ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -การจับกุม “แก๊งแอบอ้างเบื้องสูง” เรียกรับผลประโยชน์อันมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ประกอบด้วย “หมอหยอง-นายสุริยัน สุรจริตพลวงศ์” “สารวัตรเอี๊ยด-พ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา” และ นายจิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ หรือ อาท ชัตเตอร์มหาเทพ คนสนิทของหมอหยองนั้น นับเป็นคดีใหญ่คดีที่สองที่สร้างความสะท้านสะเทือนไปทั่วราชอาณาจักรไทยไม่แพ้คดีแรก ซึ่งมี “เดอะกิ๊ก-พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์” อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และ “อดีตพี่น้องสกุลอัครพงศ์ปรีชา” ที่ภายหลังเปลี่ยนมาใช้ “สุวะดี” เลยทีเดียว
เนื่องเพราะใครเลยจะคาดคิดว่า หลังคดีของเดอะกิ๊กแล้ว จะมีใครหน้าไหนกล้าในบ้านนี้เมืองนี้แอบอ้างเบื้องสถาบันไปเรียกรับผลประโยชน์ได้อีก
กองทัพร้องทุกข์ “แก๊งหยอง” เหิม อ้างสถาบันเรียกรับผลประโยชน์
ทั้งนี้ ก่อนหน้าที่ศาลทหารจะมีการออกหมายจับและนำตัวไปฝากขังเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2558 ที่ผ่านมานั้น ข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้เต็มไปด้วยความสับสนและเต็มไปด้วยข่าวลือเรื่องของหมอดูคนดัง กระทั่งมีความชัดเจนขึ้นเมื่อ พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) ได้ลงนามในคำสั่ง กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ที่ 267/2558 วันที่ 18 ตุลาคม 2558 ย้ายตำรวจ 8 นาย
ประกอบด้วย 1. พ.ต.อ. ศิวพงษ์ พัฒน์พงศ์พานิช รองผู้บังคับการปราบปราม 2. พ.ต.อ. ไพโรจน์ โรจนขจร ผู้กำกับการ 2 กองบังคับการปราบปราม 3. พ.ต.ท. วสุ แสงสุกใส รองผู้กำกับการ 2 กองบังคับการปราบปราม 4. พ.ต.ท. ธรรมวัฒน์ หิรัณยเลขา รองผู้กำกับการ 2 กองบังคับการปราบปราม 5. พ.ต.ท. จีรวัฏฐ์ บุญวัฒนาภรณ์ สารวัตรสถานีตำรวจทางหลวง 2 กองกำกับการ 1 กองบังคับการตำรวจทางหลวง 6. พ.ต.ท. ณัทกฤช พรหมจันทร์ สารวัตร กองกำกับการ 2 กองบังคับการปราบปราม 7. พ.ต.ท. พิทยา กล่ำ เอม สารวัตรกลุ่มถวายงานความปลอดภัย กองบังคับการตำรวจทางหลวง 8. พ.ต.ท. สุวัฒนชัย ศรีทองสุข สารวัตร กองกับการ 1 กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์
สังคมงุนงงว่า ตำรวจเหล่านั้นโดนย้ายด้วยเรื่องอะไร
ถัดจากนั้นไม่นานนัก เรื่องก็มีความชัดเจนขึ้นทีละน้อยในวันรุ่งขึ้นคือวันที่ 19 ตุลาคม 2558 เมื่อ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ยอมรับว่ามีคำสั่งแต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนในกรณีที่มีบุคคลแอบอ้างสถาบันเบื้องสูงไปกระทำการมิบังควร ซึ่งเข้าข่ายเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา112 โดยมอบหมายให้ พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้ช่วย ผบ.ตร. ดูแลงานด้านความมั่นคง เป็นหัวหน้าชุดพนักงานสืบสวนสอบสวน และมี พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) เป็นรองหัวหน้าพนักงานสอบสวน
และได้รับการเปิดเผยจาก พล.ต.ท.ศรีวราห์ว่า หน่วยงานที่ร้องทุกข์เรื่องดังกล่าวก็คือ “กองทัพบก” และศาลได้อนุมัติหมายจับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ยังไม่ขอเปิดเผยรายชื่อบุคคล จำนวน และรายละเอียดพฤติการณ์ และแย้มว่าจะนำตัวผู้ต้องหาไปฝากขังในวันที่ 21 ตุลาคม
ขณะที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ได้ยอมรับในเวลาต่อมาว่ามีข้าราชการตำรวจและพลเรือนที่มีชื่อเสียง ซึ่งปรากฏในสื่อก่อนหน้านี้เข้ามาเกี่ยวข้องจริง
“ผู้ต้องหาคดีนี้ทั้งหมดมีพฤติกรรมชัดเจนว่า แอบอ้างเบื้องสูงในการเรียกรับผลประโยชน์ ซึ่งมีเจ้าทุกข์เป็นกองทัพบกนำข้อมูลมาร้องให้ตำรวจดำเนินคดี”บิ๊กแป๊ะแย้มรายละเอียดมาทีละน้อย
ต่อมาวันที่ 21 ตุลาคม 2558 ที่ศาลทหารกรุงเทพ กรมพระธรรมนูญ กระทรวงกลาโหม พ.ต.อ.ชยุต มารยาทตร์ รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 6 ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะพนักงานสอบสวนคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูง พร้อมด้วย พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารพระธรรมนูญ นำเอกสารคำร้องมายื่นต่อศาลทหารกรุงเทพ เพื่อขอฝากขังผู้ที่ถูกหมายจับในฐานความผิดคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ผลัดแรก เป็นระยะเวลา 12 วัน พร้อมทั้งยื่นคำร้องขอศาลทหารกรุงเทพอนุมัติออกหมายจับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเพิ่มเติมด้วยอีก 1 คน
และในที่สุดรายชื่อก็เปิดเผยออกมาว่า ผู้ต้องหาคดีแอบอ้างสถาบันเบื้องสูงเรียกรับผลประโยชน์ที่ศาลทหารออกหมายจับและขอฝากขังในชุดแรกมีทั้งหมด 3 คนด้วยกันคือ
หนึ่ง-หมอหยอง นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ หมอดูชื่อดัง อายุ 53 ปี
ถูกดำเนินคดีในข้อหา ข้อหา ร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ฯ
สอง-นายจิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “อาท ชัตเตอร์มหาเทพ” อายุ 29 ปี คนสนิทของหมอหยอง
ถูกดำเนินคดีในข้อหา ข้อหา ร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ฯ
และสาม-สารวัตรเอี๊ยด พ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา สว.กก.1 บก.ปอท. อายุ 44 ปี
ถูกดำเนินคดีในข้อหา ข้อหา ร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ฯ และข้อหา มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง / มีใช้ซึ่งวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต และตั้งวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต / ปลอมเอกสารราชการและใช้เอกสารราชปลอมอีกด้วย
พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผช.ผบ.ตร.ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนเปิดเผยว่า ทั้งสามคนถูกตั้งข้อหาแอบอ้างเบื้องสูง โดยเบื้องต้นทั้ง 3 คนให้การรับสารภาพแล้ว ส่วนหลักฐานและพฤติกรรมที่จะบ่งชี้ความผิดอยู่ในสำนวน ไม่สามารถเปิดเผยได้ รวมทั้งยังมีข้อหาอื่นๆ อีกด้วย เช่น อาวุธสงคราม เป็นต้น
“จากการสอบสวนผู้ต้องหาทั้งสามคนให้การรับสารภาพ และให้การพาดพิงถึงตำรวจสังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง 8 นาย ที่ถูกสั่งช่วยราชการก่อนหน้านี้ และจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าผู้ต้องหากระทำความผิดมาแล้วไม่ต่ำกว่า 2 เดือน และมีความผิดมากกว่า 1 กรรม และเชื่อว่ามีผู้ร่วมขบวนการอีก และขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบหลักฐานว่ามีความความเชื่อมโยงถึงบุคคลใดบ้าง ก็จะมีการดำเนินคดี และออกหมายจับเพิ่มเติม” พล.ต.ท.ศรีวราห์ให้ข้อมูล
อย่างไรก็ตาม นอกจากจับกุมคุมขังแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจยังได้มีการมีการยึดรถและทรัพย์สินของบุคคลทั้งสามเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นปืน รถ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ วิทยุสื่อสาร เป็นต้น
ทั้งนี้ คดีดังกล่าวสืบเนื่องจาก คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ตรวจพบว่า มีกลุ่มบุคคลร่วมกันกระทำผิดโดยมีพฤติการณ์แอบอ้างหรือ แสดงออกในลักษณะต่างกรรมต่างวาระกัน เพื่อให้ประชาชนหรือบุคคลโดยทั่วไปเข้าใจว่า ตนเองมีความใกล้ชิดกับสถาบันเบื้องสูง และได้เรียกหรือรับผลประโยชน์จากการดำเนินการดังกล่าว รวมทั้งได้กระทำความผิดตามกฎหมายอื่นๆ อีกหลายฐานความผิด การกระทำของกลุ่มบุคคลดังกล่าว ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสถาบันฯ และความเสียหายอื่นๆในวงกว้าง
เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของทหาร ได้ใช้อำนาจตามคำสั่ง คสช.ที่ 3/2558 เรียกตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องมาเพื่อสอบถามข้อมูลและควบคุมตัวไว้ จากการซักถามพบว่ามีมูลกระทำผิดจริงจึงได้มอบหมายให้ พล.ต.วิจารณ์ จดแตง หัวหน้าฝ่ายกฎหมาย คสช. มาแจ้งความร้องทุกข์ ให้ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด ฐาน “หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112 จากนั้น พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน โดยมี พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวน
อย่างไรก็ตาม นอกจากนายตำรวจสัญญาบัตร 8 นายที่ถูกย้ายฟ้าผ่าไปก่อนหน้านี้แล้ว ในวันที่นำตัว “หมอหยองแอนด์เดอะแก๊ง” ไปขออนุญาตศาลทหารฝากขัง กองปราบปรามก็ได้มีคำสั่งย้ายตำรวจระดับประทวนอีก 5 นายไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการจำนวน 5 นาย ซึ่งคาดว่าจะมีความเกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าว
ประกอบด้วย 1. สิบตำรวจตรี สายชล ศิลาไศล ผู้บังคับหมู่ กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจปราบปราม 2. สิบตำรวจตรี อภิวัฒน์ นาคจีน ผู้บังคับหมู่ กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจปราบปราม 3. สิบตำรวจตรี ราชฤทธิ์ พวงไสว ผู้บังคับหมู่ กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจปราบปราม 4. สิบตำรวจตรี สารัตน์ แก้วดอนโมง ผู้บังคับหมู่ กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจปราบปราม และ 5. สิบตำรวจตรี คมสัน ชงสกุล ผู้บังคับหมู่ กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจปราบปราม
ตีแผ่เส้นทางชีวิต “หยอง-อาท-เอี๊ยด”
กล่าวสำหรับหมอหยองนั้น มีชื่อจริงว่า “สุริยัน สุจริตพลวงศ์” ซึ่งในแวดวงโหราศาสตร์หรือแวดวงหมอดูต่างรู้จักกันดี และหลายคนที่ติดตามแฟนเพจของเขาคงมักคุ้นเคยกับคำพูดที่หมอดูชื่อดังคนนี้ใช้อยู่เป็นประจำคือคำว่า “จริงใจนะ”
หมอหยองเกิดเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน พื้นเพเป็นคนเมืองตรังโดยกำเนิด สำเร็จการศึกษามัธยมต้นจากโรงเรียนวิเชียรมาตุ อ.เมือง จ.ตรัง ระดับมัธยมปลาย ที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา พญาไท กรุงเทพฯ ระดับปริญญาตรี จบคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ระดับปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยเซนต์มาร์ติน ลอนดอน ด้านการออกแบบโฆษณาและงานประชาสัมพันธ์
เคยเป็นอาจารย์พิเศษสอนวิชาโฆษณาและประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยหลายแห่ง อาจารย์พิเศษสอนวิชาจิตวิทยาและการพัฒนาตนเองให้ประสบความสำเร็จ เป็นผู้บริหารสถาบันพัฒนาการฝึกอบรมชีวิตและคุณภาพ โดยจัดทีมอบรมให้กับหน่วยงาน องค์กร ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อพัฒนาบุคลากร
เคยเป็นกรรมการอำนวยการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ รองเลขาธิการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กรรมการอำนวยการสภาสังคม สงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ สมาชิกกิตติมศักดิ์สมาคมแม่บ้านมหาดไทย เป็นกรรม การบริหารศูนย์ส่งเสริม และประสานงานครอบครัวอบอุ่นและเป็นสุข กระทรวงมหาดไทย ฯลฯ
หมอหยองมีชื่อเสียงในฐานะนักโหราศาสตร์ชื่อดังระดับแนวหน้ามาเป็นเวลานาน
หมอหยองหายหน้าหายตาจากแวดวงสื่อและแวดวงโหราศาสตร์ไปพักใหญ่ หรือถ้าจะใช้คำว่า “ตกสวรรค์” หรือ “ดวงแตก” มาแล้วครั้งหนึ่งก็คงจะไม่ผิดไปจากความจริง กระทั่งกลับมาปรากฏตัวอีกครั้งในฐานะ “ที่ปรึกษาคณะอนุกรรมการฝ่ายจัดงานกิจกรรมพิเศษโครงการ “ไบค์ ฟอร์ มัม”
หลังเสร็จงานหมอหยองได้รับการแต่งตั้งจากสมาคมจักรยานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็น “ประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์” จากนั้นก็ปรากฏตัวตามสื่อต่างๆ เป็นระยะๆ
ก่อนหน้าที่จะถูกออกหมายจับในคดีหมิ่นสถาบัน แอบอ้างเบื้องสูงเรียกรับผลประโยชน์ หมอหยองเป็นคนแรกที่เปิดเผยกิจกรรม “ปั่นเพื่อพ่อ Bike For Dad” ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 11 ธันวาคม 2558 และจากนั้นได้เดินสายเข้าร่วมประชุมกิจกรรม “ปั่นเพื่อพ่อ Bike For Dad” กับภาคเอกชนและภาครัฐบาลอย่างต่อเนื่อง โดยมีหลักฐานปรากฏในแฟนเพจ “สุริยัน หมอหยอง สุรจริตพลวงศ์” ดังนี้
วันที่ 1 ตุลาคม 2558 เข้าพบ “วิชัย ศรีวัฒนประภา” แห่งคิงเพาเวอร์และครอบครัว และในวันเดียวกันก็เข้าหารือกับ “มาดามแป้ง-นวลพรรณ ล่ำซำ” ประธานบริหารเมืองไทยประกันภัย
วันที่ 5 ตุลาคม 2558 เข้าพบหารือ “บิ๊กป๊อก-พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
วันที่ 9 ตุลาคม 2558 เข้าร่วมประชุมกับ “นายวีระ โรจน์พจนรัตน์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อเตรียมการเรื่องการจัดโขนกลางแปลงพระราชทานในกิจกรรมวันปั่นเพื่อพ่อ
วันที่ 11 ตุลาคม 2558 ปฏิบัติหน้าที่ประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ของสมาคมจักรยานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยมอบเหรียญรางวัลให้กับนักกีฬาที่เข้าร่วมแข่งขันจักรยานรายการ ACC ASIAN TRACK
วันที่ 14 ตุลาคม 2558 เข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมการจัดกิจกรรมปั่นจักรยานฝ่ายต่างประเทศ โดยมีนายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นประธาน ตามต่อด้วยการเข้าร่วมประชุมกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์ ซึ่งมี ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ที่กรมประชาสัมพันธ์ และเป็นการโพสต์ข้อความสุดท้ายของหมอหยองก่อนที่จะถูกจับกุมดำเนินคดีในการแอบอ้างเบื้องสูง
ขณะที่ “สารวัตรเอี๊ยด” นั้นถือเป็นนายตำรวจคนดังที่มีคดีความถึงขั้นถูกไล่ออกจากราชการไปแล้วครั้งหนึ่งเมื่อครั้งมียศ ร.ต.อ.ในตำแหน่ง รอง สว.งาน1กก.4 ศูนย์ข้อมูลข้อสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ด้วยข้อหากระทำความผิดวินัยร้ายแรง ปลอมแปลงลายพระหัตถ์ กำหนดการเสด็จของสมเด็จพระสังฆราช ตามคำสั่งตร.ที่ 441/2541 เมื่อปี พ.ศ.2541
ต่อมา พ.ต.ต.ปรากรมได้ทำเรื่องขอกลับเข้ารับราชการใหม่หลังอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง โดยในการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร. เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2558 ซึ่งมีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน ได้มีมติเอกฉันท์ให้รับกลับเข้ารับราชการตำรวจอีกครั้งในตำแหน่งสารวัตร สังกัดกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ ปอท.
มติ ก.ตร.ให้เหตุผลว่า เหตุที่ให้กลับเข้ารับราชการเป็นเพราะพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง และผ่าน พ.ร.บ. ล้างมลทิน แสดงว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ประกอบกับทางกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พิจารณาแล้วเห็นว่ามีความรู้ความสามารถและจบการศึกษาด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ฯ จึงพิจารณาเพิ่มยศ และให้สังกัด ปอท. เพื่อให้เข้ามาแก้ไขปัญหาเรื่องเว็บไซต์หมิ่นสถาบัน
“พิจารณาแล้วเห็นว่า ร.ต.อ.ปรากรม ไม่ได้กระทำความผิดจริง อีกทั้งพนักงานอัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง ถือว่าเป็นผู้ที่ไม่ได้มีความผิดติดตัว และผ่านการนิรโทษกรรม พ.ร.บ. ล้างมลทิน แล้ว ประกอบกับเห็นว่าเป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ จบปริญญาโทด้านเทคโนโลยี ซึ่งน่าจะสามารถช่วยงานแก้ปัญหาเว็บไซต์หมิ่น และเว็บไซต์ผิดกฎหมายอื่นๆ ได้ จึงเสนอ ก.ตร. ให้รับกลับเข้าราชการอีกครั้ง โดยที่ประชุม ก.ตร. มติเอกฉันท์ ส่วนสาเหตุได้กลับมาอยู่ในตำแหน่งที่สูงขึ้นเนื่องจากที่ประชุมเห็นว่าไม่ได้มีความผิดจริงตามถูกกล่าวหา เมื่อกลับเข้ามาจึงต้องให้สิทธิที่ก่อนหน้านี้ได้รับผลกระทบเสียสิทธิไป” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.ในขณะนั้นแจกแจงเหตุผลเมื่อครั้งรับสารวัตรเอี๊ยดกลับเข้ารับราชการ
สารวัตรเอี๊ยดได้รับคำสั่งให้ช่วยราชการที่ กก.2 บก.ป. โดยได้รับมอบหมายหน้าที่หลักในการตรวจสอบรวบรวมพยานหลักฐานและข้อมูลต่างๆ อันเป็นที่มาของการทลายเครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก.ในคดีหมิ่นเบื้องสูง รวมทั้งมีการตรวจค้นและยึดทรัพย์สินจำนวนมากจนเป็นข่าวโด่งดังในช่วงก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ พล.ต.อ.สมยศได้เซ็นคำสั่งไว้เมื่อวันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา วันสุดท้ายก่อนจะเกษียณอายุราชการ โดยให้ พ.ต.ต.ปรากรมมาดำรงตำแหน่ง สว.กก.ปพ.บก.ป.ซึ่งจะมีผลในวันที่ 30 ตุลาคมนี้ แต่ทาง พ.ต.ต.ปรากรม กลับมาถูกจับกุมคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูงและถูก พล.ต.อ.จักรทิพย์มีคำสั่งให้ออกจากราชการในขณะนี้
เกี่ยวกับชีวิตส่วนตัว สารวัตรเอี๊ยดเคยให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร “คอปส์แมกกาซีน” ฉบับเดือนเมษายน 2558 สรุปใจความได้ว่า เป็นลูกชายของ พล.ต.ท.วัฒนชัย วารุณประภา เป็นลูกคนที่ 2 ในจำนวนพี่น้อง 4 คน สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนเซนต์คาเบรียล และโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา จากนั้นได้รับทุนจากกระทรวงกลาโหมให้ไปศึกษาต่อที่โรงเรียนนายร้อยที่ประเทศอังกฤษ หลังจากสำเร็จการศึกษาตามหลักสูตรจึงเข้ารับราชการทหารในสังกัดศูนย์การทหารปืนใหญ่
ในช่วงต้นของการรับราชการตำรวจได้สังกัดศูนย์ข้อมูลข่าวสาร โดยเคยรับหน้าที่เป็นอนุกรรมการจัดซื้อจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ทดแทนระบบคอมพิวเตอร์เดิมที่ล้าสมัย จากนั้นได้เข้าอุปสมบทที่วัดบวรนิเวศฯ โดยช่วงที่บวชเป็นพระภิกษุและลาสิกขาได้ทำหน้าที่ตามเสด็จสมเด็จพระสังฆราช เป็นที่มาของคำเรียกว่า “นายเวรพระสังฆราช” ซึ่งมีหน้าที่คอยดูแลรับใช้ ดูหมายเสด็จ มีนามเรียกขานว่า “นว.รังษี 1” ออกวิทยุสื่อสารประสานงานตำรวจ ต่อมา พ.ต.ต.ปรากรม ได้ถูกกล่าวหาว่าปลอมลายพระหัตถ์สมเด็จพระสังฆราช จากกรณีเรื่องเส้นทางเสด็จของสมเด็จพระสังฆราช จนเป็นสาเหตุที่ถูกให้ออกจากราชการ แต่ภายหลัง พ.ต.ต.ปรากรม พ้นจากข้อกล่าวหาเนื่องจากอัยการสั่งไม่ฟ้องคดี และผ่าน พ.ร.บ.ล้างมลทิน
และเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2558 สารวัตรเอี๊ยดเพิ่งได้รับโล่เกียรติยศจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติในฐานะตำรวจดีเด่น พร้อมเข้ารับโล่จาก พล.ต.อ.สมยศ ก่อนถูกหมายจับพร้อมกับหมอหยองในคดีแอบอ้างสถาบันเรียกรับผลประโยชน์
สารวัตรเอี๊ยดนั้นถือว่ามีความสนิทสนมและทำงานร่วมกับหมอหยองมาโดยตลอด จนอาจใช้คำว่าอยู่ใน “ก๊วนเดียวกัน” เลยก็คงจะว่าได้
ด้านนายจิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ หรืออาท ชัตเตอร์มหาเทพนั้นถือเป็นคนสนิทและทำงานให้กับหมอหยองในฐานะเลขานุการส่วนตัว โดยมักติดสอยห้อยตามหมอหยองไปเข้าร่วมประชุมในที่ต่างๆ เสมอ
อาท เกิดเมื่อวันที่ 9 ม.ค.2529 ภูมิลำเนาเป็นชาวจังหวัดตรัง เป็นคนบ้านเดียวกับหมอหยอง นามสกุลเดิมคือ “ทองนา” ก่อนที่ภายหลังจะขอจดทะเบียนชื่อสกุลเป็น “วัฒนเทวาศิลป์” เมื่อวันที่ 26 ม.ค.2558
จากการตรวจสอบข้อมูลที่ผ่านมา โดยเฉพาะในเฟซบุ๊กส่วนตัว พบว่า มีภาพจำนวนมากที่บ่งบอกถึงความสัมพันธ์กับหมอหยอง ในฐานะเจ้านายอย่างใกล้ชิด รวมทั้งเวลาที่หมอหยองออกงานเข้าพบบุคคลสำคัญ เช่น นายวิชัย ศรีวัฒนประภา ประธานกรรมการกลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ หรือจะเป็นนายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ มหาเศรษฐีอันดับที่ 1 ของประเทศไทย ก็ยังมีรูปถ่ายร่วมกัน
นอกจากนี้ ยังพบว่า เขายังเคยรับมอบเข็มเครื่องหมาย วชิราวุธ ของกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ โดยระบุว่าเป็นผู้ที่บำเพ็ญคุณงามความดี มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี เมื่อวันที่ 31 มี.ค.ที่ผ่านมา รวมทั้งยังได้รับเข็มศักดิ์เดช ของกรมทหารปืนใหญ่ 1 รักษาพระองค์ ในฐานะสนับสนุนและสร้างคุณงามความดีให้กับกรมทหาร และกองทัพบก เมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมาอีกด้วย
และนั่นคือเรื่องราวของ “หมอหยองแอนด์เดอะแก๊ง” ที่วันนี้ “ดวงแตก” ตกสวรรค์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว