เมื่อวันที่ 24 พ.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงการฟ้องร้องผู้ที่โพสต์ข้อเท็จจริงกรณีการซื้อขายตำแหน่งตำรวจว่า ที่ตนพูดเมื่อวันจันทร์ บนเวทีมอบนโยบายในการประชุมสัมมนาการขับเคลื่อนและปฏิรูปประเทศไทยแบบบูรณาการ ถือเป็นการเตือนทุกคน ในการที่จะพูดกล่าวหา หรือต่อว่าใคร ทุกคนก็มีสิทธิ์ที่จะปกป้องตัวเอง ตนไม่ได้ไปสั่งให้ฟ้องหรือไม่ฟ้อง
ทั้งนี้เป็นการพูดเตือนให้คนที่พยายามทำในเรื่องเหล่านี้ต้องระมัดระวังตัวเองไว้บ้าง เรื่องนี้ไม่ได้ปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นของใคร แต่กฎหมายก็เขียนไว้อย่างชัดเจน การที่จะไปด่าคนอื่นนั้นไม่สามารถทำได้ ถ้ากฎหมายอนุญาตให้ทำได้ ก็ไปด่ากันเองแล้วกัน
"วันนี้กฎหมายไม่สามารถทำได้ ทุกคนก็ต้องเข้าใจว่าระบบกระบวนการยุติธรรมเป็นอย่างไร ถ้าเห็นว่าจะมีการทุจริตหรือซื้อตำแหน่ง ก็ไปฟ้องร้อง เอาหลักฐานไป หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็พร้อมที่จะรับฟ้องอยู่แล้ว ก็มีการไปสอบสวนและลงโทษการตามขั้นตอน ไม่ใช่ว่ารัฐบาลไม่ดูแล รัฐบาลก็ดูแลในเรื่องของกฎหมาย แต่ผมไม่ใช่ศาล จะไปชี้ผิดชี้ถูกไม่ได้ ต้องให้ศาลทำหน้าที่ กระบวนการยุติธรรมก็มีการดำเนินการอยู่แล้ว” นายกฯ กล่าว
ด้านพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวว่า ตนจะไม่ฟ้อง ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต ที่มาพูดเรื่องการซื้อขายตำแหน่งตำรวจ เพราะเป็นเรื่องของตำรวจ แต่การที่ ดร.อาทิตย์พูดแบบนี้ จะต้องมีหลักฐาน ไม่ใช่มาบอกว่าคนทั่วไปก็พูดกัน พูดแบบนั้นไม่ได้ ตนยืนยันว่าตำรวจเขาทำงานเต็มที่ พยายามทำทุกอย่างไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำเพื่อความยุติธรรม ซึ่งตนเชื่อว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเหมือนที่ ดร.อาทิตย์บอก เพราะเชื่อมั่นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่ายุคนี้ไม่มีการทำแบบที่เขากล่าว
"การพูดแบบนี้ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเสียขวัญและกำลังใจในการทำงานไปมาก ตำรวจตั้งใจทำงาน แต่กลับมีคนมาบอกแบบนี้ คนที่ได้ตำแหน่งก็ต้องดีใจ แต่คนที่ไม่ได้ก็เสียใจ เป็นเรื่องธรรมดา" รองนายกฯ กล่าว
ขณะที่พล.ต.ต.ปิยะพันธ์ ปิงเมือง รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (รองโฆษก สตช.) แถลงถึงกรณีการแจ้งความดำเนินคดี ดร.อาทิตย์โพสต์เฟซบุ๊ก Arthit Ourairat กล่าวหามีการซื้อ-ขายตำแหน่งตำรวจว่า พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) เตรียมออกหมายเรียก ดร.อาทิตย์เข้าสอบปากคำ เนื่องจากการโพสต์ข้อความดังกล่าวทำให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับความเสียหาย เป็นการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบ มีความผิดตามมาตรา 14 พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท
พล.ต.ต.ปิยะพันธ์กล่าวว่า หากการสอบสวนพบข้อความดังกล่าวเข้าข่ายหมิ่นประมาท โดยการเผยแพร่โฆษณาต่อองค์กร ก็จะถูกดำเนินคดีข้อหานี้ด้วย ซึ่งการออกหมายเรียกเพื่อแจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบ และดำเนินตามกระบวนการยุติธรรมทุกขั้นตอน
ส่วนการออกมาระบุเรื่องซื้อขายตำแหน่งของ ดร.อาทิตย์ เกี่ยวข้องกับ พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ที่เคยโพสต์ข้อความในลักษณะเดียวกันก่อนหน้านี้หรือไม่นั้น พล.ต.ต.ปิยะพันธ์กล่าวว่า อยู่ระหว่างในการสอบสวนขยายผลว่ามีส่วนเชื่อมโยงกันหรือไม่
"เรื่องนี้ ผบ.ตร.ไม่อยากดำเนินคดีกับใคร แต่ขอให้พึงระวังในเรื่องของการวิพากษ์วิจารณ์ โดยเฉพาะกับองค์กรตำรวจ ซึ่งกำลังเป็นที่สนใจของประชาชน ถ้าวิพากษ์โดยไม่เข้าข้อกฎหมายก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเข้า ต้องดำเนินการตามกฎหมายทั้งหมด ซึ่งขอยืนยันการแต่งตั้งครั้งนี้เป็นไปอย่างโปร่งใส" รองโฆษก สตช.กล่าว
รองโฆษก สตช.กล่าวถึงความคืบหน้าการแต่งตั้งระดับสารวัตร (สว.)-รองผู้บังคับการ (รอง ผบก.) วาระปี 2558 ว่า การแต่งตั้งโยกย้ายได้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว แต่ยังเหลืออีกไม่ถึง 1-3% ที่ยังขาดตกบกพร่อง ซ้ำซ้อนกันบ้าง ระหว่างนี้มีการแก้ไข ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง เพิ่มเติม เพื่อความเรียบร้อยไม่ให้เกิดปัญหา คาดว่าในวันที่ 24 พ.ค. จะเสร็จสิ้นหมดทุกอย่าง ตำรวจที่ได้รับการแต่งตั้งสามารถเดินทางไปรายงานตัวได้เลย เพราะคำสั่งมีผลการบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 19 พ.ค.2559 ส่วนที่เหลือที่ทยอยออกมาเป็นการแก้ไขเท่านั้นเอง
"แม้การแต่งตั้งครั้งนี้จะใช้มาตรา 44 แต่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ยังได้เปิดโอกาสให้ผู้บัญชาการแต่ละภาคเข้ามามีส่วนร่วมในการแต่งตั้ง ซึ่งเป็นประโยชน์สูงสุดของการบริหารงานบุคคลของภาค และได้ปฏิรูประบบตำรวจ เชื่อว่าการแต่งตั้งครั้งหน้าจะไม่มีความผิดพลาดเกิดขึ้นอีก" รองโฆษก สตช.กล่าว
ด้านนายอาทิตย์ อุไรรัตน์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซ บุ๊คว่า ไม่ได้สงสัย หรือมีส่วนได้เสียอะไร และตนเองไม่ได้กล่าวหาลอยๆ เพราะถึงไม่พูด คนอื่นก็พูดกันทั่วไป และที่พูดยังถือว่า น้อยเกินไป จึงควรมองเห็นในความหวังดีของตนเองบ้าง เพราะตนเองรักและอยากให้บ้านเมืองนี้สงบ สันติสุข ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ซึ่งตนเองไม่ใช่ เสื้อแดง เสื้อเหลืองเสื้อเขียว หรือ เสื้อฟ้า เพราะตนใส่ทุกสี ขอให้ใจเย็นๆ
ขณะที่นายสุริยะใส กตะศิลา รองคณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว เรื่อง คสช.ต้องใจกว้างและจำแนกแยกแยะ โดยระบุว่า กรณีที่พนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) เตรียมออกหมายเรียก ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต และอดีตประธานรัฐสภา ที่โพสต์ข้อความผ่าน FB ว่าอาจมีการซื้อขายตำแหน่งในการโยกย้ายตำรวจที่กำลังมีปัญหาอยู่นี้ ข้อเท็จจริงก็ไม่ถึงขั้นต้องดำเนินคดีหรือออกหมายเรียกอะไรเลย ดร.อาทิตย์เป็นผู้ใหญ่ และโพสต์ไปด้วยความหวังดี ไม่มีมูลท่านคงไม่โพสต์ และโยกย้ายครั้งนี้ก็มีพิรุธมากมายจริง ตามที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่แล้ว
"ที่สำคัญ ประเด็นที่โพสต์ก็มีเป้าหมายเพื่ออยากเห็นการปฏิรูปตำรวจ อยากให้มีระบบคุณธรรมในการโยกย้าย ไม่อยากให้มีข่าวไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นในวงการตำรวจในยุคที่ใครๆ ก็อยากเห็นการปฏิรูปตำรวจ
คสช.ควรใช้ท่าทีที่เป็นมิตรกว่านี้ มาพบหรือให้คนมาเอาข้อมูลจาก ดร.อาทิตย์ ก็น่าจะเป็นประโยชน์มากกว่าเหวี่ยงแห และไม่แยกแยะไม่ดูเจตนา คสช.ควรใจกว้างและต้องไม่มองคนที่หวังดีเป็นศัตรูไปเสียทั้งหมด" นายสุริยะใสกล่าว
ส่วนนายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวเป็นความหวังดีของ ดร.อาทิตย์ ที่ต้องการเห็นการปฏิรูปตำรวจให้ปรากฏเป็นจริง ไม่ให้มีการซื้อขายตำแหน่ง เพราะตำรวจไม่มีกำลังใจในการทำงาน และเป็นการสะท้อนปัญหาที่มีอยู่จริงให้ผู้ปกครองประเทศได้รับรู้อย่างตรงไปตรงมา ทันต่อเหตุการณ์
"ผมอยากกราบขอร้อง พล.อ.ประวิตรให้ใจเย็นๆ และช่วยกันประคับประคองบ้านเมืองให้เดินหน้าไปตามโรดแมปของ คสช. อยากให้นั่งพูดคุยกัน ก่อนจะกลายเป็นน้ำผึ้งหยดที่สอง เหมือนกรณี พล.ร.อ.พะจุณณ์ ที่ออกมาพูดในเรื่องเดียวกัน" นายวัชระกล่าว
ทั้งนี้เป็นการพูดเตือนให้คนที่พยายามทำในเรื่องเหล่านี้ต้องระมัดระวังตัวเองไว้บ้าง เรื่องนี้ไม่ได้ปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นของใคร แต่กฎหมายก็เขียนไว้อย่างชัดเจน การที่จะไปด่าคนอื่นนั้นไม่สามารถทำได้ ถ้ากฎหมายอนุญาตให้ทำได้ ก็ไปด่ากันเองแล้วกัน
"วันนี้กฎหมายไม่สามารถทำได้ ทุกคนก็ต้องเข้าใจว่าระบบกระบวนการยุติธรรมเป็นอย่างไร ถ้าเห็นว่าจะมีการทุจริตหรือซื้อตำแหน่ง ก็ไปฟ้องร้อง เอาหลักฐานไป หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็พร้อมที่จะรับฟ้องอยู่แล้ว ก็มีการไปสอบสวนและลงโทษการตามขั้นตอน ไม่ใช่ว่ารัฐบาลไม่ดูแล รัฐบาลก็ดูแลในเรื่องของกฎหมาย แต่ผมไม่ใช่ศาล จะไปชี้ผิดชี้ถูกไม่ได้ ต้องให้ศาลทำหน้าที่ กระบวนการยุติธรรมก็มีการดำเนินการอยู่แล้ว” นายกฯ กล่าว
ด้านพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวว่า ตนจะไม่ฟ้อง ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต ที่มาพูดเรื่องการซื้อขายตำแหน่งตำรวจ เพราะเป็นเรื่องของตำรวจ แต่การที่ ดร.อาทิตย์พูดแบบนี้ จะต้องมีหลักฐาน ไม่ใช่มาบอกว่าคนทั่วไปก็พูดกัน พูดแบบนั้นไม่ได้ ตนยืนยันว่าตำรวจเขาทำงานเต็มที่ พยายามทำทุกอย่างไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำเพื่อความยุติธรรม ซึ่งตนเชื่อว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเหมือนที่ ดร.อาทิตย์บอก เพราะเชื่อมั่นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่ายุคนี้ไม่มีการทำแบบที่เขากล่าว
"การพูดแบบนี้ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเสียขวัญและกำลังใจในการทำงานไปมาก ตำรวจตั้งใจทำงาน แต่กลับมีคนมาบอกแบบนี้ คนที่ได้ตำแหน่งก็ต้องดีใจ แต่คนที่ไม่ได้ก็เสียใจ เป็นเรื่องธรรมดา" รองนายกฯ กล่าว
ขณะที่พล.ต.ต.ปิยะพันธ์ ปิงเมือง รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (รองโฆษก สตช.) แถลงถึงกรณีการแจ้งความดำเนินคดี ดร.อาทิตย์โพสต์เฟซบุ๊ก Arthit Ourairat กล่าวหามีการซื้อ-ขายตำแหน่งตำรวจว่า พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) เตรียมออกหมายเรียก ดร.อาทิตย์เข้าสอบปากคำ เนื่องจากการโพสต์ข้อความดังกล่าวทำให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับความเสียหาย เป็นการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบ มีความผิดตามมาตรา 14 พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท
พล.ต.ต.ปิยะพันธ์กล่าวว่า หากการสอบสวนพบข้อความดังกล่าวเข้าข่ายหมิ่นประมาท โดยการเผยแพร่โฆษณาต่อองค์กร ก็จะถูกดำเนินคดีข้อหานี้ด้วย ซึ่งการออกหมายเรียกเพื่อแจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบ และดำเนินตามกระบวนการยุติธรรมทุกขั้นตอน
ส่วนการออกมาระบุเรื่องซื้อขายตำแหน่งของ ดร.อาทิตย์ เกี่ยวข้องกับ พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ที่เคยโพสต์ข้อความในลักษณะเดียวกันก่อนหน้านี้หรือไม่นั้น พล.ต.ต.ปิยะพันธ์กล่าวว่า อยู่ระหว่างในการสอบสวนขยายผลว่ามีส่วนเชื่อมโยงกันหรือไม่
"เรื่องนี้ ผบ.ตร.ไม่อยากดำเนินคดีกับใคร แต่ขอให้พึงระวังในเรื่องของการวิพากษ์วิจารณ์ โดยเฉพาะกับองค์กรตำรวจ ซึ่งกำลังเป็นที่สนใจของประชาชน ถ้าวิพากษ์โดยไม่เข้าข้อกฎหมายก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเข้า ต้องดำเนินการตามกฎหมายทั้งหมด ซึ่งขอยืนยันการแต่งตั้งครั้งนี้เป็นไปอย่างโปร่งใส" รองโฆษก สตช.กล่าว
รองโฆษก สตช.กล่าวถึงความคืบหน้าการแต่งตั้งระดับสารวัตร (สว.)-รองผู้บังคับการ (รอง ผบก.) วาระปี 2558 ว่า การแต่งตั้งโยกย้ายได้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว แต่ยังเหลืออีกไม่ถึง 1-3% ที่ยังขาดตกบกพร่อง ซ้ำซ้อนกันบ้าง ระหว่างนี้มีการแก้ไข ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง เพิ่มเติม เพื่อความเรียบร้อยไม่ให้เกิดปัญหา คาดว่าในวันที่ 24 พ.ค. จะเสร็จสิ้นหมดทุกอย่าง ตำรวจที่ได้รับการแต่งตั้งสามารถเดินทางไปรายงานตัวได้เลย เพราะคำสั่งมีผลการบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 19 พ.ค.2559 ส่วนที่เหลือที่ทยอยออกมาเป็นการแก้ไขเท่านั้นเอง
"แม้การแต่งตั้งครั้งนี้จะใช้มาตรา 44 แต่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ยังได้เปิดโอกาสให้ผู้บัญชาการแต่ละภาคเข้ามามีส่วนร่วมในการแต่งตั้ง ซึ่งเป็นประโยชน์สูงสุดของการบริหารงานบุคคลของภาค และได้ปฏิรูประบบตำรวจ เชื่อว่าการแต่งตั้งครั้งหน้าจะไม่มีความผิดพลาดเกิดขึ้นอีก" รองโฆษก สตช.กล่าว
ด้านนายอาทิตย์ อุไรรัตน์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซ บุ๊คว่า ไม่ได้สงสัย หรือมีส่วนได้เสียอะไร และตนเองไม่ได้กล่าวหาลอยๆ เพราะถึงไม่พูด คนอื่นก็พูดกันทั่วไป และที่พูดยังถือว่า น้อยเกินไป จึงควรมองเห็นในความหวังดีของตนเองบ้าง เพราะตนเองรักและอยากให้บ้านเมืองนี้สงบ สันติสุข ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ซึ่งตนเองไม่ใช่ เสื้อแดง เสื้อเหลืองเสื้อเขียว หรือ เสื้อฟ้า เพราะตนใส่ทุกสี ขอให้ใจเย็นๆ
ขณะที่นายสุริยะใส กตะศิลา รองคณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว เรื่อง คสช.ต้องใจกว้างและจำแนกแยกแยะ โดยระบุว่า กรณีที่พนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) เตรียมออกหมายเรียก ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต และอดีตประธานรัฐสภา ที่โพสต์ข้อความผ่าน FB ว่าอาจมีการซื้อขายตำแหน่งในการโยกย้ายตำรวจที่กำลังมีปัญหาอยู่นี้ ข้อเท็จจริงก็ไม่ถึงขั้นต้องดำเนินคดีหรือออกหมายเรียกอะไรเลย ดร.อาทิตย์เป็นผู้ใหญ่ และโพสต์ไปด้วยความหวังดี ไม่มีมูลท่านคงไม่โพสต์ และโยกย้ายครั้งนี้ก็มีพิรุธมากมายจริง ตามที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่แล้ว
"ที่สำคัญ ประเด็นที่โพสต์ก็มีเป้าหมายเพื่ออยากเห็นการปฏิรูปตำรวจ อยากให้มีระบบคุณธรรมในการโยกย้าย ไม่อยากให้มีข่าวไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นในวงการตำรวจในยุคที่ใครๆ ก็อยากเห็นการปฏิรูปตำรวจ
คสช.ควรใช้ท่าทีที่เป็นมิตรกว่านี้ มาพบหรือให้คนมาเอาข้อมูลจาก ดร.อาทิตย์ ก็น่าจะเป็นประโยชน์มากกว่าเหวี่ยงแห และไม่แยกแยะไม่ดูเจตนา คสช.ควรใจกว้างและต้องไม่มองคนที่หวังดีเป็นศัตรูไปเสียทั้งหมด" นายสุริยะใสกล่าว
ส่วนนายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวเป็นความหวังดีของ ดร.อาทิตย์ ที่ต้องการเห็นการปฏิรูปตำรวจให้ปรากฏเป็นจริง ไม่ให้มีการซื้อขายตำแหน่ง เพราะตำรวจไม่มีกำลังใจในการทำงาน และเป็นการสะท้อนปัญหาที่มีอยู่จริงให้ผู้ปกครองประเทศได้รับรู้อย่างตรงไปตรงมา ทันต่อเหตุการณ์
"ผมอยากกราบขอร้อง พล.อ.ประวิตรให้ใจเย็นๆ และช่วยกันประคับประคองบ้านเมืองให้เดินหน้าไปตามโรดแมปของ คสช. อยากให้นั่งพูดคุยกัน ก่อนจะกลายเป็นน้ำผึ้งหยดที่สอง เหมือนกรณี พล.ร.อ.พะจุณณ์ ที่ออกมาพูดในเรื่องเดียวกัน" นายวัชระกล่าว