xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ลึกจากใจ “บิ๊กตู่” กรูคือประเทศไทย น่าปล่อย “วีระ” เน่าตายคาคุกเขมร?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ให้การต้อนรับสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ในโอกาสเดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของรัฐบาล ที่สนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -เห็นทำหน้าแย้มยิ้มและบูดบึ้งเลือดร้อนในบางอารมณ์แต่ไม่นึกว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ในฐานะผู้นำประเทศ จะทวงบุญทวงคุณคนไทยตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่ชื่อ วีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน (คปต.) ซึ่งลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อปกป้องแผ่นดินไทย ถึงขนาดหลุดความรู้สึกจากก้นบึ้งลึกสุดใจซึ่งประชาชนคนไทยฟังแล้วหนาวเหน็บถึงขั้วหัวใจ “....อย่าลืมว่าผมเป็นคนไปขอให้เขาออกมาจากคุก ไม่ได้มีข้อแลกเปลี่ยนอะไรสักอย่าง....มันน่าปล่อยให้เน่าตายนะไอ้นี่”

ได้ฟังวาจาจากท่านผู้นำแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่านี่หรือคือคำที่ผู้นำประเทศควรพูดกับประชาชน โดยเฉพาะประชาชนที่ทั้งชีวิตนี้อุทิศตัวทำคุณประโยชน์ให้กับบ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการตรวจสอบทุจริตคอร์รัปชั่น อย่างกรณีที่ทำให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลายเป็นนายทักษิณ และนช.หนีคดีในเวลานี้จากกรณีคดีที่ดินรัชดาฯ และทำให้พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ อดีตรมว.กระทรวงมหาดไทย ต้องเว้นวรรคทางการเมือง 5 ปี จากการยื่นบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) หรือความหาญกล้าบ้าบิ่นลงพื้นที่พิสูจน์เขตแดนไทย-กัมพูชา เพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทยจนถูกทหารเขมรรวบเข้าคุกก็ยังไม่ระย่นย่อ

ยิ่งเมื่อหวนนึกถึงเพลง “เพราะเธอคือประเทศไทย” ที่ พล.อ.ประยุทธ์สู้อุตส่าห์มีอารมณ์ศิลปินเขียนเพลงๆ นี้ขึ้นมาเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับคนไทยทั้งประเทศยิ่งน่าหดหู่ใจไม่น้อย เพราะเนื้อเพลงที่ออกมาจากมันสมองของท่านผู้นำ คสช.นั้น เป็นไปในท่วงทำนองคร่ำครวญและขอประชาชนให้ ความร่วมมือ

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับกรณีของนายวีระช่างเป็นไปในทิศทางที่ตรงกันข้าม เสมือนหนึ่ง พล.อ.ประยุทธ์แสดงตัวว่า “ตนเองคือประเทศไทย” ใครที่วิพากษ์วิจารณ์ มีแนวความคิดที่ไม่ตรงกัน กลายเป็นคนที่ขัดขวางความเจริญของประเทศชาติไปเสียอย่างนั้น

การที่ พล.อ.ประยุทธ์ตู่ฉุนเฉียวถึงขนาดทวงบุญคุณและกล่าวคำว่า “มันน่าปล่อยให้เน่าตายนะไอ้นี่” ก็ยิ่งทำให้คิดว่า ลุงตู่ไม่ได้คิดอย่างที่แต่งเพลงออกมาประชาชนเลยแม้แต่น้อย

คำถามคือลุงตู่ได้ฟังเสียงของประชาชนบ้างหรือไม่??

ความจริงแล้วแทนที่จะทวงบุญคุณ นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และประชาชนคนไทย ควรจะขอบคุณนายวีระ ถึงจะถูกต้องเพราะแต่ละเรื่องที่นายวีระ กระทำลงไปก็เพื่อชาติบ้านเมืองโดยไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน มีแต่เสี่ยงคุกตะราง เสี่ยงชีวิต และถึงจะลำบากยากแค้นถูกกดดันสารพัดนายวีระก็ยังไม่ท้อถอย

และถ้าจะว่าไปแล้วหากคณะผู้นำประเทศและคนไทยทุกหมู่เหล่าประพฤติปฏิบัติตนอย่างเช่นนายวีระ ที่ยึดถือเอาประโยชน์ของชาติบ้านเมืองเป็นที่หนึ่ง ประโยชน์ส่วนตนเป็นที่สอง ชาติบ้านเมืองก็คงรุดหน้าไปไกลมากกว่านี้แล้ว

อันที่จริง การเดินทางมาเยือนไทยของสมเด็จฯ ฮุน เซน ในรอบสิบปีคราวนี้เพื่อสานสัมพันธ์อันชื่นมื่นในระดับผู้นำประเทศ ก็ไม่เห็นว่าจะมีความจำเป็นแต่น้อยที่รัฐบาลทหารจะต้องแสดงอาการกดดัน คุกคาม ครอบครัวนายวีระ เพื่อปรามไม่ให้เขาเคลื่อนไหว

ไม่ว่าจะเป็นการสร้างแรงกดดันจาก “คำสั่งนาย”หรือผู้ปฏิบัติงานทำเกินหน้าที่เพื่อเอาใจนายก็ไม่ควรเกิดขึ้นกับนายวีระ ทั้งสิ้น เมื่อเทียบกับการเคลื่อนไหวของนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. ที่ดูแล้ว คณะ คสช. ปฏิบัติด้วยดีขนาด พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.กระทรวงยุติธรรม ให้เกียรติเชิญมาพูดคุยทำความเข้าใจ

เหตุไฉน ถึงไม่ปฏิบัตินายวีระ เหมือนที่ปฏิบัติกับคู่ดูโอแกนนำ นปช. “ตู่-เต้น” คสช.กลับทำเป็นเรื่องสองมาตรฐาน เป็นตรรกะวิบัติซึ่งดูไม่ต่างไปจากกรณีของ พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีค้ามนุษย์โรฮีนจา ที่ทำงานสนองนโยบายรัฐบาลชนิดเดิมพันด้วยชีวิตแต่สุดท้ายนอกจากจะไม่ได้รับการปูนบำเหน็จกลับยังต้องหนีหัวซุกหัวซุนขอลี้ภัยไปอาศัยอยู่ในต่างประเทศเพราะกลุ่มผู้มีอิทธิพลหัวขบวนการค้ามนุษย์ทั้งสีเขียวสีกากีไม่อยากเห็นเขามีชีวิตอยู่ต่อไป

สำหรับกรณีของนายวีระ จะว่าไปแล้วก็ไม่ได้มีอะไรหนักหนาเหนือบ่ากว่าแรงถึงกับคุยกันไม่ได้ เว้นเสียแต่ว่า คสช. ไม่เคยวางใจนายวีระ และที่ช่วยออกมาจากคุกเขมร ในช่วงที่ยึดอำนาจใหม่ๆ ก็เป็นไปเพื่อเรียกคะแนนนิยมของคณะรัฐประหารเป็นเป้าหมายหลัก เพื่อแสดงว่าไม่มีใครทำได้นอกจากทหาร เช่นเดียวกันกับที่พล.อ.ประยุทธ์ มักอธิบายต่อสังคมถึงเหตุผลในการยึดอำนาจว่าทหารมีความจำเป็นต้องยึดอำนาจเพื่อไม่ให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย และมีแต่ทหารเท่านั้นที่ทำได้

กล่าวสำหรับการเดินทางมาเยือนไทยของสมเด็จฯ ฮุนเซน คราวนี้ นายวีระ แค่ลองแพลมๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะเรียกแขกมาถึงหน้าบ้านได้อย่างรวดเร็วทันใจ เพราะทันทีที่นายวีระโพสต์เฟชบุ๊ก “Veera Somkwamkid” เมื่อวันที่17 ธันวาคม 2558 ว่า “แจ้งทุกหน่วยงาน ในระหว่างวันที่ 18-19 ธ.ค. 58ผมอาจจะไปประท้วงการมาเยือนของฮุน เซนแต่เพียงผู้เดียว” เท่านั้นแหละ เจ้าหน้าที่ทหารกว่า 10 นาย พร้อมรถฮัมวี่ 1 คัน และรถกระบะ 1 คัน ก็มาปิดรั้วหน้าบ้านย่านนวธานี ไม่ให้ออกจากบ้านตั้งแต่เวลา 24.00 น.

เช้ารุ่งขึ้น นายวีระ ก็เลยรายงานแฟนเพจอัปเดตสถานการณ์ด้วยภาพและข้อความเปรียบเทียบการทำหน้าที่ของตัวเองในกรณีเรียกร้องแทนชาวบ้านหนองจานหลายราย(บริเวณหลักเขตแดนไทย-กัมพูชา หลักเขตที่ 46-48) ด้วยถ้อยคำเผ็ดร้อนตามสไตล์

ข้อความจากเฟซบุ๊ก “Veera Somkwamkid” เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2558 ระบุว่า “ด่วน ทหารกว่าสิบคนมาปิดล้อมบ้านผมที่นวธานี ตั้งแต่หลังเที่ยงคืนจนถึงเช้า บอกนายสั่งมาให้ทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ผมไปประท้วงฮุน เซน นายมันเชิญฮุน เซนมาเป็นแขกของมัน ไม่ใช่แขกของผม ผมมีสิทธิไม่ต้อนรับไอ้คนที่มาฉุดคนในบ้านไปข่มขืนจนยับเยิน แล้วมันยังจะมาเยาะเย้ยถึงบ้าน ไอ้คนในบ้านผมที่เชิญมันมาก็เลวมาก คนข้างบ้านมาข่มขืนคนในบ้าน แทนที่มันจะขับไล่ออกไป มันกลับยืนดูเฉยๆ ปล่อยให้คนร้ายย่ำยีคนในบ้านของเรา ทุกวันนี้ก็ไม่เคยใส่ใจไยดีให้ความช่วยเหลือแก่คนที่ถูกกระทำย่ำยีเลย ได้แต่หลอกว่าจะช่วยหลอกให้มีความหวัง หลอกซ้ำซาก วันดีคืนดีกลับเชิญโจรมาถึงบ้าน มาตกลงแบ่งปันผลประโยชน์ซึ่งส่วนใหญ่คนในประเทศไทยจะได้กี่ %ผลประโยชน์ส่วนใหญ่จะตกแก่นายทุน คนส่วนใหญ่ของประเทศได้แค่เศษเดนที่เขาแบ่งให้เพียงน้อยนิด ดังนั้น ใครยินดีต้อนรับฮุน เซน ก็เป็นสิทธิเสรีภาพของคุณ แต่ผมก็มีสิทธิมีเสรีภาพที่จะไม่ต้อนรับไอ้โจรชั่ว”

ค่ำวันเดียวกัน นายวีระ ยังจัดอีกดอกโดยโพสต์พร้อมนำเอกสาร ที่ระบุว่าเป็นเรื่องเก่าที่เคยนำมาเผยแพร่เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว(4 ต.ค. 57 ) บทความเรื่อง “ผลประโยชน์มหาศาลของแหล่งพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา....จะสำเร็จในรัฐบาลประยุทธ์ ? ” มีใจความว่า ฮุน เซน มาพบประยุทธ์ ระหว่างวันที่ 18-19 ธ.ค.58 เพื่อตกลงเรื่องผลประโยชน์เหล่านี้ใช่ไหม ใครรู้ช่วยตอบที

จากนั้นเรื่องก็บานปลายใหญ่โตมีทหารบุกถึงบ้านภรรยานายวีระ ที่ลำปาง โดยทหารอ้างเหตุว่านายวีระ ไม่ให้ความร่วมมือ จึงต้องทำเช่นนั้น นายวีระ จึงจัดให้อีกดอกตอบโต้ทันที โดยโพสฯ ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า “คสช.ให้ข่าวต่อสื่อมวลชนขอความเป็นธรรม ที่ พ.อ.เมธา ณ พิกุล นายทหาร จ.ลำปาง พร้อมทหารติดตามบุกรุกเข้าไปในบ้านภรรยาของตนที่ จ.ลำปาง โดยไม่มีการติดต่อขอเข้าพบมาก่อนแต่อย่างใดนั้น ตนได้เชิญให้ออกจากบ้านภรรยาและให้เบอร์มือถือตนแก่ พ.อ.เมธา เพื่อให้รายงานนายว่าใครต้องการคุยกับตนให้ติดต่อมาได้ แต่อย่าใช้อำนาจบุกรุกเข้ามาในบ้านเช่นนี้ แต่ไม่เห็นมีนายทหารคนใดติดต่อเข้ามาหาเพื่อขอเข้าพบอีกเลย ในขณะที่มีตำรวจ จ.ลำปางนับสิบนายพร้อมรถหลายคันบุกไปถ่ายรูปที่บ้านแม่ภรรยาตนซึ่งอยู่อีกหลังหนึ่งจนสร้างความแตกตื่นไปทั้งหมู่บ้าน พ.อ.เมธาเขารายงานแหล่งข่าวระดับสูงของ คสช.เช่นนี้หรือไม่ ตนไม่ให้ความร่วมมืออย่างไร

“ที่อ้างว่าเป็นแหล่งข่าวระดับสูงของ คสช.นั้น คือผู้ใด ทำไมไม่กล้าเปิดเผยตัว คุณฟังลูกน้องรายงาน คุณไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ คุณได้แต่สั่งลูกน้องไปทำงาน เวลาผมบอกให้ลูกน้องคุณรายงานคุณว่าผมต้องการคุยกับคนที่สั่งเขามา หรือคนที่มีอำนาจตัดสินใจ และผมถามว่านายพวกคุณคือใครที่สั่งให้คุณมาทำเช่นนี้ นายทหารทั้งหลายไม่ว่า ร.อ.สมภพ ร.อ.มนัส จากกองกำลังบูรพา ที่ไปพบผมที่บ้านนวธานี และในตอนเช้าของวันศุกร์ที่ 18 ธ.ค. 58 ร.อ.สมภพ ไปพบผมที่ห้องเรียนหลักสูตรเสริมสร้างสังคมสันติสุข สถาบันพระปกเกล้า ผมไม่เคยหลบหน้าทหารคนใด ทหารคนใดติดต่อขอพบผมให้พบเสมอ ผมมีหลักฐานพยานบุคคลยืนยันได้”

“การพยายามให้ข่าวบิดเบือนว่าผมไม่ยอมรับฟังเหตุผลของทหารนั้น ขอถาม คสช.ว่า ร.อ.สมภพ เขารายงานคุณเช่นนั้นหรือ ผมบอกเหตุผลที่จะไปทำเนียบให้เขารายงานผู้มีอำนาจเขาได้รายงานหรือไม่ ผมเสียเวลารอให้ ร.อ.สมภพ ประสานนายของเขาเพื่อตัดสินใจตามที่ผมมีข้อเสนอ แต่ผมถูกถ่วงเวลา และยังใช้กำลังกีดกันผมไม่ให้ขึ้นรถส่วนตัวของผมเพื่อเดินทางกลับบ้าน การที่ผมเดินทางออกจาก กทม.มายังบ้านภรรยาผมที่ จ.ลำปาง ไม่มีหลักฐานอะไรว่าผมได้ไปพบ ฮุน เซน ที่ทำเนียบรัฐบาล มีหลักฐานอะไรว่าผมได้ไปสร้างความวุ่นวายอะไรให้กับใคร ผมให้ความร่วมมือกับรัฐบาลแล้ว ยังตามไปบุกรุกบ้านภรรยาผมโดยผิดกฎหมายอีก ผมอยากถาม คสช.ว่าคุณประกาศใช้ ม.44 กับผมหรือยัง เพราะไม่เห็นลูกน้องคุณถือคำสั่งตาม ม.44ไปแจ้งกับผมแต่อย่างใดว่ามีสิทธิบุกรุกเข้าบ้านภรรยาผมได้

“คุณประยุทธ์ ก่อนคุณตั้งรัฐบาล คสช.ประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวซึ่งทหารตำรวจทุกคนต้องเคารพเช่นกัน ผมยังไม่ได้มีพฤติการณ์เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ หรือกระทำการละเมิดต่อสถาบันกษัตริย์แต่อย่างใด คสช.ไม่สามารถใช้ ม.44มาควบคุมตัวผมแต่อย่างใด การที่ คสช.ออกคำสั่งให้ทหารมาควบคุมตัวผมนั้น ทั้งที่ผมไม่ได้อยู่ในพื้นที่ กทม.แล้ว อย่างนี้เป็นการคุกคามผมหรือไม่ การกล่าวหาว่าผมไม่ยินยอมรับฟัง ไม่ให้ความร่วมมือนั้น คสช.หาหลักฐานและเหตุผลมายืนยันด้วย การที่ผมไม่ยอมให้ทหารมาควบคุมตัวผม เนื่องจากผมไม่เชื่อมั่นความปลอดภัยในชีวิตหากต้องไปอยู่ในการควบคุมของทหาร การเสียชีวิตของ พ.ต.ต.ปรากรม และหมอหยอง ซึ่งเสียชีวิตในขณะอยู่ในการควบคุมของทหารเป็นสิ่งที่ยืนยันได้”

“แหล่งข่าว คสช. คุณตอบผมหน่อย ทำไมการให้ข่าวของคุณ คุณไม่พูดให้หมดว่า พ.อ.เมธากับทหารติดตามบุกรุกเข้าไปในบ้านภรรยาผมที่ จ.ลำปาง ใช้อำนาจตาม ม.44หรือไม่ ใช้อำนาจตามกฎหมายข้อใด การที่ผมเชิญให้ออกโดยดีนั้น ทำไมไม่พูดให้หมด การที่คุณให้ข่าวเพื่อขอความเป็นธรรมให้ คสช.แล้วการที่คุณใช้ทหารตำรวจมากระทำกับผมและครอบครัวทั้งที่บ้านนวธานีที่ กทม.และที่บ้านภรรยาที่ จ.ลำปาง ผมจะขอความเป็นธรรมจากผู้ใด”

“ผมเป็นลูกผู้ชายพอ ถ้า คสช.มีหลักฐานว่า พ.อ.เมธาไม่ได้บุกรุกบ้านภรรยาผม และมีหลักฐานว่าผมไม่ให้ความร่วมมือและไปกระทำการที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ จนต้องให้ทหารมาควบคุมตัวผม คุณเอาหลักฐานมาเปิดเผยด้วย คุณทำให้ผมและครอบครัวเดือดร้อนเสียหาย ความรับผิดชอบของคุณมีบ้างหรือไม่ ยังบังอาจมาให้ข่าวบิดเบือนใส่ความว่าผมไม่ให้ความร่วมมือ ประชาชนที่ คสช.ขอความเป็นธรรมท่านได้ฟังความสองด้านแล้วท่านจะเลือกเชื่อฝ่ายใดก็แล้วแต่การตัดสินใจของทุกท่านครับ”

“แหล่งข่าวระดับสูง คสช.” ซึ่งประสงค์ออกความเห็นแต่ไม่ประสงค์จะออกนาม ได้ยืมมือสื่อบางฉบับ อธิบายว่า เรื่องที่นายวีระ ระบุว่าถูกทหารบุกรุกและคุกคามบ้านพักส่วนตัว ภายหลังจะไปประท้วงการมาเยือนของสมเด็จฯฮุนเซน นั้น ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานด้านความมั่นคง และ คสช.ได้ติดต่อนายวีระเพื่อต้องการเข้าไปพูดคุยทำความเข้าใจ โดยนายวีระได้นัดพบกับทางเจ้าหน้าที่ที่ศูนย์รายการฯ ถ.แจ้งวัฒนะ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้พยายามพูดคุยทำความเข้าใจ ว่า การมาเยือนของสมเด็จฯฮุนเซน เป็นงานประชุมระหว่างประเทศ ถือว่าเป็นหน้าตาของประเทศ แต่นายวีระไม่ยินยอมรับฟัง ก่อนที่จะขอเข้าห้องน้ำ และหลบหนีเจ้าหน้าที่ไป ทางเจ้าหน้าที่ต้องไปตามนายวีระที่บ้านพักภายใน กทม. แต่ก็ไม่พบ จึงประสานให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ จ.ลำปาง ช่วยติดตามนายวีระ เพราะบ้านพักของภรรยานายวีระอยู่ที่จ.ลำปาง เนื่องจากไม่ทราบว่านายวีระจะหนีไปอยู่ที่ไหน

“คสช.ยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ได้เข้าพูดคุยกับภรรยาของนายวีระอย่างสุภาพ และเปิดเผยทุกอย่างไม่ได้ปกปิดใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ นายวีระ กลับมาโพสต์ข้อความลงโซเชียลมีเดียในเชิงต่อว่าเจ้าหน้าที่ ดังนั้น จึงขอความเป็นธรรมกับทางเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ด้วย อีกทั้งเจ้าหน้าที่ก็ยินยอมให้บันทึกภาพและจดชื่อ พร้อมกับแสดงตนถูกต้องทุกอย่าง เพื่อขอพูดคุย เพราะหากนายวีระอยู่ที่บ้านภรรยา ทางเจ้าหน้าที่ก็จะได้สบายใจ และเดินทางกลับหน่วยที่ตั้งเท่านั้น”

ตอบโต้กันไปมาพอหอมปากหอมคอ แต่เสียงที่เข้มแบบนายทหารใหญ่ก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ตอบคำถามผู้สื่อข่าวว่า"ทำไม แล้วการที่แขกบ้าน แขกเมืองเขาเข้ามาร่วมมือ มาประชุมอย่างเป็นทางการ แล้วเขาไปด่าอยู่ที่บ้านแล้วจะออกมา ควรจะให้ออกมาไหม อย่าลืมว่าผมเป็นคนไปขอให้เขาออกมาจากคุก ไม่ได้มีข้อแลกเปลี่ยนอะไรสักอย่าง ออกมาได้ก็เอาล่ะ พูดว่าเขาไปตกลงอะไรกันไว้ พลังงานในทะเล มันน่าปล่อยให้เน่าตายนะไอ้นี่"

เมื่อถามย้ำว่า ที่บอกว่าเป็นคนขอให้เขาออกมาจากคุกตั้งแต่สมัยเป็น ผบ.ทบ. ใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวย้ำว่า "ก็ผมนี่แหละเป็นคนขอเขาออกจากคุก ซึ่งวิธีการดำเนินการต้องทูลขอเป็นขั้นตอนจากเจ้านโรดมสีหมุนี ผมไม่ขอแล้วใครจะขอ ใครจะทำให้ รัฐบาลไหนทำให้บ้าง แล้วออกมาทำอะไรกัน ทำแล้วได้อะไรหรือเปล่า ก็ไม่มี ขนาดใจสื่อยังไม่รู้ว่าได้หรือเปล่าเลย”

นายวีระ ก็แฉกลับแบบเอาคืนว่า “พล.อ.ประยุทธ์ครับ ผมไม่ได้รู้สึกโกรธหรือรู้สึกเสียใจที่คุณให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนในลักษณะเหมือนทวงบุญคุณกับผมว่า มันน่าปล่อยให้(ผม)เน่าตาย(ในคุก)นะ บอกตรงๆ มีนายทหารชั้นผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเคยบอกกับผมว่า ประยุทธ์และประวิตรเขาไม่อยากช่วยผมให้ออกจากคุกกัมพูชา ถ้าพวกเขาอยากช่วยผมจริง เขาต้องช่วยผมทันทีตั้งแต่วันที่ผมและคนไทยอีก 6 คนถูกทางการกัมพูชาจับบนแผ่นดินไทยบริเวณบ้านหนองจาน เมื่อวันที่ 29 ธ.ค.2553ในขณะนั้น พล.อ.ประวิตร ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และยังควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ส่วนพล.อ.ประยุทธ์ ในวันนั้นดำรงตำแหน่งผบ.ทบ.

“มาวันนี้ (จันทร์ที่ 21 ธ.ค.58)คุณได้เปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงที่มีต่อผม จริงๆแล้วคุณไม่ต้องการช่วยผม คุณต้องการให้ผมตายคาคุก”

งานนี้ พี่ใหญ่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ออกมาแก้ต่างด้วยว่า กรณีนายวีระ ออกมาระบุว่า ตนเองกับพล.อ.ประยุทธ์ ไม่ตั้งใจให้ความช่วยเหลือให้ตนพ้นจากคุกกัมพูชา ตั้งแต่ปี 2553 ว่าตนไม่เข้าใจว่า การช่วยเหลือกับความตั้งใจ ต่างกันอย่างไร เพราะตนช่วยเหลือเขา และตนพยายามที่จะช่วยตั้งแต่ปี 53 ซึ่งก็ช่วยได้หลายคน แต่ก็มี น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ที่ไม่ยอมออกมา จะขอถูกควบคุมตัวด้วยกัน

ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ผลพวงจากการเคลื่อนไหวของนายวีระ ทำให้นายกรัฐมนตรี ต้องออกมาเคลียร์โดยเฉพาะประเด็นดีลเรื่องพลังงาน โดยย้ำว่า ไม่มี ไม่ต้องกังวลเรื่องผลประโยชน์บนพื้นที่ทับซ้อนไม่ได้ตกลงไม่ได้คุยกันขอให้เข้าใจ

“ขอทุกคนอย่ากังวลเรื่องของข้อตกลงในแหล่งพลังงานบนพื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทยกัมพูชา เพราะในการประชุมครั้งนี้ไม่ได้มีการตกลงกันแต่อย่างใด แต่เป็นเพียงการตกลงความร่วมมือตามโรดแมปว่าจะทำกันไปในทิศทางใดในความร่วมมือทั้งทางบกและทางทะเลว่าในส่วนใดที่ร่วมมือกันได้ก็จะเดินหน้าทำไปก่อน แต่หากพูดถึงเรื่องพิพาททางดินแดน ความร่วมมือของทั้งสองประเทศก็จะร่วมมือกันไม่ได้ รอไปอีก 200ปีก็ไม่เกิดความร่วมมือ ดังนั้นขอให้ทุกคนเข้าใจ โดยเฉพาะผู้ที่ต่อต้านเพราะจะนำมาสู่ปัญหาในอนาคต”

ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตาก็คือว่า โรดแมปความร่วมมือทั้งทางบกและทางทะเลหลังจากที่สมเด็จฯฮุนเซน กลับไปนี่แหละ จะออกมาในทิศทางไหน จะเดินหน้าอย่างไร ส่วนไหนที่จะร่วมมือกัน และร่วมในลักษณะไหน เหล่านี้จะไปในทิศทางที่อยากจะขังนายวีระ ให้ตายคาคุกเพื่อไม่ให้มีใครลุกขึ้นมาขวางหรือไม่ ต้องติดตามกันต่อไป



นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่นเมื่อครั้งที่ถูกจับกุมและถูกคุมขังในคุกประเทศกัมพูชา
กำลังโหลดความคิดเห็น