ปัญญาพลวัตร
โดย พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
การเมืองช่วงสร้างรัฐธรรมนูญใหม่ทวีความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ ตัวละครจากหลากหลายกลุ่มออกมาแสดงบทบาทอย่างเต็มที่ทั้งสนับสนุนและวิพากษ์วิจารณ์ ตัวละครสำคัญอย่าง นายทักษิณ ชินวัตร ก็ได้กระโดดออกมาเช่นเดียวกันโดยให้สัมภาษณ์สื่อต่างชาติหลายแขนงด้วยกัน เนื้อหาหลักของการสัมภาษณ์พุ่งเป้าไปที่รัฐบาล มีทั้งการวิพากษ์วิจารณ์ การโน้มน้าว และการเสนอเจรจาต่อรอง
ทักษิณ ชินวัตร วิจารณ์คณะทหารผู้ปกครองไทยว่า เป็นพวกที่ขาดวิสัยทัศน์และไร้ความสามารถที่จะแก้ไขเศรษฐกิจซึ่งกำลังอยู่ในภาวะยุ่งเหยิง เขาเน้นว่ารัฐบาลทหารกำลังทำให้เศรษฐกิจไทยเสี่ยงอันตรายยิ่งขึ้น ด้วยการผลักดันร่างรัฐธรรมนูญที่จำกัดอำนาจของรัฐบาลซึ่งมาจากการเลือกตั้ง เพื่อจะรักษาอำนาจของตนเอาไว้ และเพื่อมุ่งเป้ากีดกันเขาออกจากแวดวงการเมือง
สิ่งที่ทักษิณ ชินวัตรวิจารณ์มีเป้าหมายเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลโยตรง เรื่องนี้ผู้ติดตามการเมืองย่อมทราบกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว แต่ที่น่าขบขันคือ ผู้รับผิดชอบทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลประยุทธ์ตอนนี้คือ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ซึ่งเป็นบุคคลที่เป็นแกนหลักของทีมเศรษฐกิจช่วงรัฐบาลทักษิณนั่นเอง การวิจารณ์ว่ารัฐบาลประยุทธ์ไร้วิสัยทัศน์ทางเศรษฐกิจจึงเท่ากับเป็นการวิจารณ์ว่ารัฐบาลตนเองในอดีตก็ไร้วิสัยทัศน์เช่นเดียวกัน
ทักษิณ ชินวัตรมักแสดงอาการหลงตัวเองอย่างรุนแรงว่าตนเองมีวิสัยทัศน์และความสามารถเหนือกว่าคนอื่นๆในประเทศไทย แต่เท่าที่ผมติดตามวิธีคิดของทักษิณและทีมเศรษฐกิจของเขา ทุกอย่างที่รัฐบาลทักษิณและยิ่งลักษณ์ทำในอดีต แทบไม่มีเรื่องใดพอจะนับได้ว่าเป็นเรื่องที่เกิดจากการใช้สมองคิดค้นด้วยตนเอง นโยบายและมาตรการต่างๆล้วนแล้วแต่ลอกเลียนมาจากต่างประเทศแทบทั้งสิ้น
นโยบายประชานิยมก็ลอกเลียนมาจากนักการเมืองของประเทศแถวอเมริกาใต้ กองทุนหมู่บ้านก็ลอกเลียนมาจากนโยบายเงินผันสมัยรัฐบาลคึกฤทธิ์ ปราโมชในอดีต หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ก็ลอกเลียนจากประเทศญี่ปุ่น และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งไม่มีเรื่องใดที่พอจะกล่าวได้ว่าออกมาจากความชาญฉลาดและเปี่ยมด้วยปัญญาของทักษิณและทีมงานแต่อย่างใด
มีบางเรื่องที่พอเรียกว่าเป็นนวัตกรรมในเชิงนโยบายสาธารณะที่ทักษิณและทีมงานคิดขึ้นมา เช่น โครงการอีลีท การ์ด บัตรเทวดา ซึ่งเกิดจากจินตนาการอันบรรเจิดของพวกเขา แต่ปรากฏว่าเมื่อนำไปปฏิบัติกลับล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า ทำเอาฝันสลายไปตามๆ กัน โครงการนี้จึงเป็นสิ่งที่ทักษิณ ชินวัตรไม่อยากพูดถึงมากที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิต หรืออย่างโครงการ “ครัวไทย สู่ครัวโลก” ก็ประสบชะตากรรมเช่นเดียวกัน ส่วน โครงการจำนำข้าว สมัยยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งเกิดจากสมองแบบเฟ้อฝันและตรรกะวิปริตของพวกเขา ก็สร้างความหายนะอย่างรุนแรงต่อระบบการค้าข้าวไทยและเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม
ไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ใดๆ ที่ทำให้เราเห็นได้ว่าทักษิณ ชินวัตรมีวิทัศน์ทางเศรษฐกิจซึ่งจะนำไปสู่การสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนแก่ประเทศ มีแต่หลักฐานมากมายที่แสดงให้เห็นว่า ระหว่างครองอำนาจรัฐ ทักษิณ ชินวัตรได้สร้างและขยายอาณาจักรธุรกิจของตนเอง ครอบครัวและพวกพ้อง อย่างขนานใหญ่ จนสร้างความร่ำรวยอย่างมหาศาลไปตามๆ กัน ขณะที่คนส่วนใหญ่ของประเทศตกอยู่ในความยากจน
ความสามารถของทักษิณ ชินวัตร หากจะมีก็คือ ความสามารถในการสร้างมายาคติและภาพลักษณ์ที่บิดเบือนแต่ผู้ที่ตามเขาไม่ทัน จนทำให้เกิดความลุ่มหลงอย่างงายต่อตัวเขาอย่างไม่ลืมหูลืมตาของคนบางกลุ่ม ทักษิณและกลุ่มพวกพ้องใช้ความสามารถแบบนี้เป็นฐานการเข้าสู่อำนาจทางการเมือง
ความเก่งกาจอีกอย่างของพวกเขาคือ การหาช่องทางใช้อำนาจรัฐในทางที่เอื้อประโยชน์แต่ตนเองและครอบครัว เรื่องนี้ต้องยอมรับว่าทักษิณ ชินวัตรและทีมงานเก่งมาก และกลายเป็นแบบอย่างให้นักการเมืองและข้าราชการจำนวนไม่น้อยทำตาม จนกระทั่งทำให้การคอรัปชั่นในประเทศไทยแพร่ระบาดอย่างไม่เคยมีมาก่อน และยังตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน
ทักษิณ ชินวัตรยังโน้มน้าวเชิงข่มขู่รัฐบาลและประชาชนว่า “ในศตวรรษที่ 21 นี้ ไม่มีใครให้ความเคารพเชื่อถือประเทศที่ปกครองโดยรัฐบาลทหาร และระบอบการปกครองใดที่ไม่เคารพประชาชนจะไม่สามารถอยู่ได้นาน” ประโยคนี้เป็นการส่งข่าวสารไปยังรัฐบาลประยุทธ์โดยตรง
ผมคิดว่า รัฐบาลประยุทธ์ควรรับฟังเอาไว้หน่อยก็ดี เพราะประโยคนี้ผมประเมินว่าทักษิณ ชินวัตร พูดโดยกลั่นมาจากห้วงหัวใจ ซึ่งเขาสรุปมาจากบทเรียนของตนเองในช่วงที่ครองอำนาจรัฐ โดยในอดีตรัฐบาลทักษิณหรือที่เรียกกันว่าระบอบทักษิณเป็นระบอบปกครองที่ไม่เคารพประชาชนแม้แต่น้อย ไม่เคยฟัง ไม่เคยได้ยินเสียงประชาชน ถือเอาเสียงข้างมากและอำนาจเป็นที่ตั้งจนทำให้ต้องล่มสลายทั้งพี่ทั้งน้องมาแล้ว
เมื่อเรื่องนี้เป็นบทเรียนที่ทักษิณ ชินวัตรมีประสบการณ์ตรง แม้การพูดของเขาจะมีโทนเสียงออกมาในแนวข่มขู่อยู่บ้าง รัฐบาลประยุทธ์ก็ไม่ควรจะละเลย และควรนำมาเป็นข้อเตือนใจในการบริหารประเทศ จะได้ไม่เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยดังที่เคยเกิดกับรัฐบาลทักษิณและยิ่งลักษณ์ในอดีต
มาถึงประเด็นสำคัญอีกประเด็นคือ การเสนอเจรจากับรัฐบาล ทักษิณระบุว่า เขาพร้อมเสนอการเจรจาทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นการสนทนาหรือพูดคุย โดยไม่มีการตั้งเงื่อนไขใดๆ คำถามคือทำไมทักษิณ จึงเสนอการเจรจาในช่วงนี้ ทั้งที่ทราบดีอยู่แล้วว่ารัฐบาลไม่ต้องการเจรจาใดๆ กับเขา รัฐบาลประยุทธ์ประเมินค่าทักษิณเป็นเพียงนักโทษหนีคุกเท่านั้น ซึ่งเป็นสถานภาพจริงตามที่เขาเป็นอยู่ในขณะนี้ ทำให้คิดว่าทักษิณมีอะไรในกระเป๋าที่จะนำมาเป็นข้อต่อรองให้เกิดการเจรจาขึ้นมา
ผมคิดว่า ทักษิณคงประเมินสถานการณ์ว่า ช่วงเวลานี้เป็นช่วงจังหวะที่ทำให้เขามีอำนาจในการต่อรองเพิ่มขึ้น เพราะร่างรัฐธรรมนูญกำลังเสร็จและจะมีการนำไปลงประชามติ เขาคงเห็นกระแสการต่อต้านร่างรัฐธรรมนูญที่เกิดขึ้นจากหลายฝ่ายในสังคม ซึ่งจะทำให้ร่างรัฐธรรมนูญประสบปัญหาในการผ่านประชามติมากขึ้น
ขณะเดียวกันเขาก็รู้ดีว่า รัฐบาลประยุทธ์และและ คสช. มีความประสงค์อย่างแรงกล้าและความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะให้ร่างรัฐธรรมนูญผ่านประชามติ เพราะหากร่างรัฐธรรมไม่ผ่านประชามติ จะส่งผลให้ความชอบธรรมของรัฐบาลและคสช. ลดลงอย่างรุนแรง สิ่งที่ตามมาคือจะทำให้เสถียรภาพรัฐบาลสั่นคลอนได้
ผมประเมินว่า ทักษิณและพวกพ้องเชื่อมั่นว่า รัฐธรรมนูญจะผ่านประชามติหรือไม่ ขึ้นอยู่กับพลังทางการเมืองของพวกเขา เหตุผลก็คือพวกเขายังมั่นใจว่า สามารถกุมสภาพมวลชนเสื้อแดงในสังกัดจำนวนนับล้านคนได้อยู่ พวกเขายังเชื่อว่ายังสามารถสั่งให้มวลชนเสื้อแดงลงประชามติไปในทิศทางที่พวกเขากำหนดได้ ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนหรือการปฏิเสธก็ตาม
ด้วยความคิดและความเชื่อเช่นนี้ พวกเขาจึงนำร่างรัฐธรรมนูญมาเป็นตัวประกันในการสร้างอำนาจต่อรองกับรัฐบาล
ประเด็นหลักที่ทักษิณและพวกพ้องต้องการคืออะไร
ผมคิดว่า น่าจะมีอยู่สองเรื่อง เรื่องแรกคือการสร้างหลักประกันว่าพวกเขาต้องมีอำนาจเต็มหลังการเลือกตั้ง และสามารถใช้อำนาจได้อย่างเต็มที่โดยมีการตรวจสอบน้อย ข้อนี้เกี่ยวข้องกับเนื้อหารัฐธรรมนูญ ทั้งในแง่ระบบการเลือกตั้ง อำนาจของฝ่ายบริหาร อำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจตรวจสอบขององค์การอิสระ
ระบบเลือกตั้งที่พวกเขาต้องการคือ ระบบการเลือกตั้งที่ทำให้พรรคการเมืองชนะการเลือกตั้งโดยได้เสียงข้างมากอย่างเด็ดขาด อันได้แก่ระบบเลือกตั้งแบบ “เขตเดียว เบอร์เดียว” ภายใต้ระบบการเลือกตั้งแบบนี้โอกาสที่ทักษิณและพวกพ้องจะเข้ามาสู่อำนาจทางการเมืองมีสูงยิ่ง เพราะว่าพวกเขาสามารถกุมสภาพความคิดของผู้เลือกตั้งจำนวนมากในระดับเขตเลือกตั้งได้ และมีความพร้อมเรื่องกลไกการจัดตั้งและจัดการหัวคะแนนเพื่อระดมคนให้ไปเลือกตั้งตามที่พวกเขาต้องการ
แน่นอนว่า พวกเขายังต้องการรัฐธรรมนูญที่ให้ฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติมีอำนาจมาก และถูกตรวจสอบน้อยที่สุด เพื่อทำให้พวกเขามีความสะดวกในการใช้อำนาจภายหลังการเลือกตั้ง ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่ต้องการให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง ศาลรัฐธรรมนูญ และองค์การอิสระอื่นๆมีอำนาจในการตรวจสอบมากนัก กล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ พวกเขาประสงค์ให้องค์การตรวจสอบทั้งหลายไร้ประสิทธิภาพนั่นเอง
ส่วนเรื่องที่สองน่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคนในครอบครัวของตนเอง นั่นคือการให้ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวหลุดพ้นคดีทุจริตจำนำข้าว และพานทองแท้ ชินวัตร หลุดพ้นจากคดีที่เกี่ยวข้องพัวพันกับการทุจริตต่างๆ ทั้งหมด
หากมีการเจรจาระหว่างทักษิณ กับคนในรัฐบาลเกิดขึ้นจริง ผมคิดว่าข้อเสนอทั้งสองจะถูกหยิบยกมาเป็นข้อต่อรองกับรัฐบาลเพื่อแลกกับการสั่งมวลชนเสื้อแดงให้ลงประชามติผ่านร่างรัฐธรรมนูญ แต่หากรัฐบาลไม่ตอบสนอง ผมคิดว่าทักษิณและพวกพ้องคงจะสั่งให้นักการเมืองและมวลชนในสังกัดลุยอย่างเต็มที่เพื่อทำให้ร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติ
การเคลื่อนไหวทางการเมืองของทักษิณ ชินวัตรในช่วงนี้จึงน่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง รวมทั้งท่าทีของรัฐบาลว่าจะออกมาอย่างไร แม้ว่ารัฐบาลประกาศในที่สาธารณะแล้วว่า จะไม่มีการเจรจาใดๆกับทักษิณ แต่การเมืองไทยนั้นมีเรื่องราวจำนวนมากเกิดขึ้นอย่างสอดคล้องกันระหว่างการประกาศต่อสาธารณะกับเรื่องที่ทำจริงหรือเกิดขึ้นจริง
ก็ต้องจับตาดูกันอย่างใกล้ชิดต่อไป เพราะเรื่องนี้มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการกำหนดอนาคตทางการเมืองของประเทศไทย