xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“บิ๊กต๊อก” มาแล้ว เขย่า สสส. งานนี้มีเสียวว้อย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม
ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ต้องบอกว่าหลังตั้งหลักยืนระยะได้มั่น คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) ก็ลงมือจัดการปล่อยหมัดเรียกเสียงฮือฮาจากกองเชียร์ไม่ขาดระยะ นับตั้งแต่งานช้างอย่างถอดยศนายทักษิณ ชินวัตร ออกคำสั่งพิเศษเตรียมการยึดทรัพย์ทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ล้าง 5 เสือมาเฟียกองสลาก แก้กฎหมายลงโทษประหารคนโกง ไล่ออก-ขึ้นบัญชีดำข้าราชการส่อทุจริต แม้แต่ “องค์กรที่ดี” อย่างสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) พี่ใหญ่ตระกูล ส. ที่ทรงอิทธิพล คสช.ก็ยังส่ง “บิ๊กต๊อก” พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.กระทรวงยุติธรรม คนที่พูดน้อยต่อยหนักเข้ามาจัดระเบียบใหม่ และมั่นใจได้เลยว่างานนี้ไม่ใช่แค่ต้องการปรามเท่านั้น

“ผมเนี่ยนะแค่ปราม คุณเคยเห็นไพบูลย์ ไม่เอาจริงเรื่องอะไรบ้าง”

บิ๊กต๊อกพูดทำนองนี้ ก็เตรียมปูเสื่อรอได้เลย รับรองได้เห็นอะไรดีๆ ที่อยู่ซุกอยู่ภายใต้การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของ สสส. อย่างไม่ต้องสงสัย

แต่ไม่ต้องวิตกกังวลเดือดเนื้อร้อนใจไปหากองค์กรน้ำดีอย่าง สสส. นั้น ดีทั้งนอกและใน ไม่ใช่ข้างนอกสุกใสแต่ข้างในเป็นโพรงหรือเป็นวัวสันหลังหวะที่จะต้องมาหวั่นกลัวการตรวจสอบ และหาก สสส. มีผลงานเอกอุเป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศสมราคาคุย อะไรที่เป็นข้อครหานินทา ทั้งขาใหญ่และเครือข่ายผูกขาด ทั้งถลุงเงินจัดงานอีเว้นท์เอาหน้าหาสาระไม่ค่อยได้ ฯลฯ ก็ต้องจัดการให้เข้าที่เข้าทาง เพราะขืนปล่อยไว้จะกลายเป็นขุมทรัพย์ข้าใครอย่าแตะ เป็นสมบัติส่วนตัวของเครือข่ายเพื่อนพ้องน้องพี่ตระกูล ส. ซึ่งเป็นเรื่องไม่ถูกต้องด้วยประการทั้งปวง

นี่ถือเป็นความพยายามอีกครั้งของ คสช. ที่ต้องการเข้ามาจัดการตรวจสอบการใช้งบของ “องค์กรอิสระ” ที่ได้รับเงินจากการจัดเก็บภาษีสุราและยาสูบ มาคราวนี้ มีการเตรียมพร้อมคึกคัก ทั้งคณะตรวจสอบมือฉมังที่แน่นปึ้ก ทั้งนโยบายที่ชัดเจนและการดำเนินการที่รัดกุม หลังจากมีบทเรียนล่มไม่เป็นท่าหน้าแหกกันมาแล้วรอบหนึ่ง

หากจะสาวร่างแหถึงการเข้ามาจัดระเบียบ 3 องค์กรอิสระที่ใช้เงินจาก “ภาษีบาป” ก็ต้องย้อนกลับไปดูก่อนหน้านี้ จะเห็นร่องรอยความไม่สบอารมณ์ของหัวหน้า คสช.อย่างชัดเจน กล่าวคือ ในการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2558 พล.อ.ประยุทธ์ ได้หยิบยกกรณีเงินสนับสนุนให้กับทีวีสาธารณะหรือสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสขึ้นพูดในที่ประชุม โดยมองว่าบ้านเมืองยังไม่ปกติ แต่ข่าวที่ออกมาถูกขยายความไปยังต่างประเทศ กระทบต่อความเชื่อมั่นของประเทศ จึงอยากให้มีการปรับปรุงแก้ไขด้วย คราวนั้น พล.อ.ประยุทธ์ เข้าใจว่ารัฐบาลต้องสนับสนุนงบประมาณให้สื่อสาธารณะ “ถ้าหากเป็นอย่างนี้ควรทบทวนที่จะให้สตางค์ทำงานต่อไปหรือไม่”

ปฏิบัติการทบทวนตรวจสอบพร้อมกับปลดนายสมชัย สุวรรณบรรณ ผู้อำนวยการไทยพีบีเอส กลางอากาศ เมื่อเร็วๆ นี้ จะเกี่ยวกันหรือไม่กับความไม่ชอบใจของท่านผู้นำในการนำเสนอข่าวของไทยพีบีเอส ไม่มีการยืนยันเคลียร์คัตชัดเจน และการทบทวนการได้รับเงินพิเศษจากภาษีบาปขององค์กรอิสระ ไม่ได้จำกัดอยู่แต่ทีวีสาธารณะเท่านั้น เพราะ คสช. เล็งเป้าหมายจะเข้าดูหมดทั้ง 3 องค์กร

หากยังจำกันได้ ตอนนั้น ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าทีมเศรษฐกิจของ คสช. ประกาศเจตนารมณ์ชัดเจนในการแก้ไขรัฐธรรมนูญในส่วนการจัดเก็บภาษีและการจัดสรรเงินภาษี โดยต้องการดึงเอาเงินพิเศษที่เก็บจากภาษีบาปมาเข้าระบบการเงินการคลังของประเทศและผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา ทำให้ถูกตีโต้กลับมาว่านี่เป็นเงินพิเศษที่เก็บเพิ่มจากภาษีปกติที่บริษัทเหล้าบุหรี่ส่งให้รัฐ ถ้าดึงกลับไปก็เพียงแต่จะทำให้บริษัทไม่ต้องจ่ายภาษีพิเศษเพิ่ม และรัฐต้องนำภาษีปกติมาจัดสรรให้ 3 องค์กรนี้แทน

การออกหมัดชกลมของ “บิ๊กตู่” กับ “หม่อมอุ๋ย” ทำให้เรื่องดังกล่าวเงียบหายไป พร้อมกับการเปลี่ยนตัวรองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าทีมเศรษฐกิจคนใหม่ เป็นนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์

เมื่อประเด็นเรื่องความโปร่งใสในการบริหารงาน การใช้เงินคุ้มค่าตรงตามวัตถุประสงค์หรือไม่ยังเป็นที่ค้างคาใจ และเป็นเรื่องที่ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องการให้มีการเข้ามาตรวจสอบอย่างจริงจัง เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2558 พล.อ.ประยุทธ์ จึงได้มอบหมายให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) เข้าไปตรวจสอบการใช้จ่ายเงินงบประมาณของทั้ง 3 องค์กร คือ สสส. สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส และกองทุนพัฒนากีฬาแห่งชาติ

อย่าลืมว่า คตร. เป็นหน่วยงานที่ คสช. ตั้งขึ้นเพื่อเป็นมือตรวจสอบข้างกาย พล.อ.ประยุทธ์ โดยแต่งตั้งขึ้นภายใต้คำสั่ง คสช. ที่ 45/2557 เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2557 มี พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ ปลัดบัญชีทหารบก เป็นประธาน (ในขณะนั้น) และมีปลัดกระทรวงการคลัง และผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เป็นรองประธาน มีกรรมการร่วม รวม 18 คน ทำหน้าที่ติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐให้การบริหารราชการแผ่นดิน และการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเป็นไปด้วยความรอบคอบมีความโปร่งใส อยู่ในระเบียบวินัยการเงินและการคลัง ควบคู่ไปกับการตรวจสอบตามปกติ

ที่ต้องเน้นย้ำก็คือ หลัง คตร.ตรวจสอบแล้วให้รายงานผลการดำเนินการและเสนอแนะความเห็นตรงต่อหัวหน้า คสช. เพื่อให้มีการดำเนินการในลักษณะที่เป็นคุณหรือเป็นโทษต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง

ดังนั้น จงอย่าได้แปลกใจที่การตรวจสอบ สสส. จาก คตร. จะออกมารวดเร็วทันใจใช้เวลาไม่ถึงสองเดือนก็ส่งรายงานถึงมือนายกรัฐมนตรี นั่นเป็นเพราะนายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) นั่งเป็นรองประธาน คตร.อยู่ด้วย และที่ผ่านมา สตง.มีรายงานการตรวจสอบ สสส. มาโดยตลอด เพียงแต่ไม่เป็นข่าวคราวใหญ่โต และเรื่องการใช้เงินที่ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ สตง.เคยเตือน สสส. มาแล้ว

สำหรับรายงานการประเมินผลการใช้จ่ายเงินและทรัพย์สิน ปี 2557 กองทุน สสส. ลงวันที่ 3 กันยายน 2558 ที่ สตง. ส่งผ่าน คตร. ส่งต่อถึงมือนายกรัฐมนตรี สรุปใจความสำคัญได้ว่า การบริหารงานที่ผ่านมายังไม่บรรลุวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งกองทุนและเป้าหมายตามแผน การดำเนินงานมีความไม่โปร่งใส และขาดการรายงานและติดตามผลของโครงการที่ได้เงินสนับสนุน โดยสรุปได้ ดังนี้

1.ผลการดำเนินการลดอัตราการสูบบุหรี่ และลดอัตราการดื่มสุราไม่เป็นไปตามเป้าหมาย 2.การทำแผนหลักระยะ 3 ปี (ปี 2555-2557) ไม่มีรายละเอียดโครงการ คือ มีเพียงการกำหนดแผนและวงเงินงบประมาณของแต่ละแผน แต่ไม่มีการกำหนดจำนวนเงิน หรือวงเงินของโครงการที่จะดำเนินงาน ทำให้ไม่สามารถติดตามผลและประเมินผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3.แผนการดำเนินงานปี 2557 ไม่มีการกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดให้สอดคล้องกับแผนหลักระยะ 3 ปี

นอกจากนี้ การอนุมัติเงินอุดหนุนโครงการไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์การจัดตั้ง สสส. และไม่โปร่งใส ได้แก่

1.มีการให้เงินอุดหนุนโครงการสวดมนต์ข้ามปี วงเงิน 33.45 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นค่าจ้างจัดงานและประชาสัมพันธ์ เป็นเงิน 23.19 ล้านบาท และโครงการสนับสนุนการส่งคนไปปฏิบัติงานในองค์การอนามัยโลก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ วงเงิน 3.84 ล้านบาท โดยเป็นการตามภารกิจของกรมสรรพสามิต โดยทั้งสองโครงการไม่ได้ช่วยสร้างเสริมและสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพและการลดการสูบบุหรี่และการดื่มสุราของประชาชนตามวัตถุประสงค์การจัดตั้งกองทุน สสส.

2. มีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการ สสส. และผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อกลั่นกรองทางวิชาการ จัดตั้งมูลนิธิหลายแห่งและได้เงินอุดหนุนโครงการจากกองทุน สสส. และบางโครงการที่ได้รับเงินอุดหนุนมีผู้ที่เกี่ยวข้องกับการอนุมัติโครงการ ผู้ประสานงานโครงการ และเจ้าหน้าที่กองทุน สสส. ร่วมเดินทางไปศึกษาดูงานในต่างประเทศกับผู้ได้รับทุนตามโครงการ ทำให้มีข้อร้องเรียนหรือกล่าวหาในเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน

3. มีการจ่ายเงินอุดหนุนโครงการเป็นค่าจ้างบุคคล โดยไม่ผ่านกระบวนการสรรหาตามหลักการบริหารงานบุคคล ไม่เป็นไปตามกรอบอัตรากำลังของกองทุน สสส. และบางตำแหน่งไม่เป็นไปตามตามวัตถุประสงค์การจัดตั้งกองทุน สสส.

4. การจ่ายเงินงวดแรกให้โครงการที่อุดหนุนในอัตราสูง โดยยังไม่มีการดำเนินงาน กล่าวคือมีการจ่ายเงินในอัตราสูง 50-100% ของวงเงินที่อนุมัติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อเงินของรัฐ เนื่องจากมีโครงการดังกล่าวจำนวนมากที่ครบกำหนดระยะเวลาการดำเนินงานแล้ว แต่ยังไม่แล้วเสร็จตามข้อตกลง

5. ไม่มีการรายงานและติดตามผลการดำเนินงานโครงการที่อุดหนุน โดยมีเพียงการรายงานความก้าวหน้าโครงการและสรุปปัญหาและอุปสรรคโดยผู้ประสานงานโครงการ ทำให้มีโครงการที่ครบกำหนดตามระยะเวลาการดำเนินงานแล้ว ตั้งแต่ปี 2550 -2557 แต่ยังไม่สามารถปิดโครงการได้ 1,194 โครงการ

สตง. สรุปว่า จากผลการตรวจสอบดังกล่าว เห็นว่า การดำเนินการไม่บรรลุวัตถุประสงค์ และเป้าหมายการอนุมัติ และการใช้จ่ายเงินที่ไม่โปร่งใสหลายรายการ ตลอดจนค่าใช้จ่ายมีแนวโน้มสูงกว่ารายได้ สตง.จึงเห็นว่า ควรทบทวนการนำส่งเงินบำรุง และนำเข้าสู่งบประมาณแผ่นดิน ให้มีกลไกป้องกันการแทรกแซงจากฝ่ายการเมืองและฝ่ายอื่นๆ เพื่อให้การใช้จ่ายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

ก่อนหน้านี้ สตง.เคยส่งหนังสือการตรวจสอบถึงมือผู้จัดการ สสส.มาแล้ว อาทิ หนังสือเลขที่ ตผ. 0014/2952 ลงนามโดยนายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่า สตง. เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2558 ส่งถึงผู้จัดการ สสส. ระบุถึงการตรวจสอบแผนงานสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคม สสส.ในปีงบประมาณ 2553 - 2558

พบว่า 1.อัตราการเบิกจ่ายจริงต่ำกว่างบประมาณที่ได้รับ ทำให้การดำเนินงานไม่เป็นไปตามแผน เช่น แผนระยะที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน 2553 - 19 มีนาคม 2555 เบิกจ่ายจริงเพียง 20.18 ล้านบาท จากงบประมาณ 105.35 ล้านบาท 2.การรับรองกิจการเพื่อสังคมยังไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ทำให้กิจการต่างๆ เสียโอกาสในการได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐ เนื่องจากขาดหลักเกณฑ์และวิธีการในการยื่นคำขอหนังสือรับรองกิจการเพื่อสังคม

3.การดำเนินงานโครงการกองทุนสนับสนุนผู้ประกอบการเพื่อสังคมระยะเริ่มต้น ไม่บรรลุตามเป้าหมาย โดยพบว่า สสส.ได้อนุมัติงบประมาณ 14.90 ล้านบาท ให้กับสถาบัน Change Fusion เพื่อเป็นกองทุนต้นแบบพัฒนาศักยภาพและขยายเครือข่ายให้อยู่รอดและดำเนินธุรกิจนั้น ปรากฏว่าไม่บรรลุเป้าหมาย มีการยกเลิกกิจการจำนวน 10 แห่งจาก 26 แห่ง

และ 4.การดำเนินงานโครงการพัฒนาศูนย์ส่งเสริมนวัตกรรมทางสังคมและองค์กรทางสังคม มีปัญหาความล่าช้ากว่าแผน โดยพบว่าวันที่ 31 มกราคม 2558 มีการเบิกจ่ายงบเพียง 1 แสนบาท จากทั้งหมด 35 ล้านบาท ทำให้โครงการอื่นที่ยังไม่ได้รับการจัดสรรเสียโอกาสและยังไม่มีการศึกษาข้อมูลเพื่อบริหารความเสี่ยงของการดำเนินงานให้ครบถ้วน ทาง สตง. จึงมีความเห็นให้สสส.ควบคุมกำกับการเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามแผน พร้อมทั้งประเมินผลการจ่ายเงินโครงการอย่างสม่ำเสมอ , จัดเตรียมความพร้อมด้านต่างๆ เพื่อให้สามารถรองรับกิจการเพื่อสังคมตามหลักเกณฑ์ ฯลฯ



นอกจากนี้ นายพิศิษฐ์ ยังทำหนังสือด่วนที่สุด ที่ ตผ.0014/6248 ลงวันที่ 19 ตุลาคม 2558 เรื่อง การตรวจสอบกรณีผลประโยชน์ทับซ้อนของ สสส. ถึงประธาน บอร์ด สสส. โดยระบุว่า พบการดำเนินงาน 2 เรื่องของ สสส.ที่มีความเสี่ยงก่อให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อนและความไม่โปร่งใส คือ 1.การจัดทำประมวลจริยธรรมไม่เป็นไปตามแนวทางของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบข้าราชการ (ก.พ.ร.) โดยพบว่าระเบียบกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพว่าด้วยประมวลจริยธรรมของผู้จัดการและเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2553 ไม่มีในส่วนของคณะกรรมการต่างๆ

2.การกำหนดวาระการดำรงตำแหน่งของคณะกรรมการบริหารแผนไม่เป็นไปตามคู่มือการบริหารและกำกับดูแลคณะกรรมการองค์การมหาชนของ ก.พ.ร. ซึ่งกำหนดให้มีวาระการดำรงตำแหน่งได้ไม่เกินคราวละ 4 ปี ห้ามดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกิน 2 วาระ แต่จากหลักเกณฑ์และวิธีการจัดสรรเงินเพื่อการสนับสนุนโครงการและกิจกรรม พ.ศ.2554 กำหนดให้คณะกรรมการบริหารแผนมีวาระการปฏิบัติหน้าที่คราวละ 3 ปี หรือตามที่บอร์ด สสส.กำหนด แต่ไม่มีการกำหนดวาระการดำรงตำแหน่ง ทำให้คณะกรรมการบริหารแผนแต่ละคณะมีกรรมการบริหารแผนจำนวน 1-5 คน ดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกิน 2 วาระ

สตง.จึงมีข้อเสนอแนะให้ประธานบอร์ด สสส.พิจารณาดำเนินการ โดยให้จัดทำประมวลจริยธรรมของคณะกรรมการต่างๆ ให้เป็นไปตามแนวทางของ ก.พ.ร. และกำหนดวาระการดำรงตำแหน่งของคณะกรรมการบริหารแผนและคณะกรรมการอื่นๆ ให้เป็นไปตามคู่มือของ ก.พ.ร.

เมื่อปักธงกันชัดเจนมาแต่ไก่โห่มีหรือจะรอด หลังการนำเสนอข่าวการตรวจสอบ สสส.ครึกโครม พล.อ.ประยุทธ์ ก็ออกมาบอกว่าต้องมีการปรับเปลี่ยนโยกย้ายผู้บริหาร เนื่องจากดำเนินงานไม่ตรงวัตถุประสงค์หรือไม่ได้ผล ระเบียบการใช้งบของกองทุนไม่ชัดเจน กรอบการพิจารณางบกว้างเกินไป และไม่มีระบุเวลาการใช้งบที่แน่ชัด และถ้าภายหลังพบการเรียกรับผลประโยชน หรือการทุจริตจะดำเนินคดีทางกฎหมาย จากนั้นไม่กี่วันถัดมา ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ ผู้จัดการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ก็ไขก๊อกลาออก พร้อมกับปรามไม่ให้เครือข่ายภาคีออกมาเคลื่อนไหว แต่ให้สื่อสารกับสังคมว่าผลงานของเครือข่าย สสส. นั้นประสบผลสำเร็จอย่างไรบ้าง

เอาแค่รายงานจาก "มือตรวจสอบ" ถึงกับงัดผู้จัดการ สสส. ลงจากตำแหน่ง ที่น่าสนใจใคร่ติดตามอย่างยิ่งนับจากนี้ก็คือ เมื่อรายงานตรวจสอบดังกล่าว ถูกส่งต่อมายัง "มือปราบ" ข้างกาย คสช. นั่นคือ “บิ๊กต๊อก” พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ในฐานะประธานศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) ที่มีผลงานลือลั่นถอดยศนายทักษิณ ชินวัตร มาแล้ว จึงบอกได้คำเดียวว่า สสส.มีเสียวแน่

และที่บอกว่าน่าสนใจอย่างยิ่งในการเข้ามาตรวจสอบ สสส. ของบิ๊กต๊อกคราวนี้ ก็คือ ใครก็รู้ว่า “บิ๊กต๊อก” เป็นเพื่อนร่วมรุ่นวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) 51 รุ่นเดียวกันกับ “หมอณรงค์” นายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ อดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุข ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับกลุ่มหมอชนบทเครือข่ายเพื่อนพ้องน้องพี่ตระกูล ส. ชนิดที่เรียกว่าผีไม่เผาเงาไม่เหยียบเลยทีเดียว

ศึกเสื้อกาวน์ยกก่อนหน้านั้น หมอชนบทร้องเรียนหมอณรงค์ ข้อหาทุจริตจนถูกเด้งไปนั่งตบยุงอยู่ที่สำนักนายกฯ เป็นนาน และสุดท้ายผลสอบออกมาหมอณรงค์ไม่ได้ผิดอะไรจึงกลับคืนรังและเกษียณอายุราชการในตำแหน่งปลัดกระทรวง

ผลของศึกเสื้อกาวน์ นอกจากหมอณรงค์ จะไม่ผิดแล้ว ยังมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันคือ นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพ (สปสช.) ถูกคำสั่งเด้งฟ้าผ่าจากการใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของพล.อ.ประยุทธ์ สั่งย้ายเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างการถูกตรวจสอบ ซึ่งตอนนั้น สปสช.ถูก ป.ป.ท. เข้าตรวจสอบตามที่บิ๊กต๊อก ประธาน ศอตช. เป็นผู้มอบหมาย

ถึงแม้ว่า บิ๊กต๊อก จะปฏิเสธ ไม่ได้สนิทสนมอะไรกับหมอณรงค์ และการตรวจสอบองค์กรตระกูล ส. ก็เป็นเรื่องที่ดำเนินการตามที่มีการร้องเรียนกันเข้ามาก็ตาม แต่การเข้ามาจัดระเบียบ สปสช. ตามด้วย สสส. ใครๆ ก็มองออกว่านี่ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดา

อย่างไรก็ตาม การเข้ามาจัดระเบียบใหม่ สสส.ระหว่างนี้ ถือเป็นการหยั่งกระแสสังคมก่อนว่าจะออกมาเช่นใด ดังจะเห็นได้จากการประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบการใช้งบของ สสส. เมื่อวันที่ 19 ตุลาคมที่ผ่านมา บิ๊กต๊อก ออกมาบอกว่ายังไม่มีความคืบหน้าอะไร รอเรียกผู้บริหาร สสส. มาชี้แจงในวันที่ 26 ตุลาคมนี้เสียก่อน ส่วนเครือข่ายที่รับเงินสนับสนุนจาก สสส. ยังไม่ได้เรียกมาต้องว่าไปทีละขั้นตอน

สำหรับประเด็นที่จะตรวจสอบนั้น บิ๊กต๊อก บอกว่า จะยึดตามที่ คตร. และ สตง. ได้รายงานผลการตรวจสอบและสรุปได้เป็น 3 ประเด็น คือ 1. พบว่ามีการใช้จ่ายงบประมาณไม่เป็นไปตามระเบียบการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดิน 2. เมื่อใช้จ่ายไม่เป็นไปตามระเบียบก็ต้องมีคนรับผิดชอบ และ 3. แนวทางแก้ไขซึ่งต้องแก้ไขระบบระเบียบ แก้ไขกฎหมาย โดยจะเชิญผู้บริหาร สสส. มาชี้แจง ต่อศอตช. ในสัปดาห์หน้าโดยจะลงรายละเอียดเป็นรายโครงการ

แล้วก็เป็นไปตามคาด กระแสความเคลื่อนไหวของเครือข่าย สสส. ที่มีประปรายนับแต่ คสช .สั่งให้ ศอตช.เข้ามาตรวจสอบก็ถึงจุดพีกสุด โดยกลุ่มเอ็นจีโอที่เป็นภาคีเครือข่าย สสส. เช่น เครือข่ายเหล้า แรงงาน ครอบครัว เกษตร เครือข่ายผู้หญิง และเยาวชน เป็นต้น นัดหมายเปิดแถลงข่าว เมื่อวันที่ 22 ต.ค. 2558 ที่สำนักงานกลางนักเรียนคริสเตียน สะพานหัวช้าง เพื่อชี้แจงทำความเข้าใจเกี่ยวกับการทำโครงการต่างๆ ว่า เกี่ยวข้องกับสุขภาพและสุขภาวะอย่างไรและประชาชนได้ประโยชน์อะไร

นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค หนึ่งในภาคีเครือข่าย สสส. แสดงท่าทีไม่ได้หวาดหวั่นต่อการเข้ามาตรวจสอบแต่อย่างใด เพราะเชื่อมั่นในผลงานของมูลนิธิฯ ที่ปรากฏต่อสาธารณชนมาโดยตลอด “เรื่องนี้หากตรวจสอบโดยปราศจากสิ่งซ่อนเร้นก็ถือเป็นเรื่องดี แต่ส่วนตัวมองว่า หากไม่ใช่พรรคพวกก็จะถูกตรวจสอบ หากใช่ก็ไม่ถูกตรวจสอบ เพราะการตรวจสอบข้อเท็จจริงควรต้องมีการเปิดเผยผลการสอบให้สาธารณะทราบด้วย”

ศึกกระทรวงหมอที่มีการล็อกเป้าถล่มเครือข่ายตระกูลส.และหมอชนบท โดยยืมมือบิ๊กทหารเข้ามาจัดการรอบนี้ต้องเรียกว่าเป็นศึกที่ใหญ่หลวงนัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การบริหารและการดำเนินงานของ สสส. นั้น มีปัญหา มีจุดอ่อนที่ต้องกำจัด

การยิงปืนนัดนี้ของ คสช.นอกจากจะเป็นการจัดระเบียบตระกูล ส. แล้ว ยังเท่ากับเป็นการจัดระเบียบภาคประชาสังคมไปพร้อมๆ กันอีกด้วย


กำลังโหลดความคิดเห็น