xs
xsm
sm
md
lg

“ประยุทธ์” ย้ำไม่เคยปฏิเสธเลือกตั้ง - ถอดยศ “ทักษิณ” ตามเหตุผล - ปูด “วัฒนา” เบื้องหลังม็อบแดงต่อรอง ศอฉ.

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


นายกรัฐมนตรี ชี้แจงไม่ได้ชื่นชมสิงคโปร์มากกว่าไทย เพียงแต่ให้ดูเป็นตัวอย่าง วอนฝ่ายการเมือง ถามใจประชาชนเรื่องปฏิรูป ย้ำไม่เคยปฏิเสธเลือกตั้ง แต่ยังไม่เห็นนักการเมืองในความคาดหวัง ลั่นถอดยศ “ทักษิณ” ทุกอย่างต้องมีเหตุผล คาด 14 ส.ค. ได้ ผบ.ตร. คนใหม่ แย้มปรับ ครม. เสร็จแล้ว ปูด “วัฒนา” เบื้องหลังราชประสงค์ โวงบปี 57 - 59 เบิกจ่ายเกินเป้า แจงบางโครงการยังติดขัด

วันนี้ (11 ส.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่า จากการที่ตนได้พูดวานนี้ (10 ส.ค.) ถึงการพัฒนาของประเทศสิงคโปร์ และสื่อได้ระบุว่าตนไปชื่นชมนั้น มันไม่ใช่ ตนไม่ได้พูดอย่างนั้น เพียงแค่เห็นว่าบางอย่างเขาดี ก็ให้เอามาเป็นตัวอย่าง ตนจะไปเห็นคนอื่นดีกว่าประเทศไทยคงไม่ใช่ สิ่งที่ตนพูดบางทีมีคนพยายามไม่เข้าใจมากกว่า โดยอดีตรัฐมนตรีออกมาพูดว่าสิงคโปร์เป็นประเทศที่ไม่มีความสุข แล้วประเทศไทยมีความสุขหรืออย่างไร ขัดแย้งเยอะ ๆ ความสุขเหรอแบบนี้ วันนี้รัฐบาลพยายามให้ประเทศไทยมีความสุข มีเสถียรภาพ และเดี๋ยวปรับโครงสร้างเศรษฐกิจก็จะดีขึ้น ซึ่งมันแหลกสลายมานานแล้ว ตนพยายามที่จะสร้างความมั่นคงแข็งแรงทางเศรษฐกิจขึ้นมาใหม่ โดยในรายการเดินหน้าประเทศไทยเย็นวันนี้ ได้มอบหมายให้ รมว.พาณิชย์ ชี้แจงถึงสถานการณ์ส่งออกของไทยว่าเป็นอย่างไร ถ้าฟังแล้วจะได้รู้ว่าตนไม่ได้โกหก เพราะมันคือตัวเลขจริง ไม่ได้หมายความว่าให้มาแก้ตัว แต่อยากให้รู้ว่าเขาทำงานกันแบบนี้ ไม่ใช่พอมีปัญหาแล้วเอาเงินไปโปะ จนไม่เหลือเงินทำอย่างอื่นเลยแบบนี้มันไม่ได้ เรื่องเศรษฐกิจต้องดูตลาดโลกด้วย

ส่วนเรื่องหนี้ครัวเรือนรัฐบาลวันนี้ให้ความสำคัญ แต่การไม่ให้เงินกู้เพิ่มเติม ก็หาว่าเราใจไม้ไส้ระกำ แต่พอเกิดหนี้สูญก็ว่ารัฐบาลไม่เข้มงวดเอง ฉะนั้นรัฐบาลนี้จึงต้องพยายามพูดทุกอย่าง และทำให้ตนต้องพูดเยอะ อธิบายทุกเรื่องเพราะอยากให้คนเข้าใจ ฉะนั้น ใครมาพูดโต้แย้งตน ก็ให้เอาหลักฐานมาสู้ ซึ่งมันไม่ใช่เขาต้องการจะสร้างการรับรู้ที่ผิดๆต่อไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดความขัดแย้งกับตนทุกเรื่อง ซึ่งตนไม่ให้ความสำคัญ

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ที่ประชุมได้พิจารณาแต่งตั้งข้าราชการ โดยในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศ ถือว่าจำเป็นและได้ผ่านการกลั่นกรองจากกระทรวงการต่างประเทศมาแล้ว เป็นผู้อาวุโส ไม่ใช่อยู่นานเกินกว่าเหตุ ซึ่งเขามีขั้นตอนอยู่แล้ว มันจำเป็นต้องทำ เพราะเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจตั้งทูตด้วย มันเสียเวลา และในส่วนของตำแหน่งปลัดกระทรวง ตนก็จะพิจารณาแต่งตั้งให้เร็วขึ้น ไม่เกินสัปดาห์หน้าจะตั้งทุกกระทรวง จะได้มาพิจารณาแต่งตั้งอธิบดีต่อไป โดยจะพยายามทำให้เร็ว ส่วนทหาร ตำรวจก็จะพิจารณาในเวลาใกล้เคียงกัน

ส่วนการแต่งตั้งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) คนใหม่ เวลานี้ยังไมเห็นชื่อ ที่มีชื่อนายทหาร 2 นาย คือ พล.อ.สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ และ พล.อ.ทวีป เนตรนิยม เข้ามาเป็นตัวเลือกนั้น สื่อตั้งกันเองหรือเปล่า พล.อ.สุรพงษ์ ตำแหน่งเขาก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ อายุราชการยังเหลืออีกเยอะ เขาโตตรงนั้นไม่ดีกว่าเหรอ เขาอยากเป็นทหารกันทั้งนั้น ไม่มีใครอยากมาอยู่กับตนหรอก อยู่แล้วโดนด่าทุกวันไม่มีใครอยากมา ส่วนจะคิดต่างหรือไม่ตนไม่รู้ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามสถานการณ์สิ่งแวดล้อม วันนี้รัฐบาลมาเพื่อการปฏิรูปต้องการแก้ปัญหา บางอย่างใช้กลไก หรือวิธีการปกติไม่ได้ มันต้องแยกแต่ละเรื่องแต่ละกระทรวงจะทำกันอย่างไรอย่างนั้นดีกว่า ให้ตนตัดสินใจ อย่ามากดดันเลย ใครเป็นก็เป็นตามนั้นถ้าเชื่อมั่นตน ก็ต้องเชื่อถ้าจะตั้งใคร ตนไม่ได้ตั้งเพื่อตัวเอง

ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้มีการพิจารณาแต่งตั้งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีคนใหม่ด้วยหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ยังไม่เห็นมีตั้งเลย อยากจะตั้งใครเหรอ เมื่อถามว่ามีข่าวแต่งตั้ง พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้มาทำหน้าที่โฆษกฯ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เหรอ ก็ลงความเห็นมาแล้วกัน ซึ่งวันนี้ รองโฆษกฯ ก็พูดทุกวันอยู่แล้ว ใครจะเป็นก็เหมือนกัน วันนี้ก็ทำงานเต็มตัวแล้ว ถ้าไม่เต็มตัวก็เปลี่ยนใหม่ ทั้งนี้ เห็นว่า ไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งโฆษก และการทำงานไม่ใช่ต้องมีตำแหน่งอย่างเดียว ต้องเอาความสามารถของตัวเอง เมื่อคนยังรับได้ก็ทำไปก่อน เดี๋ยวถึงเวลาก็เป็นเอง ทำไมต้องเร่งรัดตัวเองตนไม่เข้าใจ อย่าไปมองคนด้วยยศตำแหน่งอย่างเดียว มองด้วยศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และความรู้ความสามารถของเขา ไม่เช่นนั้นก็จะมองแต่คนมีอำนาจตลอดแล้วสอนให้คนทั้งประเทศอยากมีอำนาจ พอมีอำนาจเสร็จมันก็ไปแล้ว คนเหล่านี้บางคนไม่พร้อม เข้ามาก็แสวงหาผลประโยชน์ เราต้องสร้างวัฒนธรรมใหม่ ต้องรื้อฟื้นคุณธรรม จริยธรรม ผลประโยชน์ชาติ จิตสาธารณะ ซึ่งเรื่องทั้งหมดนี้มีพูดกัน สภาปฏิรูปก็พูด กฎหมายก็มี มันอยู่ที่การปฏิบัติ อยู่ที่หัวใจของคนว่ามีคุณธรรมหรือไม่

“เขียนให้ตายไปเถอะกฎหมาย แต่บังคับได้หรือไม่ มันไม่ได้หรอกต้องดูที่คนว่ามีคุณธรรม หรือไม่มี สำหรับผมดูง่าย ๆ ดูหน้าตาว่าขี้โกงหรือเปล่า ถ้าหน้าขี้โกงมันก็ยาก แต่ไม่ใช่จะไปมองเขาอย่างนั้น แค่ยกตัวอย่างให้ฟัง เพราะบางคนขี้โกงหน้าตาจะชัดเจน บางคนก็ต้องให้โอกาสเขาทำงานก็แค่นั้น ไม่อยากให้สังคมไปลงโทษคนนี้ คนนั้นก่อนโดยไม่ผ่านการไต่สวนกระบวนความ เราจะเอาความรู้สึกทำงานไม่ได้ มันจะทำให้เกิดความขัดแย้งสูงขึ้น ถ้าเรายังฟังนักการเมืองบางคน บางฝ่ายพูดอยู่ ผมย้อนถามว่าที่ผ่านมาเขาทำหรือเปล่า” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงจุดยืนในการปฏิรูป ว่า วันนี้ต้องเข้าใจว่าการปฏิรูปคืออะไร ประชาชนทั้งประเทศต้องการอะไร ถามเขาหรือยัง ไม่ใช่ท่านมาบอกว่าตนเป็นคนกำหนด แต่ที่สุดท่านต้องมากำหนดโดยบอกว่าต้องเลือกตั้งมา ประชาธิปไตยต้องเป็นอย่างนี้อย่างนั้น

“ผมไม่เคยปฏิเสธเลือกตั้งได้ก็เลือกไป แต่ผมเป็นห่วง คนดีจะได้มาอย่างไรผมไม่รู้ และผมก็ยังไม่เห็นคนที่เป็นความหวังของผม ความหวังของผมก็ไม่ใช่แบบนี้ ใครจะเข้ามาสู่กระบวนการการเมือง นักการเมืองใหม่ๆมีหรือยัง ก็ยังไม่รู้ ไม่ว่าใครมาพูดถึงผม หรือผมพูดถึงใคร และไม่ตรงกัน ผมไม่เกี่ยวกับใคร ผมคิดไม่เป็นหรือไง พอทำอย่างนี้ปุ๊ปก็บอกว่าตรงกับคณะอื่นที่ทำไว้แล้ว ผมคิดเป็น ผมไม่โง่ อยู่ทุกวันนี้ก็ใช้สติปัญญาทำงาน ไม่เคยดูถูกใคร เพียงแต่ไม่ชอบคนที่ไม่เข้าใจแล้วมาพูด แล้วสื่อไปคล้อยตามเสนอให้คนรับรู้กันทั่วไป แล้วหวังความสงบสุขบ้านเมืองนี้มากจากไหน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า การปฏิรูปจะทำได้หรือไม่ ผมไม่รู้ ทุกคนต้องการปฏิรูปหมด แต่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองเลย การปฏิรูปจะต้องเริ่มจากจิตใจตัวเองก่อน ว่าพร้อมจะทำหรือไม่ ถ้านักการเมืองทุกคนออกมาพูดพร้อมกัน ว่าจะร่วมกันปฏิรูปตรงนี้ ตนสบายใจ จะไปไหนก็สะดวก จะปฏิรูปกันอย่างไรก็ว่ามา ปฏิรูปก่อน ปฏิรูปหลัง เป็นเรื่องของท่านไปคุยกันมา อย่างนี้ประชาชนก็จะเป็นประจักษ์พยานว่านักการเมืองพูดแล้ว อย่างนี้ไปได้ แต่ไม่ใช่มาพูดวิจารณ์ถึงเราที่กำหนดแนวทางปฏิรูปไว้ให้ มันไม่ดีมั้ง เราเพียงเสนอไป รัฐบาลหน้าจะทำหรือไม่ทำตนไม่รู้ ทั้งนี้ เมื่อมีการเสนอพิมพ์เขียวปฏิรูปมาในวันที่ 6 ก.ย. ตนก็รับยังไงก็ต้องตั้งคณะกรรมการใหม่อยู่แล้ว ตนก็จะเอาอันนี้ส่งให้เขาไปพิจารณาต่อในคณะใหม่ ซึ่งรัฐบาลหน้าจะตั้งมากี่คนสองร้อยหรือไม่ วันนี้ตนยังไม่ได้ตั้งใครสักคน ไม่ต้องมายื่นข้อเสนอว่าตนต้องทำนี่ จะคว่ำไม่คว่ำ ตนเคยบอกแล้วว่าใครเสนอมาตนไม่เอาคนแรก ตนคิดเอง เดี๋ยวก็หารือกันต่อไป ก็แค่นั้น ฉะนั้น ทำอย่างไรจะเดินหน้าได้ การปฏิรูปในวันนี้ยังไม่ใช่ข้อยุติ แค่เสนอมาในรัฐบาลนี้ มันจึงต้องมีสองคณะ เพื่อกลั่นกรองว่าเห็นด้วย ระหว่างคณะใหม่คณะเก่า อันไหนดีเขาก็ทำต่อ อันไหนไม่ดีเขาก็ปรับใหม่ อย่าเพิ่งไปร้อนใจ ปีหน้าตนก็เอาของพวกนี้มาทำให้เว้นแต่บางอันที่ได้ไม่มีปัญหาเยอะ เป็นโครงสร้างที่ไม่มีผลกระทบ เรื่องใหญ่ ๆ ตนก็ทำให้

แม้กระทั่งเรื่องตำรวจปีหน้าตนก็ทำ ซึ่งคิดไว้แล้ว 6 - 7 อย่าง ฝ่ายความมั่นคงเสนอมาแล้วคอยคิดตามดูแล้วกัน อีกทั้งทางสปช.เสนอมา 15 - 16 เรื่องซึ่งก็ตรงเป็นกันส่วนใหญ่ แต่ละเรื่องจะทำได้แค่ไหนไม่ใช่ทำครั้งแรกรื้อหมดเลย จะไหวหรือไม่ มันไม่ได้เพราะบ้านเมืองจะหยุดทุกอย่าง เพื่อรอปรับโครงสร้างถ้ามีโจรผู้ร้ายจะทำอย่างไร ต้องคำนึงถึงตรงนี้ ตนได้สั่งให้ทุกกระทรวง ทบวง กรม ทำเรื่องการปรับโครงสร้าง กระทรวงกลาโหมก็ทำมาแล้ว อย่าไปคำนึงเรื่องทุจริตกันมากนักเลย ถ้ามีการทุจริตก็ตรวจสอบกัน วันนี้ถึงวันหน้า

“รัฐบาลที่เข้ามาวันนี้ก็รู้ว่าต้องทำอะไร ต้องแก้ปัญหาตรงไหนบ้าง คือทุกคนลืมไปหมดแล้วว่าวันนี้เราเข้ามาอยู่ทำอะไร จนลืมไปและนึกว่าเลือกตั้งตนมาหรือไง และถ้าตนลงสมัครก็ไม่มีใครเลือกอยู่แล้ว ส่วนผมจะอยู่แค่ไหนก็ดูที่รัฐธรรมนูญเขียนว่าอย่างไร มันมีสองพวกเสมอพวกหนึ่งอยากให้อยู่ พวกหนึ่งอยากให้ไป อีกพวกอยู่ตรงกลาง ซึ่งตรงกลางนั้นสำคัญต้องแสดงให้เห็นบ้างว่าจะเอาอย่างไร เลือกตั้งคราวหน้า มาถึง 80 - 90 เปอร์เซ็นต์ได้ไหม จะอย่างไรก็แล้วแต่ทำให้มันครบเถอะ วันนี้มันเหมือนมีคนอยู่แค่สองฝ่ายถือกันคนละข้างและเลือกตั้งกันอยู่แค่นี้ ที่เหลือตรงกลางไม่รู้เรื่องเลย เพราะหลายคนก็ไม่ชอบการเมือง เวลามีการเลือกตั้งก็ไม่ออกมาเลือกกัน แต่พอถึงเวลาก็มาต้องการอย่างนี้อย่างนั้นมันไม่ได้” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงความคืบหน้าการถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเขากำลังประชุมอยู่ก็ให้ชัดเจนขึ้น ถ้าจะถอดก็คือถอด แต่ถ้าไม่ถอดก็ต้องมีเหตุผลว่าไม่ถอดเพราะอะไร

“และคงไม่ใช่การพิจารณาคนนี้เพียงคนเดียว เพียงแต่ขณะนี้พิจารณารายแรกเพียงรายเดียวก่อน เดี๋ยวก็ต้องมีรายอื่น ๆ อีกที่เกี่ยวข้องในทำนองนี้ เรื่องการถอดยศยังมีอีกหลายคนเหมือนกันที่เกี่ยวข้องในทำนองนี้ ก็ต้องมาทบทวนทั้งหมด ส่วนจะเสร็จสิ้นหรือใช้เวลานานเท่าไรยังไม่รู้ เพราะเขากำลังประชุมกันอยู่ การประชุมเมื่อไม่ได้ข้อยุติก็ต้องมาประชุมใหม่ แต่มันก็น่าจะได้ ทำได้ก็ทำส่วนแนวโน้มจะเป็นอย่างไรผมไม่รู้ ถ้ารู้แนวโน้มผมก็คงต้องทำเองน่ะสิ ผมไม่ต้องฟังใครก็ได้ ผมทำเองเพียงแต่ต้องการสร้างการรับรู้ให้มากขึ้นในทางกฎหมายว่าอย่างไร ถ้ามีมติว่าถอดได้ก็ต้องโยนเรื่องกลับไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ให้เขาทำมาผมก็มีหน้าที่นำขึ้นทูลเกล้าฯในฐานะหน้าที่นายกฯก็มีอยู่เท่านั้น แล้วถ้าเกิดพระองค์ท่านลงพระปรมาภิไธยมาก็เป็นอำนาจของรัฐบาลที่จะทูลขึ้นไปท่านก็จะทรงโปรดเกล้าฯให้อยู่เพราะให้อำนาจเรามา พระองค์ทรงพระราชทานมาทั้งสามอำนาจเมื่อเสนอขึ้นไปท่านก็ทรงลงนามมาอยู่ อย่าไปพูดว่าทรงลำเอียงพระองค์ทรงท่านทรงรู้พระองค์ดี” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

เมื่อถามว่า ในขั้นตอนการทำงานของ สตช. และส่งต่อมาถึงนายกฯ ต้องใช้ระยะเวลายาวนานแค่ไหน พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่รู้แต่ก็เร็วที่สุด อะไรทำได้ก็ทำได้ ตั้งเรื่องมาก็จบแล้วมันอยู่ว่าจะพิมพ์นานหรือเปล่า

พล.อ.ประยุทธ์ กล่วว่า สำหรับตำแหน่ง ผบ.ตร. นั้น การประชุมคณะกรรมการตำรวจแห่งชาติ (กตช.) ก็จะมีขึ้นในวันที่ 14 สิงหาคมนี้ ก็คงจะเสร็จสิ้น เมื่อได้มีการมอบหมายและตนก็ได้คุยไปแล้ว ก็ให้ กตร. และ กตช. เสนอขึ้นมา ไม่ต้องถามว่าเป็นใครจะถามกันทำไม รู้วันนี้กับรู้วันหน้าก็ไม่ต่างกัน

“อย่างไรตำรวจก็คือตำรวจซึ่งเขาก็ทำหน้าที่กันอยู่แล้ว ใครเป็นลูกน้องก็เป็นทั้งชาติผมก็ขอใช้คำนี้คนเป็น พล.ต.ต. จะเป็นนาย พล.ต.อ. ก็ไม่ได้ พล.ต.อ. ก็ต้องดูแลทั้ง พล.ต.ท. พล.ต.ต. และลูกน้องข้างล่างตามลำดับ นายกฯ ก็ต้องควบคุมตำรวจได้อยู่แล้ว วันนี้ไม่ต้องห่วงอำนาจผม ผมมีเยอะแยะไป แต่ผมไม่ได้ใช้ทั้งหมดอยู่แล้ว อะไรที่มาตามขั้นตอนของเขาได้ก็ทำมา” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวถึงความคืบหน้าการปรับ ครม. ว่า “กำลังดำเนินการอยู่ เรื่องการปรับครม.ผมทำเสร็จตั้งนานแล้ว ส่วนจะทำเมื่อไรก็เรื่องของผม ผมปรับเสร็จนานแล้วแต่จะทำเมื่อไรเป็นเรื่องของผม สื่อไม่ต้องมาร้องอ้าวจะอ้าวกันทำไม ผมต้องทำตามใครอย่างนั้นหรือ”

เมื่อถามว่าปรับกี่ตำแหน่ง นายกฯ กล่าวว่า “ไม่รู้ ปรับได้หมดปรับ 35 ตำแหน่งส่วนจะทูลเกล้าฯ เมื่อไหร่ก็ต้องตอบว่าเมื่อถามเวลาเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นปรับได้ตราบได้ที่สื่อยังไม่เลิกเขียน ผมปรับได้ทั้งหมด 35 ตำแหน่งนั่นแหละ 36 ตำแหน่งก็ได้ปรับตัวผมเองออกก็ได้ ทำไมจะต้องกังวลหนักหนา ผมกำลังกำกับดูแลและทำงานอยู่ก็ทำกันไปถึงเวลาปรับก็ปรับแล้ววันหน้าก็ไปไล่คนใหม่เขาเอาถ้ามีการปรับจริงหรือปรับได้อย่างนั้นล่ะก็ สื่อไปเขียนกันทุกวันก็รวนไปหมดคนเก่าก็ไม่อยากทำงานคนใหม่ก็รอว่าเมื่อไรจะมาสักทีแล้วจะไปเขียนกันทำไมถึงเวลาเหมาะก็ทำเองนั่นแหละ พอถึงวันข้างหน้าก็มาโทษกันอีกแล้วจะเอาอย่างไรไอ้นั่นก็ไม่ได้ไอ้นี่ก็ไม่ได้ก็ไล่ผมคนเดียวง่ายสุด”

ผู้สื่อข่าวรายงานในช่วงท้ายของการให้สัมภาษณ์เรื่องการปรับ ครม. พล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวแบบทีเล่นทีจริงและมีอารมณ์ค่อนข้างดี ทั้งนี้เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าได้กินวิตามินอะไรบำรุงสมองบ้าง เพราะมีเรื่องและปัญหาค่อนข้างมาก นายกฯ กล่าวสั้น ๆ ว่า ก็กินยาบำรุงบ้าง

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงมาตรการส่งเสริมอุตสาหกรรมการถ่ายภาพยนต์ต่างประเทศในประเทศไทยในรูปแบบมาตรการคืนเงิน ว่าต้องมีมาตรการที่สร้างแรงจูงใจ เพราะหนังหลาย ๆ เรื่องเคยจะมาทำที่เมืองไทย และไม่ได้ทำเพราะความไม่ชัดเจน ต้องมีมาตรการแรงจูงใจสักระยะหนึ่ง วันนี้อยากให้ทุกคนช่วยกันคิด รัฐบาลเราเป็นรัฐบาลปฎิรูป เป็นรัฐบาลที่จะต้องแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็ว บางอย่างทำเป็นการชั่วคราวได้ ซึ่งมาตรการทางภาษีการสร้างแรงจูงใจมันกำหนดสั้นๆได้ ไม่ใช่ยาวไปรัฐบาลหน้า รัฐบาลนี้ก็จะทำให้เกิดงานเกิดเงินขึ้นมาให้ได้ ถ้าเราไม่ดูเรื่องภาษี ไม่ผ่อนผัน อย่างไรก็ไม่เกิด ภาษีก็เก็บไม่ได้อยู่แล้ว และถ้าเราลดภาษีในสิ่งที่เราไม่ได้เงิน มันจะเสียหายตรงไหน ตนไม่รู้ นี่เป็นมาตรการทางการเงินที่เราต้องคิด

พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ นายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทยยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดให้รับฟ้อง คดีที่หัวหน้าคสช.สั่งห้ามออกเดินทางไปนอกประเทศนั้น “ก็ฟ้องมาดิ ไม่สนใจ ผมไม่สนใจ ฝ่ายกฎหมายเขาดูแลอยู่แล้ว เมื่อถามว่า ถ้าศาลรับอุทธรณ์ จะดำเนินการอย่างไร นายกฯ กล่าวว่า ก็รับไปสิ อยู่ที่ดุลพินิจของศาล”

“อยากให้ดูพฤติกรรมไอ้คนฟ้องว่าเป็นอย่างไร ดูพฤติกรรมก่อน รู้เหรือไม่ว่า ตอนปี 53 เขาอยู่ตรงไหน เขามาด่าผม แล้วผมต้องพูดแล้วหละ แต่มันลืมไปแล้ว รู้ไหมเมื่อปี 53 เขาอยู่ตรงกลางราชชประสงค์ ประตูน้ำ เขานี่เหละเป็นคนต่อรองมาตลอดกับศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) อย่างงี้ อย่างงั้น เดี่ยวผมจะเลิก นั้นแหละคือเขา รู้ซะบ้าง ทั้งแก๊งนั้นแหละ เราก็โอเค ใครจะป่วยจะไข้ก็ดูแล หวังว่ามันคงจะเรียบร้อย ปรากฏว่า ความรุนแรงก็เกิดขึ้น ก็คนเหล่านี้รู้เรื่องทั้งหมด ผมถามว่าคุณจะเชื่อใคร เชื่อเขาหรือเชื่อผม ก็แล้วแต่ ศาลเขาก็รู้ตัวอยู่แล้วว่าต้องทำหน้าที่ของเขา ผมก็รู้ตัวผมว่าอยู่ในฐานะไหน วันนี้ผมเป็นคนถือกติกาอยู่ ทำไมอ่ะ ผมทำความเลวหรอ ผมเข้ามาอาจจะไม่ถูก แต่ผมเข้ามาเพื่อทำความเลวหรือเปล่า ผมไม่ได้ทำ ใครที่เข้ามาถูกแล้วทำความเลวเยอะแยะ ทำไมไม่โจมตีเขาบ้างล่ะ” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

เมื่อถามต่อว่า ในส่วนของกรณีที่กลุ่มคนเสื้อแดง ในนามกลุ่มพลเมืองโต้กลับร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้องที่ พล.อ.ประยุทธ์ กับพวกซึ่งเป็นคณะ คสช. รวม 5 คน เป็นจำเลยที่ 1 - 5 ในความผิดฐานเป็นกบฏ ล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ โดยศาลอาญารับอุทธรณ์ แล้วจะทำอย่างไร “ก็รับไป แล้วยังไง ผมทำแล้วไง ทำไมจะลงโทษอะไรผม”

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงการใช้จ่ายงบประมาณในปี 57 - 59 ว่า ตอนนี้ผลการเบิกจ่ายเกินเป้าหมายคือมากกว่าปีที่แล้ว แต่ก็ยังมีหลายโครงการที่ทำสัญญาไม่ทัน ในส่วนของการจัดซื้อจัดจ้างซึ่งอาจจะเป็นการติดขัดขั้นตอน อย่างเช่น ผลสำรวจผลกระทบสิ่งแวดล้อม การประท้วง ไม่ใช่การเบิกจ่ายงบช้า ซึ่งก็เรียกคืนงบส่วนนี้มา 7 พันกว่าล้าน ซึ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องการเสียค่าปรับโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียแต่อย่างใด อย่าไปพูดว่าไปตัดตรงโน้น ตรงนี้มา เขียนกันเองหมด ตนก็หารือกับ ครม. และฝ่ายกฎหมาย อยู่ดี ๆ จะใช้อำนาจพิเศษไม่ทำตามคำสั่งศาลได้ที่ไหน แต่ก็ต้องว่ากันไปว่าจะทำอย่างไรให้พื้นที่นั้นสามารถใช้ได้ขึ้นมา ต่อไปรีบิ้วขึ้น เพราะลงทุนไปตั้ง 2 หมื่นล้านบาท เสียค่าปรับอีก 9 พันล้าน ตนจึงให้ประเมินในขั้นต้นว่า หากจะรีบิ้วขึ้นมาให้ใช้งานได้ 8 พันล้าน ถึง 1 หมื่นล้านบาท มันต้องทำ แต่จะทำยังไง ไปหาคนที่ทำให้เกิดปัญหา ใครก็ไม่รู้ รัฐบาลนี้ก็มาแก้ทุกวัน แล้วง่ายหรืออย่างไร ที่สั่งแล้วได้ปุ๊บ เงินไม่ใช่ว่าจะพิมพ์มือซ้ายจ่ายมือขวาหรือยังไง คนอื่นเขาคิดแบบนี้หรือเปล่า







กำลังโหลดความคิดเห็น