ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - คณะทำงานคดีค้ามนุษย์โรฮีนจา แถลงปิดคดีค้ามนุษย์คดีฟอกเงิน และปิดศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรภาค 9 ส่วนหน้าอย่างเป็นทางการ หลังดำเนินการมา 5 เดือน จนสามารถทำลายเครือข่ายค้ามนุษย์ได้ทั้งหมด
วันนี้ (29 ก.ย.) ที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรภาค 9 ส่วนหน้า สภ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 หัวหน้างานสอบสวนคดีค้ามนุษย์โรฮีนจา และในฐานะตัวแทนคณะพนักงานสอบสวนทั้งฝ่ายตำรวจ และอัยการ ได้แถลงข่าวสรุปภาพรวมของคดีค้ามนุษย์ และคดีฟอกเงินของ สภ.ปาดังเบซาร์ จ.สงขลา ทั้งหมด หลังจากที่เริ่มต้นคดีมาตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. จนถึงขณะนี้เป็นเวลา 5 เดือนเต็ม และในวันนี้จะมีการปิดศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรภาค 9 ส่วนหน้า ซึ่งตั้งอยู่ที่ สภ.หาดใหญ่ อย่างเป็นทางการ
พล.ต.ต.ปวีณ เปิดเผยว่า ในส่วนของคดีค้ามนุษย์มีการออกหมายจับผู้ต้องหาทั้งสิ้น 153 คน ได้ตัว 91 คนยังหลบหนีอีก 62 คน ส่วนคดีฟอกเงิน ออกหมายจับ 79 คน ได้ตัว 40 คน ยังหลบหนี 39 คน โดยจะมีการส่งสำนวนการสอบสวนทั้ง 2 คดีให้อัยการจังหวัดนาทวี ในวันพรุ่งนี้ (30 ก.ย.) และนำส่งอัยการสูงสุดในวันที่ 1 ต.ค. รวมเอกสาร จำนวน 699 แฟ้ม เป็นเอกสาร จำนวน 271,300 แผ่น พร้อมกับมีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาคดีค้ามนุษย์ในส่วนที่เหลือทุกคน
และหลังจากที่ได้มีการปิดศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรภาค 9 ส่วนหน้าไปแล้ว จะมีกาแต่งตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อสานต่อคดีชั่วคราวโดยมอบหมายให้ทางรองผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.สงขลา ทั้ง 4 นาย รับผิดชอบ 15 วัน เพื่อรอผู้บังคับบัญชาชุดใหม่ เนื่องจากตรงต่อการเปลี่ยนแปลงผู้บังคับบัญชาของส่วนราชการต่างๆ รวมทั้งสิ้นสุดปีงบประมาณ 2558 โดย พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งอัยการสูงสุดแต่งตั้งให้เป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบคดีนี้จะไปดำรงตำแหน่งเป็นปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ทำให้ทั้ง 2 คดี ไม่มีหัวหน้าผู้รับผิดชอบสูงสุด จึงต้องรอคำสั่งจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าจะมีการสั่งการทั้ง 2 คดีนี้อย่างไร และจะมอบหมายให้ใครมาดำเนินการต่อไป
พล.ต.ต.ปวีณ ยังกล่าวอีกว่า ทั้งคดีค้ามนุษย์ และคดีฟอกเงินผู้ต้องหาบางส่วนมีความเชื่อมโยงกัน ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้หลักฐานสำคัญมาจากการทำธุรกรรมทางการเงิน โดยมูลค่าของทรัพย์สินที่ยึดได้จากเครือข่ายค้ามนุษย์ทั้งหมดมีมูลค่ากว่า 1 พันล้านบาท และหากจะประเมินมาตั้งแต่มีขบวนการค้ามนุษย์เกิดขึ้นน่าจะมีมูลค่าเกิน 1 หมื่นล้านบาท
พล.ต.ต.ปวีณ ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า ต้องขอขอบคุณคณะทำงานทั้งหมดที่ทุ่มเทกำลังกาย และกำลังใจในการทำคดีนี้มา 5 เดือนโดยไม่มีวันหยุด เพื่อความถูกต้อง และความเป็นธรรมแก่มนุษย์ด้วยกัน ไม่ว่าเชื้อชาติดใด ศาสนาใด และต้องการขจัดการค้ามนุษย์ที่เลวร้ายที่สุดให้หมดไปจากประเทศไทย แม้ว่าจะถูกข่มขู่จากผู้เสียผลประโยชน์ และผู้ต้องหา และถูกกดดันจากกลุ่มผู้มีอิทธิพล แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่หวั่นไหว และนำไปสู่การทำลายขบวนการค้ามนุษย์ ผู้มีอิทธิพล ผู้มีอำนาจถูกจับกุมทั้งหมด โดยในจำนวนคณะทำงานทั้ง 81 คน มีตำรวจ 1 นาย คือ พ.ต.ท.ภูมิศักดิ์ บุญรัตนัง สังกัด สภ.รัตภูมิ ที่ร่วมทำคดีนี้จนเกษียณอายุราชการในวันพรุ่งนี้
สำหรับจุดเริ่มต้นของคดีค้ามนุษย์โรฮีนจาก่อนที่จะนำมาสู่การทลายขบวนการ และจับกุมผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เริ่มจากเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่พบแคมป์ขนาดใหญ่ซึ่งถูกใช้เป็นค่ายกักกันชาวโรฮีนจา เพื่อเตรียมส่งไปประเทศที่ 3 รวมทั้งหลุมฝังศพ 32 หลุมบนยอดเขาแก้ว หมู่ 8 บ้านตะโล๊ะ ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา สำหรับการพบแคมป์ และหลุมฝังศพชาวโรฮีนจาบนยอดเขาแก้วนั้น สืบเนื่องมาจากญาติของชาวโรฮีนจาได้ไปแจ้งความต่อตำรวจภูธรภาค 9 ว่ามีญาติ จำนวน 2 คน ถูกนำตัวมากักขังที่บริเวณดังกล่าว ชื่อ นายรอฟิต กับ นายคาซิน ซึ่งญาติได้ส่งเงินให้แก่ขบวนการเพื่อไถ่ตัว แต่ปรากฏว่า นายคาซิน ถูกฆ่าตาย ส่วนนายรอฟิต หนีไปได้ ญาติจึงได้เข้ามาแจ้งความต่อตำรวจภาค 9 เพื่อเข้าตรวจสอบ กระทั่งมีการขยายผลตรวจพบแคมป์ที่กักกัน และสุสานบนยอดเขาแก้ว
จากนั้นได้มีการสอบสวนขยายผล และนำไปสู่การจับกุมผู้ที่เป็นตัวการใหญ่ และอยู่เบื้องหลัง เช่น นายบรรจอง ปองผล หรือโกจง อดีตนายกเทศมนตรีเมืองปาดังเบซาร์ นายปัจจุบัน อังโชติพันธุ์ หรือโกโต้ง อดีตนายก อบจ.สตูล นายสุวรรณ แสงทอง หรือโกหนุ่ย เจ้าของแพปลาใน จ.ระนอง และ พล.ท.มนัส คงแป้น อดีตผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก รวมทั้งเครือข่ายค้ามนุษย์ทั้งตำรวจ และนักการเมืองท้องถิ่นอีกหลายคน ทั้งใน จ.สงขลา สตูล และระนอง และนายทหารทั้ง 4 นาย ที่ถูกออกหมายจับล่าสุด โดยขณะนี้ผู้ต้องหาทั้งหมดถูกควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจำจังหวัดนาทวี และอยู่ระหว่างสืบพยานในชั้นศาล