง “ตั๋วบิ๊ก คสช.” ที่ทำให้บัญชีแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจระดับสารวัตร-รองผู้บังคับการ วาระประจำปี 2558 ยืดเยื้อปิดไม่ลงซักที
เม้าต์ กันสนั่นลั่นทุ่งว่า “บิ๊ก คสช.” ต่างคนต่างมี “โพย” ส่งเด็กตัวเอง-เด็กฝากเข้าประกวดแบบไม่น้อยหน้ากัน ที่มันเป็นปัญหาเพราะเกินโควต้า อุปสงค์มากกว่าอุปทาน ทำเอา “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ต้องร้องโอดโอ๊ย ในสภาพ “กลืนไม่เข้า คายไม่ออก”
เมื่อวงการสีกากียังไม่อยู่ในสถานะที่จะ “สังคายนา” ได้ ที่ถูกตราหน้าเรื่อง “วงจรอุบาทว์” เมื่อถึงฤดูกาลโยกย้ายแต่งตั้งนายตำรวจ ที่มักมีพ่วงข่าวลือ-ข่าวปล่อย-ข่าวลับ ที่ “นายตำรวจ” ต้องนำเงิน 6 หลัก 7 หลัก ไปวางมัดจำ เพื่อจับจองเก้าอี้ขอซื้อตำแหน่งมีให้ได้ยินทุกยุคทุกสมัย ไม่เว้นแม้แต่ 2 ปีภายใต้การบริหารของ คสช.
โบราณว่า “ไม่มีมูล หมาไม่ขี้”
การแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจยังคงเป็น “วงจรอุบาทว์” ที่หลายคนรับไม่ได้ หนก่อนก็ “บิ๊กตุ้ม” พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) พะยี่ห้อ “ทีมลูกป๋า” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ที่ตกพุ่มซวย เพราะไปให้เบาะแส “ไอ้โม่ง” รับวิ่งเต้นโยกย้ายตำรวจในกลุ่มไลน์ “อนุกรรมการสายงานปฏิรูปตำรวจ” ของสภาปฏิรปูแห่งชาติ (สปช.) ที่ตัวเองเคยเป็นประธานอยู่ แต่ในกลุ่มแทบทั้งหมดก็เป็นตำรวจ เมื่อเห็นข้อความก็อดที่จะ “ฟ้องนาย” ไม่ได้ เพราะว่ากันว่าบทสทนาในกลุ่มไน์ที่ว่า “บิ๊กตุ้ม” บอกชัดเลยว่า “ไอ้โม่ง” ที่ว่าคือ “บิ๊ก ป.” น้องชายของผู้ยิ่งใหญ่
ร้อนจน “พี่ใหญ่แก๊ง ป.” ต้องไฟเขียวให้ “บิ๊กแป๊ะ” ผบ.ตร. ต้องรับใบสั่งฟ้องร้อง “บิ๊กตุ้ม” ตามข้อหาความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์กันเลยทีเดียว
โชคดีหน่อยที่ “บิ๊กตุ้ม” จัดว่ายังอยู่ใน “ทีมลูกป๋า” ที่ยังถือว่า “สายแข็ง” แม้มีข่าวว่าห่างเหินออกจาก “บ้านสี่เสาเทเวศร์” ไปแล้วก็ตาม พอ “ป๋าเปรม” ออกมากะแอมใส่เบาๆ ครั้งสองครั้ง ฝ่ายตำรวจที่เคยตั้งท่าเอาเป็นเอาตาย ก็ต้องล่าถอย ปล่อยคดีให้ค้างเติ่งอยู่อย่างนั้น
ล่าสุดเป็น ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต ที่ออกมากระทุ้งอีกรอบผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว "Arthit Ourairat" เกี่ยวกับการปฏิรูปตำรวจ โดยระบุข้อความว่า “ปฏิรูปตำรวจ? แต่งตั้งตำรวจเรียบร้อยหรือยัง มีข่าวกระจายทั่วไปว่า ขึ้นผู้กำกับต้อง 1 ล้าน ขึ้นรองผู้บังคับการต้อง 2 ล้าน ถามว่ามีผู้กำกับกี่คน มีรองผู้บังคับการกี่คน ยังไม่นับสารวัตร รองผู้กำกับการ ผู้บังคับการ รองผู้บัญชาการ ผู้บัญชาการ อีกหลายพันตำแหน่ง มีข่าวว่า ตอนนี้หลายที่ก็ขี่กันหลายคน หลายที่ยังว่าง นี่ใช่ไหม คือ การปฏิรูปตำรวจ ใช้ระบบคุณธรรม อย่าใช้ระบบอุปถัมภ์ ตำรวจเขาไม่มีกำลังใจทำงานกันแล้ว”
โพสต์ไปแบบไม่ไว้หน้าอินทร์หน้าพรหม ทีนี้ก็เป็นเรื่องอีก เมื่อ “บิ๊กป้อม” ในฐานะรองนายกฯดูแล สตช.ไม่สบอารมณ์อีกครั้ง สวนปังว่า ให้หาหลักฐานมา อย่าพูดลอยๆ ให้ สตช.เสียหาย พร้อมกวักมือเรียก “ดร.อาทิตย์” ให้ไปหาได้ทุกเมื่อ
ก่อนมีแอคชั่นจากทาง กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ที่เตรียมออกหมายเรียก “ดร.อาทิตย์” มาสอบปากคำ เหตุโพสต์ข้อความทำให้ สตช.เสียหาย เข้าข่ายความผิดตามมาตรา 14 พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ในการนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบ พร้อมขยายผลเชื่อมโยงกับกรณีที่เคยแจ้งข้อความ “พะจุณณ์” ไปก่อนหน้านี้
ซึ่ง “ดร.อาทิตย์” ก็ยืนยันว่า ไม่ได้ต้องการกล่าวหา หรือกล่าวร้ายต่อตำรวจ แต่ห่วงใย ปรารถนาดี และอยากสะท้อนให้รู้ว่า สังคมพูดกันว่าอย่างไร
กรณีของ “พะจุณณ์” จนมาถึง “อาทิตย์” สะท้อนให้เห็นถึงความผิดเพี้ยนของสังคมในยุค คสช.อย่างรุนแรง เพราะแทนที่นำ “ความปรารถนาดี” ของ “ผู้ใหญ่ในบ้านเมือง” มาปรับปรุงให้เกิดประโยชน์ อย่างน้อยๆก็ควรเลือกที่จะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวน แล้วเชิญทั้ง “อาทิตย์ - พะจุณณ์” มาเป็นพยานให้ข้อมูล มากกว่าการตั้งแง่เล่นงานกันแบบนี้
เบาะแสดีๆกลับถูกมองว่าเป็นการใส่ความ
ปฏิเสธไมได้ว่า การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจระดับสารวัตร-รองผู้บังคับการ วาระประจำปี 2558 ที่ ยืดเยื้อเกินกว่าเวลาที่กำหนดจนผิดปกติ และพอประกาศออกมาก็พบข้อผิดพลาดมากมาย ทั้งการแต่งตั้งซ้ำในตำแหน่งเดียวกัน การโยกย้ายคนตาย หรือการลดตำแหน่งบางรายที่ไม่เคยมีปรากฎมาก่อน เป็นการสารภาพกลายๆว่า การทำโผตำรวจครั้งนี้ “โค - ตะ - ระ - มั่ว”
อย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้นถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั้งจากวงในตำรวจเอง หรือคนภายนอก มองว่าการโยกย้ายตำรวจครั้งนี้ไม่ชอบมาพากล สำทับกับ “ข่าวลือ” ที่ว่า สาเหตุหลักเป็นเพราะ “ตั๋วผู้ใหญ่” ปลิวว่อนไปทั่ว “กรมปทุมวัน” เคาะเท่าไรก็ไม่ลงตัว
ว่ากันไปอีกว่าว่า “ตั๋ว” ที่ถูกยัดใส่มือ ผบ.ตร.มี 2 ชุดใหญ่ๆ ส่งมาไม่พร้อมกัน ใบแรกของ “เบอร์ 1” มาก่อน แถมมาเยอะ จัดใบแรกยังไม่ทันเสร็จ ใบที่สองของ “พี่ใหญ่” ก็ตามมา ใบหลังต้องใช้ “คนนำสาร” ถึง 2 คน รายแรกเป็นตำรวจดังชื่อย่อ “จ.” ลูกรักของพี่ใหญ่ แต่เคลียร์ไม่จบ เกิดอาการ “ปีนเกลียว” ระหว่าง “คนนำสาร - คนทำโผ” ขึ้นเสียก่อน สุดท้ายต้องส่ง “บิ๊ก ก.” เพื่อนซี้พี่ใหญ่มาย้ำงานอีกรอบ คนนี้อยู่คลุกวงในนั่งจัดโผด้วยเลย ถูไถออกมาเป็นโผทางการที่ประกาศออกมาจนได้
เป็นเหตุว่าทำไมช้า ทำไมอืด และทำไม “ผู้ใหญ่ในบ้านเมือง” ทนไม่ไหวจนต้องออกมากระทุ้ง