พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ถูกจับตาทุกฝีก้าว นับตั้งแต่ถูกเสนอชื่อเข้ามาเป็นกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพราะไม่แน่ใจว่า จะเข้ามาทำงานรับใช้ใครหรือไม่ และวันนี้ สิ่งที่สังคมกังวลทำท่าจะเป็นจริงขึ้นมาแล้ว
เพราะป.ป.ช.เตรียมเสนอให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ใช้มาตรา 44 แก้กฎหมาย เปลี่ยนกฎระเบียบใหม่ จะไม่ฟ้องอาญาข้าราชการที่ถูกชี้มูลว่า กระทำผิดทางวินัย โดยปล่อยให้แต่ละหน่วยงานเป็นผู้ดำเนินการฟ้องอาญาเอง
ข้ออ้างขอยกเลิกการทำหน้าที่ฟ้องอาญาข้าราชการที่ถูกชี้มูลความผิดด้านวินัยคือ ต้องการปรับปรุงการทำงานให้รวดเร็วขึ้นเท่านั้น
ถ้าป.ป.ช.ขอแก้กฎหมายสำเร็จ ถ้าระเบียบเปลี่ยนไป จะทำให้ข้าราชการที่กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง จะไม่ถูกฟ้องอาญาโดย ป.ป.ช.
และยังมีผลย้อนหลังถึงข้าราชการที่ถูกชี้มูลว่า มีความผิดวินัยอย่างร้ายแรง และถูก ป.ป.ช.ยื่นฟ้องอาญาไปแล้ว โดยต้องถอนฟ้อง ซึ่งรวมถึงพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร.น้องชายแท้ๆ ของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี
พล.ต.อ.พัชรวาทจะได้รับอานิสงส์จากการแก้ไขกฎหมายของ ป.ป.ช.โดยตรง เพราะถูกยื่นฟ้องศาลอาญา ในความผิดสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 และทำให้มีประชาชนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก
นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และพล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาลก็ถูก ป.ป.ช.ฟ้องในคดีเดียวกัน
ผู้ที่ต้องรับผิดชอบในคำสั่งสลายการชุมนุมเหตุการณ์นองเลือด 7 ตุลาฯ นั้น เกือบจะลอยนวลอยู่แล้ว เพราะอัยการสั่งไม่ฟ้อง จน ป.ป.ช.ต้องทำหน้าที่ฟ้องเอง และทำให้กรรมการ ป.ป.ช.บางคนต้องถูกคุกคามอย่างหนัก
การแก้กฎหมายเปลี่ยนระเบียบการปฏิบัติหน้าที่ของ ป.ป.ช.โดยจะฟ้องอาญาเฉพาะคดีทุจริต แต่ไม่ฟ้องข้าราชการที่กระทำผิดวินัยร้ายแรงนั้น เป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะจะส่งผลกระทบต่อกระบวนการลงโทษข้าราชการที่กระทำความผิดทางวินัยหรือประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง
เพราะถ้าอัยการใช้ดุลพินิจสั่งไม่ฟ้อง เหมือนคดีสลายการชุมนุม 7 ตุลาฯ และหน่วยงานต้นสังกัดไม่ฟ้องอีก ข้าราชการที่กระทำผิดวินัย จะรอดพ้นจากโทษทางอาญาโดยปริยาย
ส่วนโทษทางวินัย ถ้ายึดบรรทัดฐานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โทษทางวินัยก็ช่วยกันได้ เพราะนายตำรวจที่เกี่ยวข้องคดี 7 ตุลาฯ ได้รับการพิจารณายกโทษและกลับเข้ารับราชการหมด
และตำรวจที่ทำความผิดคดีอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นความผิดร้ายแรงขนาดไหน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มักจะรับกลับเข้ามาสวมเครื่องแบบอีกครั้ง
ถ้าจะโยนให้หน่วยงานต้นสังกัด เป็นผู้ฟ้องอาญาข้าราชการที่มีความผิดทางวินัยร้ายแรง ใครจะรับประกันได้ว่า หน่วยงานต้นสังกัดจะดำเนินการฟ้อง และถ้าไม่ฟ้อง จะมีมาตรการใดลงโทษหน่วยงานนั้น
ดูสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นตัวอย่างก็ได้ กรณีที่ตำรวจมีความผิดวินัยอย่างร้ายแรง เมื่อ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดแล้ว คิดว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะฟ้องอาญาหรือ เพราะขนาดถูกปลดไปแล้ว ยังรับกลับเข้ามาอีก
แนวทางปฏิบัติของ ป.ป.ช.ดีอยู่แล้ว ผลงานของ ป.ป.ช.ที่ผ่านมา เป็นที่ยอมรับของประชาชนอยู่แล้ว จนก้าวขึ้นมาเป็นองค์กรอิสระระดับแนวหน้าที่ประชาชนเชื่อมั่นศรัทธา และเป็นที่พึ่งหวังการเป็นองค์กรที่ซื่อสัตย์ ยุติธรรม ทำงานอย่างตรงไปตรงมา
แต่หลังจากเปลี่ยนกรรมการชุดใหม่ หลังจากพล.ต.อ.วัชรพลก้าวเข้ามาเป็นประธาน ป.ป.ช.ทำท่าจะเสียรังวัด เพราะเริ่มมีกิจกรรมที่ทำให้เกิดข้อสงสัยในความไม่โปร่งใส โดยเฉพาะการเตรียมแก้กฎหมาย เปลี่ยนระเบียบ เพื่อตัดทอนอำนาจตัวเอง ซึ่งถูกวิจารณ์กระหึ่มว่า มีเป้าหมายเพียงเพื่อช่วยใครบางคนเท่านั้น
พล.ต.อ.วัชรพลถูกคาดหมายว่า จะต้องได้เข้ามาเป็นกรรมการ ป.ป.ช.ตั้งแต่ได้รับการเสนอชื่อแล้ว เพราะมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจในรัฐบาล และได้รับการคัดเลือกเข้ามาจริง
เมื่อเป็นกรรมการ ป.ป.ช. มีโผว่า จะได้รับเลือกเข้ามาเป็นประธาน และมีข่าวเรื่องใบสั่งให้ “บล็อกโหวต” ซึ่งกรรมการ ป.ป.ช.ก็ลงมติให้รั้งตำแหน่งประธานจริงๆ
และมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันมาก่อนแล้วว่า พล.ต.อ.วัชรพลถูกส่งเข้ามาเพื่อช่วยเหลือกลุ่มการเมืองที่มีอำนาจ ซึ่งผลักดันให้เป็นประธาน ป.ป.ช.และเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ใกล้เคียงความจริงขึ้นมาอีก
เวลานี้ สังคมคงต้องภาวนาขอใน 2 สิ่ง สิ่งแรกคือ ขอให้ข่าวลือลบๆ เกี่ยวกับพล.ต.อ.วัชรพลไม่เป็นจริง ขอให้ประธาน ป.ป.ช.ไม่ได้เป็นคนของใคร ไม่ได้ทำงานรับใช้ใคร
และภาวนาขอให้ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ใช้มาตรา 44 แก้กฎหมาย ตัดแขนตัดขา ป.ป.ช.เพียงเพื่อช่วยใครบางคนเท่านั้น...สาธุ
เพราะป.ป.ช.เตรียมเสนอให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ใช้มาตรา 44 แก้กฎหมาย เปลี่ยนกฎระเบียบใหม่ จะไม่ฟ้องอาญาข้าราชการที่ถูกชี้มูลว่า กระทำผิดทางวินัย โดยปล่อยให้แต่ละหน่วยงานเป็นผู้ดำเนินการฟ้องอาญาเอง
ข้ออ้างขอยกเลิกการทำหน้าที่ฟ้องอาญาข้าราชการที่ถูกชี้มูลความผิดด้านวินัยคือ ต้องการปรับปรุงการทำงานให้รวดเร็วขึ้นเท่านั้น
ถ้าป.ป.ช.ขอแก้กฎหมายสำเร็จ ถ้าระเบียบเปลี่ยนไป จะทำให้ข้าราชการที่กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง จะไม่ถูกฟ้องอาญาโดย ป.ป.ช.
และยังมีผลย้อนหลังถึงข้าราชการที่ถูกชี้มูลว่า มีความผิดวินัยอย่างร้ายแรง และถูก ป.ป.ช.ยื่นฟ้องอาญาไปแล้ว โดยต้องถอนฟ้อง ซึ่งรวมถึงพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร.น้องชายแท้ๆ ของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี
พล.ต.อ.พัชรวาทจะได้รับอานิสงส์จากการแก้ไขกฎหมายของ ป.ป.ช.โดยตรง เพราะถูกยื่นฟ้องศาลอาญา ในความผิดสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 และทำให้มีประชาชนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก
นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และพล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาลก็ถูก ป.ป.ช.ฟ้องในคดีเดียวกัน
ผู้ที่ต้องรับผิดชอบในคำสั่งสลายการชุมนุมเหตุการณ์นองเลือด 7 ตุลาฯ นั้น เกือบจะลอยนวลอยู่แล้ว เพราะอัยการสั่งไม่ฟ้อง จน ป.ป.ช.ต้องทำหน้าที่ฟ้องเอง และทำให้กรรมการ ป.ป.ช.บางคนต้องถูกคุกคามอย่างหนัก
การแก้กฎหมายเปลี่ยนระเบียบการปฏิบัติหน้าที่ของ ป.ป.ช.โดยจะฟ้องอาญาเฉพาะคดีทุจริต แต่ไม่ฟ้องข้าราชการที่กระทำผิดวินัยร้ายแรงนั้น เป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะจะส่งผลกระทบต่อกระบวนการลงโทษข้าราชการที่กระทำความผิดทางวินัยหรือประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง
เพราะถ้าอัยการใช้ดุลพินิจสั่งไม่ฟ้อง เหมือนคดีสลายการชุมนุม 7 ตุลาฯ และหน่วยงานต้นสังกัดไม่ฟ้องอีก ข้าราชการที่กระทำผิดวินัย จะรอดพ้นจากโทษทางอาญาโดยปริยาย
ส่วนโทษทางวินัย ถ้ายึดบรรทัดฐานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โทษทางวินัยก็ช่วยกันได้ เพราะนายตำรวจที่เกี่ยวข้องคดี 7 ตุลาฯ ได้รับการพิจารณายกโทษและกลับเข้ารับราชการหมด
และตำรวจที่ทำความผิดคดีอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นความผิดร้ายแรงขนาดไหน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มักจะรับกลับเข้ามาสวมเครื่องแบบอีกครั้ง
ถ้าจะโยนให้หน่วยงานต้นสังกัด เป็นผู้ฟ้องอาญาข้าราชการที่มีความผิดทางวินัยร้ายแรง ใครจะรับประกันได้ว่า หน่วยงานต้นสังกัดจะดำเนินการฟ้อง และถ้าไม่ฟ้อง จะมีมาตรการใดลงโทษหน่วยงานนั้น
ดูสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นตัวอย่างก็ได้ กรณีที่ตำรวจมีความผิดวินัยอย่างร้ายแรง เมื่อ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดแล้ว คิดว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะฟ้องอาญาหรือ เพราะขนาดถูกปลดไปแล้ว ยังรับกลับเข้ามาอีก
แนวทางปฏิบัติของ ป.ป.ช.ดีอยู่แล้ว ผลงานของ ป.ป.ช.ที่ผ่านมา เป็นที่ยอมรับของประชาชนอยู่แล้ว จนก้าวขึ้นมาเป็นองค์กรอิสระระดับแนวหน้าที่ประชาชนเชื่อมั่นศรัทธา และเป็นที่พึ่งหวังการเป็นองค์กรที่ซื่อสัตย์ ยุติธรรม ทำงานอย่างตรงไปตรงมา
แต่หลังจากเปลี่ยนกรรมการชุดใหม่ หลังจากพล.ต.อ.วัชรพลก้าวเข้ามาเป็นประธาน ป.ป.ช.ทำท่าจะเสียรังวัด เพราะเริ่มมีกิจกรรมที่ทำให้เกิดข้อสงสัยในความไม่โปร่งใส โดยเฉพาะการเตรียมแก้กฎหมาย เปลี่ยนระเบียบ เพื่อตัดทอนอำนาจตัวเอง ซึ่งถูกวิจารณ์กระหึ่มว่า มีเป้าหมายเพียงเพื่อช่วยใครบางคนเท่านั้น
พล.ต.อ.วัชรพลถูกคาดหมายว่า จะต้องได้เข้ามาเป็นกรรมการ ป.ป.ช.ตั้งแต่ได้รับการเสนอชื่อแล้ว เพราะมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจในรัฐบาล และได้รับการคัดเลือกเข้ามาจริง
เมื่อเป็นกรรมการ ป.ป.ช. มีโผว่า จะได้รับเลือกเข้ามาเป็นประธาน และมีข่าวเรื่องใบสั่งให้ “บล็อกโหวต” ซึ่งกรรมการ ป.ป.ช.ก็ลงมติให้รั้งตำแหน่งประธานจริงๆ
และมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันมาก่อนแล้วว่า พล.ต.อ.วัชรพลถูกส่งเข้ามาเพื่อช่วยเหลือกลุ่มการเมืองที่มีอำนาจ ซึ่งผลักดันให้เป็นประธาน ป.ป.ช.และเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ใกล้เคียงความจริงขึ้นมาอีก
เวลานี้ สังคมคงต้องภาวนาขอใน 2 สิ่ง สิ่งแรกคือ ขอให้ข่าวลือลบๆ เกี่ยวกับพล.ต.อ.วัชรพลไม่เป็นจริง ขอให้ประธาน ป.ป.ช.ไม่ได้เป็นคนของใคร ไม่ได้ทำงานรับใช้ใคร
และภาวนาขอให้ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ใช้มาตรา 44 แก้กฎหมาย ตัดแขนตัดขา ป.ป.ช.เพียงเพื่อช่วยใครบางคนเท่านั้น...สาธุ