ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ที่สุดแล้ว พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตหัวพนักพนักงานสอบสวนคดีค้ามนุษย์โรฮีนจา ก็ตัดสินใจลี้ภัยหนีอันตรายไปอยู่ต่างประเทศ ข่าวนี้เกิดขึ้นมาพร้อมๆ กับสถานการณ์ไม่สู้ดีของรัฐบาลในหลายๆ เรื่องเช่นกรณีอุทยานราชภักดิ์ หรือการเคลื่อนไหวของมวลชนที่มีความคิดเห็นทางการเมืองต่างกัน
กรณีของพล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ ขอลำดับเหตุการณ์ย้อนหลังสักนิดว่า หลังลงมือทำคดีค้ามนุษย์โรฮีนจา อย่างตรงไปตรงมามีการจับกุมผู้ต้องหาเกือบ 100 ราย ในจำนวนนั้นมีนายทหารยศ พล.ท. ตำรวจ นักการเมืองท้องถิ่น และพ่อค้าคหบดี ซึ่งทราบกันดีว่า เป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ แต่ระหว่างการแต่งตั้งโยกย้ายประจำปีกลับมีชื่อ พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ ถูกโยกไปประจำ 3 จังหวัดชายแดนใต้ จนเกิดปัญหาออกมาร้องเรียนต่อสื่อมวลชนในเรื่องความชอบธรรม เหมาะสมและเป็นการ “ล็อกเป้า” ส่งไปเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายในเขตอิทธิพลของกลุ่มผู้ต้องหา
เรื่องราวของ พล.ต.ต.ปวีณ ถูกสื่อทุกแขนงนำเสนออย่างละเอียดในทุกแง่มุมจนเกิดกระแสสังคมที่ไม่เห็นด้วย และต้องการให้ผู้เกี่ยวข้องมีคำตอบที่ชัดเจน สมเหตุสมผล แต่ดูเหมือนว่าผู้มีอำนาจกลับมองการเคลื่อนไหวของ พล.ต.ต.ปวีณ มีปัญหากับการปกครอง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ออกมาปรามด้วยความผิดทางวินัย
ขณะที่สังคมและสื่อทุกแขนงให้ความสนใจมาก และหวังว่าปัญหาดังกล่าวจะถูกคลี่คลายได้โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) แต่กลายเป็นเรื่องต่างมุมมองกับกระแสสังคม เมื่อผู้นำประเทศมองประเด็นความบกพร่องทางวินัยเสริมท่าทีของ ผบ.ตร.เข้าไปด้วย โดยระบุอย่างชัดเจนว่า หากผลการสอบสวนไม่พบว่ามีผู้ใดกลั่นแกล้ง พล.ต.ต.ปวีณ อาจมีความผิด 2 เด้ง
เวลาต่อมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อนุมัติให้ พล.ต.ต.ปวีณ ลาออกโดยไม่ขัดข้องใดๆ ทั้งสิ้นเป็นอันว่าชีวิตราชการที่สร้างสมมาตลอด 30 กว่าปีจบสิ้นด้วยเหตุการณ์ที่ไม่ควรจะเกิด
สำหรับการเคลื่อนไหวของนายตำรวจผู้นี้ก่อนตกเป็นข่าวขอลี้ภัยในประเทศออสเตรเลีย นั้นได้ส่งข้อความไลน์กลุ่ม แสดงความขอบคุณประชาชนคนไทยที่ห่วงใยพร้อมสรุปผลงานคดีฟอกเงิน “คดีประวัติศาสตร์โลก” อันสืบเนื่องจากขบวนการค้ามนุษย์ของ สภ.ปาดังเบซาร์ ที่ 148/2558 มีรายละเอียดว่าสำนวนมีทั้งส้น 699 แฟ้ม เอกสาร 271,300 แผ่น ผู้ต้องหา 155 คน เสียชีวิต 2 รายคือ นางจันทรา ปั้งซวด และ พ.อ.กัณตภณ เจริญพร ออกหมายจับ 153 คน จับกุมได้ 55 คน มอบตัว 33 คน อายัด 3 คนรวมที่ได้ตัว 91 คน หลบหนี 62 คน
เมื่อสำนวนคดีค้ามนุษย์แล้ว พงส.ชุดเดิมจะลุยต่อในฐานฟอกเงิน และขั้นตนต่อไป ปปง.จะไล่ติดตามยึดทรัพย์เป็นการปิดท้าย เป็นการทำงานอย่างตรงไปตรงมาเพื่อขจัดขบวนการค้ามนุษย์ให้สิ้นซาก
ในคดีฟอกเงิน (231/2558) มีผู้ต้องหา 81 คน เสียชีวิต 2 คน คือนางจันทรา ปั้งชวด และพ.อ.กัณตภณ เจริญพร จับกุมได้ 13 คน แจ้งข้อหาผู้ต้องหาคดีค้ามนุษย์ที่อยู่ในเรือนจำนาทวี 25 คน มอบตัว 1 คน อายัด 1 คน รวมได้ตัว 40 คน หลบหนี 41 คน
พนักงานสอบสวนเกือบ 100 คนทำงานหามรุ่งหามค่ำ รวบรวมพยานหลักฐานนานถึง 5 เดือน
ขอบคุณพี่น้องชาวไทยที่ส่งกำลังใจ ขอบคุณสื่อมวลชนที่ติดตามรายงานให้ประชาคมโลกได้รับรู้......ทุกท่านขออย่าได้ห่วง พวกเราหายเหนื่อยแล้วเพราะสิ่งที่เราทำก็เพื่อผลประโยชน์ของคนไทยทั้งแผ่นดิน
ต่อนี้ไปพวกเราจะขอเบิกค่าทำสำนวนตามสิทธิ์ 1,500 บาท ก๊ากกกก !!!!
.....ข้อความดังกล่าวสะท้อนความรู้สึกหลากหลาย ทั้งภูมิใจและขมขื่น ถูกส่งมาในไลน์กลุ่มพนักงานสอบสวนคดีค้ามนุษย์ และประชาชนที่ติดตามลงานของ พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมาก่อน ตามด้วยข่าว ผบ.ตร. ลงนามอนุมัติให้ลาออก
ปรากฏการณ์ของนายตำรวจผู้หาญกล้าออกมาอาสาจุดไม้ขีดไฟยังไม่จบลงง่ายๆ ล่าสุดเมื่อ 10 ธ.ค. 58 พล.ต.ต.ปวีณ ตกเป็นข่าวขอลี้ภัยในประเทศออสเตรเลีย พร้อมกับคำสัมภาษณ์ยืนยันปัญหาค้ามนุษย์ในประเทศไทยนั้น มีผู้มีอำนาจเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยทั้งในส่วนของทหาร - ตำรวจ โดยอดีตหัวหน้าพนักงานสอบสวน แสดงความเห็นว่าหากไม่มีบุคคลเหล่านี้ร่วมรู้เห็นเป็นใจค่ายกักกันชาวโรฮีงจาซึ่งมีมากเป็น 100 คนนั้น จะสามารถอยู่ได้หลายปีโดยไม่มีใครไปแตะต้องได้อย่างไร
นายตำรวจคนเดียวกันยังสำทับว่า ขณะนี้ตำรวจที่ทำคดี และพยานต่างอยู่ในสภาพหวาดกลัวและเชื่อว่าสุดท้ายขบวนการค้ามนษย์ระบือโลกในประเทศไทยอาจลอยนวลโดยไม่ต้องรับโทษใดๆ เลยก็เป็นได้
นี่จึงเป็นเพียงไม้ขีดก้านแรกที่ถูกจุดขึ้น เชื่อได้เลยว่าเมื่อ พล.ต.ต.ปวีณ ได้รับสถานภาพผู้ลี้ภัยอย่างสมบูรณ์ และตั้งหลักปักหมุดในประเทศออสเตรเลีย เรียบร้อยแล้ว เมื่อนั้นเราคงได้เห็นการจุดไม้ขีดก้านต่อๆไป แม้จะกระทบต่อประเทศไทยเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะมาตรการกีดกันทางการค้าโดยกลุ่มสมาชิกชาติยุโรป ใช้เทียร์ 3 ตั้งเป็นกำแพงไม่ให้สินค้าประมงเข้าไปขาย แนวโน้มความสูญเสียทางเศรษฐกิจ 2-3 แสนล้านบาทต่อปีนั้น ประเทศไทยรวมทั้งอุตสาหกรรมประมงคงก้มหน้าแบกรับชะตากรรมกันอย่างถ้วนหน้า
และหากจะมีใครมองว่า พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ เป็นคนขายชาติ - เป็นผู้ชักศึกเข้าบ้าน หรืออาจมีข้อหารับเงินใครมากลั่นแกล้งรัฐบาลไทย ข้อกล่าวหาทั้งหลายที่ยังไม่เกิดขึ้นในตอนนี้แต่มีแนวโน้มถูกตอบโต้ในวันข้างหน้าก็ขอให้ย้อนกลับไปดูเหตุการณ์นับตั้งแต่วันพบศพชาวโรฮีนจา ถูกฝังตามยะถากรรมในสุสานค่ายกักกัน และต่อเนื่องด้วยคำสั่งของรัฐบาลโดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ประเทศไทยยกปัญหาค้ามนุษย์เป็นวาระแห่งชาติ
สิ่งที่เกิดกับ พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ จะไม่บานปลายกลายเป็นไฟลามทุ่งถึงขนาดล้อมกรอบประเทศไทยได้เลย หากผู้มีอำนาจใช้หลักนิติรัฐ นิติธรรม มีความจริงใจแก้ปัญหาที่ยกให้เป็นวาระแห่งชาติ
โชคดีจงมีแด่พี่น้องคนไทยทุกคน !!??