ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -“อย่าดูถูกกู!!”
วลีเด็ดของ "ชายหมู" ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) น่าจะเป็นวลีที่จำกัดความกระแสข่าวที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์เตรียมตั้งพรรคการเมืองใหม่ในเร็วๆนี้ ได้เป็นอย่างดี
เพราะเป็น “ข่าวหลุด” ที่ออกมาในช่วงที่มีกระแสกดดันให้ “พี่มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ใช้มาตรการเด็ดขาดขับ “ชายหมู” ออกจากการเป็นสมาชิกพรรค จากพฤติกรรม “ดื้อแพ่ง” บ่ายเบี่ยงไม่ยอมเคลียร์ใจเรื่องความไม่โปร่งใสในการบริหาร กทม.กับ“พี่มาร์ค” เสียที
อีกทั้งยังปฏิเสธการพูดคุยกับคนเป็นหัวหน้าพรรคอย่างไม่ไว้หน้า ทั้งการตัดสายไม่รับโทรศัพท์ ยกเลิกนัดแบบกะทันหันถึง 2 ครั้ง 2 ครา และยังส่ง “หน้าห้องคนสวย” ออกมาตะเพิด “คนเดินสาร” อย่าง “เสี่ยโย่ง” องอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค ดูแลพื้นที่ กทม. ที่อุตส่าห์จับรถไปหาถึง “ศาลาเสาชิงช้า” ทั้งที่ตัวผู้ว่าฯ กทม.ก็นั่งพึ่งพุงอยู่ในห้องทำงาน
ทั้งความฉาวโฉ่ในการบริหาร กทม. และความกระด้างกระเดื่องไม่ให้เกียรติต้นสังกัด จึงเป็นเหตุผลที่มีน้ำหนักเพียงพอที่คนในชายคา ปชป.ทุบโต๊ะบอกว่า “เอาไว้ไม่ได้”
แต่แทนที่ฝ่าย “ชายหมู” จะตระหนกตกใจกับกระแสขับไล่ตัวเอง กลับไม่รู้สึกรู้สา แถมยังส่ง “แหล่งข่าวคนสนิท ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม.” ออกมาให้ข่าวว่า จะมีการตั้งพรรคการเมืองใหม่ร่วมกับ “ลุงกำนัน” สุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย โดยที่ตัว “ชายหมู” ก็จะขึ้นแท่นเป็นหัวหน้าพรรคเอง ที่สำคัญยังเป็นพรรคที่มีทุนสนับสนุนถึง 3 - 4 พันล้านบาท
อารมณ์ประมาณว่า “ไม่ให้อยู่ กูก็ไม่อยู่ ตั้งพรรคใหม่แม่-เลย”
แผนยึด ปชป.ล่ม พลิกเกมปล่อยข่าวใหญ่
จะว่าไปข่าวการตั้งพรรคใหม่ของ “ชายหมู” กับ “ลุงกำนัน” ใช่ว่าไม่มีที่มาที่ไป เพราะก่อนหน้านี้ “ทีมข่าวผู้จัดการสุดสัปดาห์” ก็เป็นผู้ออกมาชำแหละ “แผนเพาเวอร์เพลย์” ที่ “ลุงกำนัน” หันเรดาร์กลับต้นสังกัดเก่าที่เคยเป็นเลขาธิการพรรค เตรียมเดินเกมยึดพรรคโค่นบัลลังก์ “หนุ่มมาร์ค” ที่ตัวเองก็ร่วมปลุกปั้นจนได้เป็นนายกฯคนที่ 27 ของประเทศไทย และดัน “ชายหมู” เด็กในคอนโทรลขึ้นนั่งแท่นหัวหน้าพรรคแทน หวังเปลี่ยน “พรรคสีฟ้า” เป็น “พรรคสีเขียว” ต่อยอดให้กลุ่มอำนาจปัจจุบัน
แต่ก็กลายเป็นไปดักคอ-จับทางได้เสียอยู่หมัดกับแผนยึด “ค่ายสีฟ้า” พรรคประชาธิปัตย์ จน “ทีมหนุ่มมาร์ค” ไหวตัวทันตั้งการ์ดสูง ก่อนส่ง “ศิษย์-อาจารย์ 2 ว.” วิลาศ จันทรพิทักษ์ - วัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.กทม.แท็กทีมกันออกมาสาวหมัดใส่ “ชายหมู” แบบไม่ยั้ง
ไล่ตั้งแต่ส่ง “เดอะแจ๊ค - วัชระ” ออกหมัดแย็บ เปิดประเด็นเรื่องความไม่โปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้างติดตั้ง “ซีซีทีวี” กล้องวงจรปิดของ กทม. กางเบาะแสความผิดปกติในโครงการก่อสร้างสวนสาธารณะของ กทม. และเปิดประเด็นการถลุงกองทุนของ กทม.จาก 3 หมื่นล้านบาท จนเหลือเพียง 2 พันล้านบาทในปัจจุบัน ก่อนยกระดับกดดันให้ “ชายหมู” ปลด 2 รองผู้ว่าฯ กทม.ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม เพื่อไม่ให้พรรคต้องแปดเปื้อนมลทินไปด้วย
ส่วน “เฮียวิลาศ” สวมวิญญาณ “มือปราบโกง” ตามถนัด ใส่หมัดฮุกเน้นไปที่ความผิดปกติในการใช้จ่ายงบประมาณของ กทม. โดยดึง“หน่วยปราบโกง” ทั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) มาเป็นหน่วยสนับสนุน
ล่าสุดที่เด็ดดวงสุดๆคงเป็นกรณี “เปียโนพันล้าน” ที่ทำเอาศาลาว่าการ กทม.สั่นสะเทือนหลายริคเตอร์ โดยไม่มีใครใน กทม.ออกมาตอบโต้แม้แต่น้อย เหตุเพราะ “คุณชายหมู” สั่งห้ามไว้ เพราะเกรงว่าจะเป็นการต่อความยาวสาวความยืด เปิดช่องให้ยิ่งสาวยิ่งลึก จะเดือดร้อนไปกันใหญ่
แผนยึดพรรคก็ล่มตั้งแต่ปากอ่าว ตัว “ชายหมู” ก็ถูกชำแหละจนไม่เหลือชิ้นดี หากอยู่เป็น “เป้านิ่ง” ก็ยังยิ่งเจ็บตัว ก็น่าจะเป็นที่มาของ “ข่าวปล่อย” ที่ว่า จะตั้งพรรคการเมือง 3 พันล้านดังกล่าว
“พรรคชายหมู” เอาจริงหรือแค่ฝัน??
ต้องยอมรับว่า “คุณชายสุขุมพันธุ์” เป็นนักการเมืองคนหนึ่งที่คนรู้จักกันทั้งประเทศ เชื่อไหมว่า ครั้งหนึ่งนิตยสาร TIME เคยยกย่อง“ชายหมู” เป็นหนึ่งในร้อยผู้นำระดับโลกในศตวรรษที่ 21 เสียด้วย
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์สร้างชื่อขึ้นมาจากการเป็นหนึ่งในทีม “ที่ปรึกษาบ้านพิษณุโลก" ของ “น้าชาติ” พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรีในช่วงปี2531 เป็นต้นมา โดย “ชายหมู” หรือที่สมัยนั้นยังเรียกขากกันว่า “คุณชาย ส.” รับผิดชอบด้านการต่างประเทศ ต่อมา “คุณชาย ส.” ก็ตัดสินใจโดดลงมาโลดแล่นในถนนสายการเมืองอย่างเต็มตัว ร่วมก่อตั้งพรรคนำไทย ร่วมกับ อำนวย วีรวรรณ แต่ไปไม่รอด จนต้องมาลงสมัคร ส.ส.กทม.ภายใต้ชายคา “ประชาธิปัตย์” และก็ได้เป็นผู้แทนราษฎรเมื่อการเลือกตั้งปี 2539 ถัดมาไม่นานก็ได้โบนัสชิ้นใหญ่ขึ้นชั้นเสนาบดีเป็น รมช.ต่างประเทศ ในสมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย
ก่อนจะมาสร้างชื่อครั้งสำคัญในเหตุการณ์กองกำลังติดอาวุธของนักศึกษาพม่า “ก๊อดอาร์มี่” บุกเข้ายึดสถานเอกอัครราชทูตพม่า ประจำประเทศไทย ย่านสาทร และจับเจ้าหน้าที่สถานทูตเป็นตัวประกัน ซึ่ง “คุณชายหมู” ได้เสนอตัวเป็นตัวประกันแลกกับเจ้าหน้าที่สถานทูต และโดยสารไปกับ “ก๊อดอาร์มี่” จนถึงที่หมาย อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี จนถูกยกย่องให้เป็น “ฮีโร่” ก่อนหันเหจากสนามการเมืองระดับประเทศมาสู่สนามท้องถิ่น และได้เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร 2 สมัยในปัจจุบัน
ดูเผินๆ แค่นี้จะเห็นได้ว่าเส้นทางการเมืองของ “ชายหมู” ก็ไม่ได้น้อยหน้าใคร จะไปนั่งหัวหน้าพรรคการเมืองไหนก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก ทว่าผลงานจากการเป็นผู้ว่าฯกทม. 2 สมัยนี่เอง ที่ลบภาพความเป็นฮีโร่ และความดีความชอบในอดีตจนหมดสิ้น กลายเป็น “หม่อมเอ๋อ” ในสายตาคนกรุงไปแทน
หากมีใครทะลึ่งจะจับไปวางเป็นหัวหน้าพรรคไหนในตอนนี้ก็คงมีแต่ “พี่เทพ” เพียงคนเดียว ในฐานะที่อุ้มชูกันมา และคงตรงสเปกที่จะใช้เป็น “นอมีนี” สั่งซ้ายหันขวาหันได้ไม่มีปัญหา แต่นั่นเป็นกรณีเฉพาะแผนการยึดพรรคประชาธิปัตย์สำเร็จเท่านั้น ส่วนการตั้งพรรคใหม่ขึ้นมาที่ว่ากันว่าจะเป็น “พรรคสีเขียว” ตามข่าวนั้น ก็ต้องถามว่า “บิ๊กๆทหาร” จะบ้าจี้เลือกใช้ “ชายหมู” อย่างที่ “สุเทพ” ไว้วางใจหรือไม่ เพราะตอนนี้ก็มีบรรดานักการเมืองเกรดเอ - เกรดบี ต่อแถวเรียงคิว รอให้ “บิ๊กๆทหาร” เลือกใช้งานยาวเหยียด
เชื่อว่าชื่อของ “สุขุมพันธุ์” ไม่ใช่ตัวเลือกลำดับต้นๆอย่างแน่นอน
เปิดหน้าตัก “ชายหมู” - ล้วงถุงเงิน กทม.
ตามข่าวนอกจากบอกว่า จะมีการตั้งพรรคการเมืองใหม่แล้ว ยังขีดเส้นใต้ตัวโตๆ ด้วยว่า พรรคที่ว่านี้มี “ทุนสนับสนุน 3-4 พันล้านบาท”อ่านถึงประโยคนี้ถึงกลับต้องตาโต เพราะหากทุ่มทุนระดับต้องไม่ธรรมดา เทียบเคียงกับเมื่อสมัย ทักษิณ ชินวัตร ตั้งพรรคไทยรักไทยก่อนการเลือกตั้งปี 2544 ได้เลย
แต่ก็ต้องถามอีกว่า “ทุนสนับสนุน 3 - 4 พันล้านบาท” มาจากไหน ใครจะเป็นคนลงทุน เพราะเอาเข้าจริงเกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ก็ยังไม่เคยได้ยิน คนที่จะตั้งพรรคการเมืองออกมาป่าวประกาศว่าจะใช้ทุนเท่าไหร่ และก็ไม่เคยเห็นใคร “หน้ามืด” ลงทุนมากมายขนาดนี้
แม้กระทั่งสมัย “ไทยรักไทย” ก็เป็นแค่การประเมินตัวเลขคร่าวๆ กะเกณฑ์วิเคราะห์กันไปมากกว่า โดยที่เจ้าของตัวอย่างทั้ง “ทักษิณ”หรือ “หญิงอ้อ” คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตศรีภรรยาของทักษิณ ก็ไม่เคยออกมาระบุตัวเลขที่แท้จริง
ที่สำคัญมหาเศรษฐีแสนล้านอย่าง “ทักษิณ - พจมาน” ตอนตั้งพรรคก็ไม่ได้ควักกระเป๋าตัวเองซักแดงเดียว แต่ใช้รูปแบบ “ลงขัน”มากกว่า ซึ่งดูจากภาวการณ์ทางการเมืองปัจจุบัน และด้วยเครดิตที่มีอยู่น้อยนิดของ “สุขุมพันธุ์” เอง ก็ยิ่งยากที่ใครจะบ้า-หน้ามืดมาร่วม “ลงขัน”ต่อเรือแล้วส่งให้ “สุขุมพันธุ์” เป็นกัปตัน แม้อาจจะมี “สุเทพ” เป็นคนคุมหางเสือก็ตาม
เพราะแทนที่ “สุขุมพันธุ์ - สุเทพ” จะเป็น “จุดขาย” กลับจะเป็น “ตัวถ่วง” ให้เรือล่มมากกว่า
ถามต่อไปว่า ถ้า “คุณสุขุมพันธุ์” เอาจริง จะมีปัญญาทุ่มทุนสร้างตั้ง “พรรคชายหมู” ขึ้นมาเป็นของตัวเองเลยไหม ก็ต้องย้อนไปดู“หน้าตัก” ของ “หม่อมหมู” กันซักเล็กน้อย จากการยื่นบัญชีทรัพย์สินครั้งล่าสุดต่อ ป.ป.ช.ช่วงปี 2552 เมื่อครั้งพ้นตำแหน่ง ส.ส.ประชาธิปัตย์ และมาลงสมัครผู้ว่าฯกทม. พบว่า “คุณสุขุมพันธุ์” มีทรัพย์สินเบ็ดเสร็จตีเป็นเลขกลมๆอยู่ที่ 611 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่อยู่ในรูปของที่ดินซึ่งเป็นมรดกตกทอดของตระกูล “บริพัตร” นั่นเอง
ดูแค่กระเป๋าเงินก็ต้องบอกว่ายังห่างไกล 3 - 4 พันล้านบาท อยู่หลายช่วงตัว
แต่จะว่าไปก็ประมาท “ชายหมู” กับ 7 ปีที่อยู่ในตำแหน่งผู้ว่าฯกทม.ไม่ได้ เพราะ กทม.นี่แหละที่ครั้งหนึ่งเคยเป็น “ถุงเงินถุงทอง” ที่หล่อเลี้ยงพรรคประชาธิปัตย์มาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่สมัย อภิรักษ์ โกษะโยธิน เป็นพ่อเมือง ต่อเนื่องมาจนถึงสมัย “ผู้ว่าฯสุขุมพันธุ์” ก่อนที่จะมา“ขาดส่ง” ในช่วงหลัง จนเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตมาถึงตอนนี้ ซึ่ง “ถุงเงิน กทม.” ที่กล่าวขานกัน นอกเหนือจากงบประมาณราว 4 พันล้านต่อปีแล้ว ยังมี “บริษัทกรุงเทพธนาคม จำกัด” ที่ขึ้นชื่อว่าเป็น “วิสาหกิจ” ในสังกัด กทม.อย่างถูกต้องตามกฎหมาย หรือพูดให้เข้าใจง่ายก็เป็น “บริษัทลูก” ของ กทม.นั่นเอง ที่เป็นกลจักรสำคัญด้านรายได้ของ กทม.
โดย “กรุงเทพธนาคม” ปัจจุบันมีคนชื่อคุ้นอย่าง สุรพล นิติไกรพจน์ เป็นประธานบอร์ด แถมด้วยคน กปปส.อย่าง สมบัติ ธำรงธัญวงศ์เป็นกรรมการ หรือผู้บริหารในอดีตอย่าง อมร กิจเชวงกุล อดีตกรรมการผู้อำนวยการ วันนี้ก็ผันตัวมาเป็นรองผู้ว่าฯกทม.ช่วยงาน “ชายหมู” อยู่ในตอนนี้
ที่ผ่านมา “กรุงเทพธนาคม” ถูกพูดถึงเป็นระยะ พอๆกับการถูก “ขุดคุ้ย” บ่อยครั้งเช่นกัน เพราะความเป็นมาของบริษัทที่เพิ่งอายุครบ 60ปีไปไม่นานมานี้พิสดารพันลึกใช่ย่อย ในอดีตเมื่อครั้งก่อตั้งในปี 2498 ใช้ชื่อว่า “บริษัท สหสามัคคีค้าสัตว์ จำกัด” ดำเนินกิจการด้านการชำแหละเนื้อสัตว์ หรือ “โรงฆ่าสัตว์” ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงมหาดไทย ก่อนโอนภารกิจมาให้ กทม.ในเวลาต่อมา
อีกทั้งปัจจุบัน “ผลประโยชน์” ที่ผ่านมาบริษัทแห่งนี้ก่อนจะมาเป็นรายได้ของ กทม.ต้องเรียกว่า “มหาศาล” จนต้องจุ๊ๆ ปากเลยทีเดียว โดยมีข้อมูลว่า กทม.ทำสัญญาว่าจ้าง “กรุงเทพธนาคม” หลายสิบโครงการ มูลค่าหลักแสนล้านบาท อาทิ สัญญาจ้างเก็บขนและกำจัดมูลฝอยติดเชื้อ สัญญาจ้างบริหารจัดการงานโครงสร้างพื้นฐานและงานระบบการเดินรถและระบบตั๋ว ส่วนต่อขยาย BTS ทั้งสายสีลม และสายสุขุมวิท และสัญญาจ้างบริหารจัดการ การให้บริการรถโดยสารประจำทางด่วนพิเศษ BRT เป็นต้น หรือก่อนหน้านี้ก็เป็นเจ้าของสัญญาจ้างโครงการก่อสร้างทางเดินยกระดับ (Skywalk) บนสถานีบริเวณ BTS มูลค่าสัญญา 4 พันกว่าล้านบาท ซึ่ง สตง.เคยทักท้วงถึงความไม่โปร่งใสมาแล้ว
ที่ฮือฮาที่สุดคงเป็นการที่ “กรุงเทพธนาคม” เป็นผู้ถือสัญญาว่าจ้าง บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ “BTS”เดินรถไฟฟ้าให้กับกรุงเทพมหานครเป็นเวลา 30 ปี สัญญานี้มีมูลค่าถึง 1.9 แสนล้านบาท ซึ่งจะเป็นรายได้ของ กทม.ปีละ 3 พันล้านบาท โดยมี“กรุงเทพธนาคม” เป็นตัวกลาง ซึ่งการทำหน้าที่เป็น “ตัวกลาง” ระหว่าง กทม.กับเอกชนนี่เอง “กรุงเทพธนาคม” จึงถูกเปรียบไปว่ามีหน้าที่หลักในการ “รับค่าต๋ง”แทน กทม.ไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
และเมื่อดูจาก “ผลประโยชน์” ที่ผ่านมือ “กรุงเทพธนาคม” แล้ว หากบริหารจัดการดีๆ ก็อาจจะเปลี่ยนสภาพจาก “ค่าต๋ง” มาเป็น “ทุน” ตั้งพรรคการเมืองได้เหมือนกัน แต่จะเป็นไปตามที่ร่ำลือหรือไม่ ไม่ทราบได้ เพราะจำต้องพิสูจน์และตรวจสอบกันโดยละเอียดอีกครั้ง
แล้ว “พี่มาร์ค - พี่เทพ” เอาไงต่อ??
ไล่เรียงขมวดเรื่องราวดูแล้วอนาคต “คุณชายสุขุมพันธุ์” กับตำแหน่งหัวหน้าพรรค ทั้งพรรคประชาธิปัตย์ หรือจะเป็นพรรคใหม่ทุน 3 พันล้านอย่างที่มีคนออกมาคุยโวเอาไว้นั้นยังอีกยาวไกล อีกทั้งวาระการดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯกทม.ก็ยังเหลืออีกปีเศษๆ โดยไม่มีทีท่าว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะมายุ่มย่ามแต่อย่างใด
เรียกว่าแทบจะเป็นนักการเมืองคนเดียวที่รอดจากการตกงานในยุค คสช.เลยก็ว่าได้
เป็นแบบนี้ก็ไม่เห็นมีความจำเป็นที่ “คุณชายหมู” เดือดเนื้อร้อนใจอะไรในช่วงนี้ สู้ใช้ชีวิตแบบ "ชิลชิล" ต่อไปแบบนี้ดีกว่า ส่วนอนาคตทางการเมืองคอยให้หมดสัมปทานในตำแหน่งพ่อเมืองก่อนค่อยไปนั่งคิดก็ยังทัน เพราะยังไม่รู้ว่าจะมีเลือกตั้งเมื่อไหร่ด้วย
ที่น่ากลุ้มใจแทนเห็นจะเป็น “พี่มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับ “ลุงกำนัน” สุเทพ เทือกสุบรรณ มากกว่า
รายแรก “ดิ้นสุดฤทธิ์” เมื่อรู้ตัวว่ากำลังถูกรายหลัง “เลื่อยขาเก้าอี้” แต่ก็ไม่เหี้ยมพอที่จะพลิกวิกฤตเป็นโอกาส โชว์ภาวะความเป็นผู้นำจัดการกับ “ชายหมู” ให้เด็ดขาด ย้ำภาพความเหยาะแหยะ-ไม่เอาไหน ให้ทั้งคนใน-คนนอกพรรคได้หัวร่อกันครืน
และแม้ว่า “พี่มาร์ค” จะเซฟเก้าอี้หัวหน้าพรรคจากแผนการของ “พี่เทพ” ได้สำเร็จ แต่ก็ไม่ได้การันตีว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้าหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์จะยังชื่อ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เพราะแม้จะรอดคมหอกคมดาบมาได้ แต่สภาพ “หนุ่มมาร์ค” ตอนนี้ก็ไม่ถือเป็น “เฟรชชี่” อีกต่อไป แต่กลายเป็น “อะไหล่ใช้แล้ว” มากกว่า
และไม่เพียง “ชายหมู” หรอกที่ด่อมๆมองๆรอเสียบเก้าอี้หัวหน้าพรรค คนข้างกายอย่าง “กรณ์ จาติกวณิช - อภิรักษ์ โกษะโยธิน” ก็มองตาเป็นมัน หรือจะเป็นเลือดแท้อย่าง “อู๊ดด้า” จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ก็พร้อมจะเป็น “ทายาทนายหัว” ในฐานะลูกหลานแดนสะตอ ยังไม่รวม“สุรินทร์ พิศสุวรรณ - ศุภชัย พาณิชภักดิ์” ที่เสร็จภารกิจโกอินเตอร์แล้วทั้งคู่ ตอนนี้วางตัวอยู่วงนอกรอเพียงอาณัติสัญญาณเท่านั้น ก็พร้อมที่จะมารับบท “แม่ทัพ” ชูธงสีฟ้าสู้ศึกเลือกตั้งแทน “หนุ่มมาร์ค” ได้ทุกเมื่อ
ส่วน “พี่มาร์ค” ก็ต้องทำใจรอเวลาที่เหมาะสม หารันเวย์ลงสวยๆเท่านั้นเอง
ขณะที่ “ทิดเทพ” ต้องบอกว่าหลังลาสิกขาจากสมณะภิกษุ “ปภากโร” ออกมา ก็เข้าสู่ช่วง “ขาลง” ฮวบฮาบ แม้จะตั้งมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย หวังต่อท่อความนิยมจาก กปปส. และคอยหาจังหวะ “อวย คสช.” ไว้ก็ตาม แต่เห็นว่าจนวันนี้ “บิ๊ก คสช.” ก็ยังไม่รับสาย- ไม่โทรกลับ เข้าข่าย “หมดประโยชน์” ไม่เห็นหัวกันอีกต่อไป
และหากไปทะลึ่งเดินตามเกม “ชายหมู” ตกปากรับคำดิ้นรนไปตั้งพรรคใหม่ด้วยกัน ก็ยิ่งเท่ากับ “ฆ่าตัวตาย” เจอถล่มข้อหาผิดคำพูด-กลืนน้ำลายอย่างแน่นอน ตอนนี้เพื่อไม่ให้ฟุ้งซ่านก็ต้องหางานมูลนิธิฯ หรือจัดงานสังคมอย่าง “สมุย เฟสติวัล” ต้นปีหน้าฆ่าเวลาไปก่อน
ดูๆแล้วทั้ง “พี่มาร์ค - พี่เทพ” จึงค่อนข้างจะ “มืดแปดด้าน” ไม่รู้จะขยับหยิบจับอะไร ส่วน “ชายหมู” ก็คงเอาเวลาส่วนใหญ่ “ดื่มด่ำ”กับช่วงปีสุดท้ายกับ กทม.อย่างเต็มคราบ
สภาพนี้ก็ต้องบอกว่า อนาคต “คนประชาธิปัตย์” ไม่สดใสเอาเสียเลย
“แมลงสาบ” ฟัดกันเอง ไปๆมาๆทำท่าจะ “ตายยกรัง”