ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ตั้งแต่ได้รับแรงผลักให้นั่งเก้าอี้หัวหน้าปราบโกง ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) คนใหม่ ต้องยอมรับว่า ยังไม่มีอะไรหวือหวาเท่าที่ควร โดยเฉพาะคดีทุจริตคอร์รัปชั่นต่างๆ สำหรับ “บิ๊กกุ้ย” พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ
ทั้งๆ ที่เข้ารับตำแหน่งมาตั้งแต่ต้นปี 2559 จนบัดนี้ล่วงเลยมาแล้วเกือบ 4 เดือน ถ้าจะบอกอยู่ในช่วงปรับตัวและรับงานต่อจากชุดเก่า ถือว่า ใช้เวลานานเกินไปสำหรับภารกิจยักษ์อย่างการล้างบางคนโกง
คดีนักการเมืองที่กรรมการ ป.ป.ช.ชุดที่มี ปานเทพ กล้าณรงค์ราญ เป็นประธานใหญ่ ทำค้างไว้จนจวนใกล้เสร็จ ซึ่งมีหลายต่อหลายคดี แต่จนวันนี้ยังนิ่ง ไม่ว่าจะเป็นกรณีรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อนุมัติจ่ายเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมืองปี 2553 โดยมิชอบ เรื่อยไปจนถึงคดีถอดถอน จุติ ไกรฤกษ์ สมัยดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เอื้อประโยชน์บริษัทเอกชนในการทำสัญญา 3 จี
หรือแม้กระทั่งคดีเก่าคร่ำครึ “ไม้ล้างป่าช้า” จีที 200 ที่มีการร้องเอาผิด “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย สมัยดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ที่ วิชัย วิวิตเสวี อดีตกรรมการ ป.ป.ช.เจ้าของเรื่อง ทำไว้เกือบสะเด็ดน้ำก่อนหมดวาระ
เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เงียบเชียบ ไม่รู้ความคืบหน้าว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร!
คดีบิ๊กๆ แต่ไม่ถึงกับเปรี้ยง ที่ ป.ป.ช.ชุด “บิ๊กกุ้ย” ปิดจ๊อบได้ มีแค่การอายัดทรัพย์สิน “ริดเปลี่ยนสี” ธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอส) กับคดีโกงแวตที่มี “บิ๊กกรมสรรพากร” เข้าไปเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในราย “สาธิต รังคสิริ” เท่านั้น
ขณะเดียวกัน ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งมา ดู “บิ๊กกุ้ย” จะไปหมกมุ่นอยู่กับการปรับการทำงานเสียเป็นส่วนใหญ่ ตามเป้าหมายที่ประกาศไว้ปีนี้จะเคลียร์คดีให้ได้ 500 คดี เพื่อขจัดเสียงครหา ป.ป.ช.ทำงานช้ากว่าเต่าเดิน!
ซึ่งการเดินไปสู่เป้าหมายเคลียร์คดีค้างเก่าให้ได้ 500 คดีของ “บิ๊กกุ้ย” นั้นน่าสนใจ เพราะเมื่อไม่กี่สัปดาห์มานี้ออกมาเปิดเผยว่า เตรียมจะเสนอให้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใช้อำนาจตามมาตรา 44 แก้ไขพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 หรือ “พ.ร.บ.ป.ป.ช.”
โดยต้องการสลัดข้อจำกัด ซึ่งจากเดิม พ.ร.บ.ป.ป.ช.กำหนดให้เจ้าพนักงานป.ป.ช.ระดับชำนาญการเท่านั้นที่จะรับเรื่องทุจริตมาไต่สวนได้ ซึ่งเจ้าพนักงานระดับชำนาญการของ ป.ป.ช.นั้นมีจำนวนน้อย ต้องแบกรับคดีคนๆ หนึ่งตกเป็นสิบๆ เรื่อง
จึงจะเสนอแก้ไขนิยามความหมายให้เปลี่ยนมาเป็นพนักงานไต่สวนแทน เพื่อให้เจ้าพนักงานไต่สวนระดับเล็กๆ เข้ามามีส่วนร่วมได้เพื่อกระจายงานกันไป โดยมีเจ้าพนักงานชำนาญการคอยกำกับดูแล ตรงนี้ก็จะทำให้คดีเดินหน้าไว
หาก “บิ๊กตู่” เซย์เยส เป้าหมายของ “บิ๊กกุ้ย” ก็น่าจะใกล้ความจริง เพราะเมื่อไม่นานมานี้ ป.ป.ช.เพิ่งได้รับการจัดสรรบุคลากรมาใหม่ถึง 800 คน ซึ่งคนเหล่านี้จะถูกนำมาเทรนด์เพื่อเข้าไปทำหน้าที่ดังกล่าวได้
มองตามเนื้อผ้า การขอแก้ไขตรงนี้ถือว่า พออ้อมแอ้มได้ แม้จะมีจุดอ่อนอยู่บ้างตรงพนักงานไต่สวนอาจไม่มีประสบการณ์มากพอ
กระนั้นก็ตาม มันก็มีจุดให้สะกิดใจเบาๆ เหมือนกับ เพราะสิ่งที่ “บิ๊กกุ้ย” เสนอไปนั้น ไม่ได้มีเรื่องการลดจำนวนคดีในความรับผิดชอบเพียงอย่างเดียว เพราะเท่ากับอดีตรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) รายนี้ ยังมีความคิดที่จะ “ลดอำนาจ” ตัวเองเสียอย่างนั้น
ด้วยการให้ ป.ป.ช.ดำเนินการเฉพาะคดีทางอาญาที่มีผลพวงมาจากการทุจริตคอร์รัปชั่นเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ส่วนการความผิดที่มีผลมาจากความผิดทางวินัยจะให้ผู้บังคับบัญชาของผู้ที่ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลอาญาไปดำเนินการต่อเอาเอง โดยให้เหตุผลว่า เพื่อให้คดีทุจริตและเอาคนที่กระทำการทุจริตอาญาไปให้ศาลลงโทษอย่างรวดเร็วขึ้น
ทั้งที่ความจริงทุกวันนี้ หากข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่คนใดถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดทางวินัย ก็เป็นหน้าที่ที่ผู้บังคับบัญชาจะต้องเอาไปลงโทษอยู่แล้ว ส่วน ป.ป.ช.ก็มีหน้าที่ส่งเรื่องให้ทาง “อัยการ” ในฐานะ “ทนายแผ่นดิน” เป็นผู้ส่งฟ้องต่อศาล
แต่สิ่งที่ “บิ๊กกุ้ย”เสนอ แปลไทยเป็นไทยเหมือนกันว่า ต่อไป ป.ป.ช.จะชี้มูลความผิดอย่างเดียว แล้วให้ผู้บังคับบัญชาหน่วยงานนั้นๆเอาไปต่อยอดความผิดทางวินัย รวมไปถึงการฟ้องคดีอาญาเอาเอง
เหมือนเป็นการมอบอำนาจให้ผู้บังคับบัญชาใช้ดุลยพินิจในการลงโทษผู้ใต้บังคับบัญชาตัวเองเต็มที่ ซึ่งไม่มีใครการันตีได้ว่า การลงโทษนั้นจะเหมาะสมกับสิ่งที่ ป.ป.ช.ได้ชี้มูลเอาไว้เพียงใด หรือหากการลงโทษทางวินัยไม่สมเหตุสมผลใครจะเป็นผู้ทักท้วง
อีกทั้งยังย้อนแย้งในตัวเอง เพราะก่อนหน้านี้ “บิ๊กกุ้ย” นี่แหละเป็นคนไฟเขียวให้ส่งหนังสือไปให้คณะรัฐมนตรีช่วยพิจารณาส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความ หลังศาลปกครองพิพากษาในคดีหนึ่งว่า ป.ป.ช.มีอำนาจในการไต่สวนและชี้มูลคดีวินัยเฉพาะฐานความผิด “ทุจริตต่อหน้าที่ราชการ” เท่านั้น ส่วนฐานความผิดอื่นๆ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ไม่มีอำนาจ
แต่วันนี้ “บิ๊กกุ้ย” จะเอาอำนาจการชี้มูลความวินัยของตัวเองไปให้อยู่ในมือผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานนั้นๆ เสียอย่างนั้น จนมีการตั้งข้อสังเกตกันว่า แท้จริงแล้วเจตนาในการขอแก้ไขครั้งนี้ไม่ได้แค่อยากลดงานของ ป.ป.ช. แต่มี “นัยยะซ่อนเร้น” บางประการ
ย้อนกลับไปเมื่อช่วงที่มีชื่อ “บิ๊กกุ้ย” โดดเข้ามาร่วมวงไพบูลย์ลงสรรหาเป็น ป.ป.ช. ก่อนกลายเป็น “เต็งจ๋า” คว้าตำแหน่งประธาน ป.ป.ช.ปาดหน้ากลุ่ม ป.ป.ช.เก่าที่ได้แต่มองตาปริบๆ นาทีนั้นรู้กันดีว่าเป็นแรงผลักดันจากอดีตนายเก่าอย่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่แห่ง คสช. ที่ต้องการวางขุมข่ายอำนาจของตัวเองเข้าคุมองค์กรหน่วยงานต่างๆให้มากที่สุด ซึ่ง ป.ป.ช.ก็เป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญในอนาคตในภายภาคหน้า โดยเฉพาะเรื่องคดีความที่เกี่ยวกับข้าราชการ และนักการเมือง
ที่สำคัญยังมี “ภารกิจพิเศษ” ในการเคลียร์คดีให้กับใครบางคน
คดีที่เป็นที่จับตามองที่สุด คงหนีไม่พ้นคดีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย 7 ตุลาคม 2551 ที่อยู่ในการพิจารณาของศาลฎีกาแผนคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จำเลยในคดีนี้มีอยู่ 4 คนด้วยกัน ไล่ตั้งแต่ “ชายจืด” สมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี “บิ๊กจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) และที่ขาดไม่ได้ก็ “บิ๊กป๊อด” พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ทั้ง 4 คนเป็นคีย์แมนสำคัญในเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความสูญเสียวันนั้น
“บิ๊กป๊อด” ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็น “น้องชายสุดเลิฟ” ของ “พี่ใหญ่ คสช.” ทั้งยังเป็นอดีตเจ้านายเก่าของ “บิ๊กกุ้ย” สมัยรับราชการตำรวจอีกด้วย ว่ากันว่าที่ “บิ๊กกุ้ย” ได้ตกพุ่มขึ้น “เบอร์ 1 กรมปทุมวัน” เมื่อครั้งที่ คสช.เข้าคุมอำนาจการปกครองใหม่ๆ นอกจาก “เพื่อนซี้” อย่าง “บิ๊กอู๋” พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว จะหลีกทางให้ตามสัญญาใจแล้ว ก็ยังมี “ป๋าดัน” อย่าง “บิ๊กป๊อด” ช่วยเชียร์อีกแรง
อีกทั้งเมื่อเกษียณราชการแล้วก็ยังถูกดึงมาเป็นรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองอยู่กับวงษ์สุวรรณคนพี่อย่าง “บิ๊กป้อม” อีกด้วย
ไอเดียการขอลดงานเรื่องที่เกี่ยวกับคดีอาญาที่มีผลมาจากความผิดทางวินัย ก็ลงล็อกกับคดีที่ “บิ๊กป๊อด” ขึ้นเขียงศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อยู่ในตอนนี้ และเพิ่งมีการเบิกความพยานนัดแรกไปเมื่อไม่กี่วันก่อน
ด้วยห้วงเวลาที่บีบคั้น จึงทำให้มีแรงกดดันให้ภารกิจลุล่วงโดยเร็ว
มีรายงานข่าวจากสำนักงาน ป.ป.ช.ระบุว่า ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ป.ป.ช.โดย “บิ๊กกุ้ย” เร่งรัดเรื่องนี้ไปยัง “ผู้อำนวยการสำนักกฎหมายของ ป.ป.ช.” ในการจัดทำร่าง พ.ร.บ.ป.ป.ช.ฉบับแก้ไขให้เสร็จโดยเร็วตามที่มอบหมายไปเมื่อช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เพื่อเตรียมผลักดันให้“บิ๊กตู่” หัวหน้า คสช.พิจารณา และอาจใช้อำนาจตามมาตรา 44 แห่งรัฐธรรมนูญชั่วคราวสั่งแก้ไขตามที่ ป.ป.ช.เสนอมาทันที หรืออาจเข้าตามตรอกออกทางประตูผ่านกระบวนการพิจารณาแก้ไข พ.ร.บ.ป.ป.ช.ผ่าน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ซึ่งวันนี้กลายเป็น “สภาฝักถั่ว” ของ คสช.ไปแล้ว จึงคาดว่าใช้เวลาไม่นานเช่นกัน
รายงานข่าวจากสำนักงาน ป.ป.ช.ยังประเมินด้วยว่า หากได้ “ไฟเขียว” ให้แก้ไขได้โดยเร็ว คดีทางวินัยที่อยู่ในการพิจารณาของ ป.ป.ช.นั้นแทบจะไม่มีผล เพราะอย่างไรเสียก็มีหน้าที่ชี้มูลความผิดอยู่ตามเดิม มีเพียงบางคดีที่อยู่ในชั้นการประสานกับอัยการเพื่อส่งฟ้องต่อศาล ในส่วนนี้จะถูกยกเลิกไปโดยปริยาย
ที่สำคัญยังอาจใช้ “ข้ออ้าง” ว่ากฎหมายใหม่มีผลย้อนหลัง ส่งผลอาจจะมีการขอ “ถอนฟ้อง” ในชั้นศาลด้วยอีกต่างหาก โดยหยิบยกบทบัญญัติของกฎหมายใหม่ เพื่อยกผลประโยชน์ให้แก่จำเลย ซึ่ง “คดีสลายพันธมิตรฯ 7 ตุลา” ก็อยู่ในข่ายเช่นกัน เพราะทั้ง 4 จำเลย รวมทั้ง “บิ๊กป๊อด” ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.บ.ป.ป.ช. พ.ศ.2542 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 295 และ 302เป็นเพียงการกระทำผิดทางวินัย ซึ่งไม่เกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชั่น
ทวนความจำนิดหนึ่งว่า คดีนี้ อัยการสูงสุด (อสส.) สั่งไม่ฟ้อง แต่เป็น ป.ป.ช.ที่ส่งฟ้องต่อศาลฎีกาฯเอง ดังนั้น ดุลยพินิจการถอนหรือไม่ถอนฟ้องก็อยู่ที่ ป.ป.ช.ผู้ฟ้องคดี ดังนั้น อาจทำให้เกิดความคลางแคลงใจได้ว่า มีรายการ “คุณพระช่วย” หรือไม่
ซึ่งเรื่องนี้ใหญ่พอสมควร ไม่เช่นนั้นคงไม่ค้างเติ่งอยู่อย่างนี้แน่ เพราะตอนที่ “บิ๊กกุ้ย” ให้สัมภาษณ์บอกจะดันกันวันนี้วันพรุ่ง แต่อยู่ๆ ก็เงียบหายไปพักใหญ่ๆ แล้ว
พร้อมกับกระแสข่าวหนาหูว่า เจ้าหน้าที่ในสำนักงานปราบโกงเองก็ไม่ค่อยแฮปปี้กับข้อเสนอดังกล่าว หลายคนคัดค้าน แม้ “บิ๊กกุ้ย” จะทวงถามเป็นระยะว่า ศึกษาข้อดี - ข้อเสียเสร็จสิ้นหรือยัง
หรือนี่จะเป็นคำตอบว่า ที่คดีของป.ป.ช.ในปัจจุบันช้าๆ อืดๆ เพราะกำลังหมกมุ่นแต่กับเรื่องนี้กันอยู่
หากจำกันได้ในช่วงแรกที่ คสช.เข้ามายึดอำนาจการปกครอง และกำลังชุลมุนอยู่กับการออกคำสั่งควบคุมสถานการณ์ แต่ก็ยังมีไม่ลืมที่จะออกคำสั่งหัวหน้า คสช.93/2557 ที่ว่าด้วยการยกโทษปลดออกจากราชการ “พัชรวาท” โดยอ้างว่าทำตามคําพิพากษาศาลปกครองกลาง เหมือนว่าหมายมั่นปั้นมือไว้แล้วว่า นอกจากจะล้างบางอำนาจระบอบเก่าแล้ว ยังบรรจุเรื่องของ “บิ๊กป๊อด” ใน “โรดแมป คสช.” ด้วย
และหากปฏิบัติการที่ ป.ป.ช. เป็นไปอย่างที่คาดการณ์จริง ก็คงไม่ผิดที่จะมองว่ารัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ครั้งนี้อาจเป็นเพียงภารกิจช่วย “บิ๊กป๊อด” น้องเลิฟของ “บิ๊กป้อม” ให้พ้นบ่วงกรรมเท่านั้น เพราะเรื่องอื่นๆไม่เห็นจะคืบหน้าอะไรเลยในช่วงกว่า 2 ปีที่ผ่านมา.