xs
xsm
sm
md
lg

หมายจับหมิ่นเบื้องสูง "ศรีวราห์"อุบรายชื่อ-จำนวน เล็งตั้ง“กองสงครามไซเบอร์”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการรายวัน - ผบ.ตร.รับ "ศรีวราห์" ดูคดีหมิ่นเบื้องสูง หลังมีข้อร้องเรียน ระบุคำสั่งโยกย้าย 8 นาย ตร.ไม่เกี่ยวคดีหมิ่นฯ "ศรีวราห์" เผยศาลทหารออกหมายจับหมิ่นสถาบันฯแล้ว หลังกองทัพร้องทุกข์ ปัดเผยชื่อ-จำนวน-พฤติการณ์ รู้แน่ 21 ต.ค.นี้ช่วงฝากขัง “บิ๊กเต้" ถก ผบ.เหล่าทัพนัดแรก ชูนโยบายป้องสถาบันฯ ชี้สงครามไซเบอร์นับวันยิ่งรุนแรง เตรียมตั้งกองกำลังรับมือ เชื่อ คปป.สร้างความปรองดองได้ ลั่นทุกเหล่าทัพอยู่ในแถวหนุน “รบ.-คสช.”

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) เปิดเผยถึงการแต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนในกรณีที่มีบุคคลแอบอ้างสถาบันเบื้องสูงไปกระทำการมิบังควร ซึ่งเข้าข่ายเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา112 โดยระบุว่า ได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้ช่วย ผบ.ตร. ดูแลงานด้านความมั่งคง เป็นหัวหน้าชุดพนักงานสืบสวนสอบสวน และมี พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) เป็นรองหัวหน้าพนักงานสอบสวน เบื้องต้นยังไม่ได้รับรายงานว่าเรื่องดังกล่าวเกิดจากสาเหตุใด ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนสาเหตุที่แน่ชัด ส่วนจะต้องเชิญใครมาสอบปากคำ หรือสอบสวนบ้างต้องคุยกับพล.ต.ท.ศรีวราห์เสียก่อน ซึ่งหากการสืบสวนปรากฎหลักฐานพาดพิงถึงบุคคลใด ก็ต้องเชิญมาสอบปากคำ หรือดำเนินการตามกฎหมาย

“"การตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนขึ้นมาพิจารณาคดี เป็นไปตามขั้นตอนปกติเนื่องจาก มีผู้ร้องเรียนเข้ามาก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย โดยขณะนี้ ยังไม่ทราบรายละเอียดว่ามีการพาดพิงถึงบุคคลตามที่มีข่าวลือต่างๆหรือไม่" พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าว

**”จักรทิพย์”ปัดลงรายละเอียดคดี

ผู้สื่อข่าวถามว่าขบวนการนี้มีขนาดใหญ่เช่นเดียวกับขบวนการของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก. ก่อนหน้านี้หรือไม่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวเพียงว่า ขอตรวจสอบรายละเอียดก่อน เรื่องนี้ต้องรอให้มีการสืบสวนสอบสวนเสียก่อน

เมื่อถามถึงกรณีที่มีคำสั่งช่วยราชการตำรวจในสังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง 8 นายมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีหมิ่นเบื้องสูงนี้หรือไม่ ผบ.ตร.กล่าวว่า ต้องสอบถามกับ พล.ต.ท.ฐิติราช แต่เบื้องต้นการตั้งคณะพนักงานสอบสวนคดีแอบอ้างสถาบันเบื้องสูงเป็นคนละเรื่องกับการโยกย้ายนายตำรวจทั้ง 8 นายดังกล่าว และเบื้องต้นยังไม่มีการสั่งให้ตำรวจรายใดช่วยราชการเพิ่มเติม อย่างไรก็ตามหากพบว่ามีข้าราชการตำรวจคนใด เข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีนี้ จะต้องให้ออกจากราชการไว้ก่อน เพราะเป็นคดีร้ายแรง

**เผยออกหมายจับหมิ่นเบื้องสูงแล้ว

ด้าน พล.ต.ท.ศรีวราห์ เปิดเผยถึงความคืบหน้าในคดีหมิ่นสถาบันฯ ในฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ว่า คดีนี้รีบทำอยู่แล้ว รายละเอียดในคดีอยู่ในสำนวน มีพยานหลักฐาน หลังจากกองทัพร้องทุกข์มีการขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ต้องหาในคดีนี้แล้ว แต่ไม่ขอเปิดเผยบุคคล จำนวน และรายละเอียดพฤติการณ์ ทุกอย่างอยู่ในสำนวน ไว้ทราบตอนที่ฝากขัง ซึ่งคาดว่าจะฝากขังผู้ต้องหาในวันที่ 21 ต.ค.นี้

พล.ต.ท.ศรีวราห์ ยังปฏิเสธที่จะตอบคำถามว่า คดีดังกล่าวเกี่ยวข้องกับตำรวจ 8 นาย ในสังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ที่ถูกโยกย้ายไปช่วยราชการศูนย์ปฏิบัติการกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง หรือบุคคลตามที่มีกระแสข่าวเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่

** ผบ.สส.มอบนโยบาย 4 เหล่าทัพ

ที่กองบัญชาการกองทัพไทย พล.อ.สมหมาย เกาฏีระ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธานการประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพ ครั้งที่ 1/2559 โดยมีผู้บัญชาการเหล่าทัพ ผบ.ตร. พร้อมคณะนายทหารชั้นผู้ใหญ่ เข้าร่วมประชุมกันอย่างพร้อมเพรียง

พล.อ.สมหมาย เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า วันนี้ตนให้นโยบายให้ทุกเหล่าทัพ ในการกำหนดแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี และ 20 ปี เพื่อให้สอดคล้องกับแนวนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ได้บัญชาให้มียุทธศาสตร์เหล่าทัพ 20 ปี ทั้งนี้นโยบายที่สำคัญคือ 1.การถวายความจงรักภักดี และการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ 2.การป้องกันประเทศ การรักษาผลประโยชน์ของชาติ ทั้งทางบก ทางทะเล และทางอากาศ พร้อมทั้ง3.การพัฒนาประเทศ การช่วยเหลือประชาชนด้วยการบรรเทาสาธารณภัย ไม่ว่าจะเกิดขึ้นภายใน และต่างประเทศ

** เล็งตั้ง “กองสงครามไซเบอร์”

พล.อ.สมหมาย กล่าวต่อว่า สำหรับเรื่องพิเศษที่ตนเน้นย้ำ คือ ประเด็นสงครามทางไซเบอร์ ที่นับวันยิ่งทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น ดังนั้นเราจึงจัดตั้งกองสงครามไซเบอร์ พร้อมทั้งจัดทำยุทธศาสตร์ไซเบอร์ของกองทัพขึ้นอีกด้วย สำหรับกองทัพรูปแบบใหม่เข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียนนั้น ในปี 2559 นั้น ในความเป็นจริงทุกกองทัพในอาเซียนมีความสัมพันธ์กันมานานแล้ว ไม่ว่าจะกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และกองบัญชาการกองทัพไทย โดยมีกิจกรรมหลักแต่ละ 12-15 กิจกรรม อาทิ กองทัพบกมีการแข่งขันยิงปืนอาเซียนที่ประเทศไทย และมีการประชุมผบ.สส.อาเซียนทั้งเป็นทางการและไม่เป็นทางการ โดยนัยยะสำคัญต่อการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนนั้น ตนคิดว่าเราจะได้ประโยชน์ก็คือ ลดการเผชิญหน้ากันของกองทัพ ไม่แทรกแซงกิจการภายในต่อกัน และพยายามใช้ประโยชน์จากชาติในอาเซียน บวกกับประเทศจีน สหรัฐอเมริกา อินเดีย เป็นต้น

ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า ภารกิจปกป้องสถาบัน พระมหากษัตริย์ จะเพิ่มความเข้มงวดอย่างไร พล.อ.สมหมาย กล่าวว่า เราเข้มงวดตลอดเวลา เพราะเป็นภารกิจหลักที่เราทำ

** เชื่อ คปป.สร้างความปรองดองได้

เมื่อถามว่าภายใต้การบริหารงานของตนเองจะบูรณาการเหล่าทัพอย่างไร พล.อ.สมหมาย กล่าวว่า ความจริงกองทัพบูรณาการร่วมกันมานานแล้ว เพราะมีแผนยุทธศาสตร์ที่สอดคล้องกัน ของกรัฐบาล และกระทรวงกลาโหม อย่างไรก็ตามตนเชื่อมั่นว่าทุกเหล่าทัพมีความแน่นแฟ้น มีความสามัคคีกันอยู่แล้ว ขณะเดียวกันยุทธศาสตร์ที่เพิ่มขึ้นในปีหน้า ตนจะใช้บทบาทของคณะผู้บัญชาการทหารอันมี ผบ.สส. ผบ.เหล่าทัพ และมีเสนาธิการทหารเป็นเลขาธิการให้มากขึ้น

เมื่อถามย้ำว่า ในภายส่วนของทหารที่เป็นกลไกของรัฐบาล และคสช.มองทิศทางการปรองดอง และความสามัคคีของคนในชาติ อย่างไร ผบ.สส. กล่าวว่า การปรองดอง ต่อไปจะมี คณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติ (คปป.) เกิดขึ้น ตนคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญต่อการปรองดองของคนในชาติ เพราะฉะนั้นผมอยากให้ทุกคนอยู่กันอย่างสันติสุข มีความรักต่อกัน ทั้งนี้เหล่าทัพทุกคนก็มีปกติสุขในการปฏิบัติงาน เพื่อให้เกิดความปรองดองในประเทศชาติ

เมื่อถามต่อว่า จุดยืนกองทัพ กับรัฐบาลเป็นอย่างไรเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน พล.อ.สมหมาย กล่าวว่า เราจะให้ความสนับสนุน ให้ความร่วมมือ พร้อมทั้งปฏิบัติงานตามคำสั่ง และนโยบายของรัฐบาล และคสช. รวมทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

** “บิ๊กหมู” กำชับกำลังพลดูแล ปชช.

ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผบ.ทบ.เป็นประธานการประชุมผู้บังคับหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก (นขต.ทบ.) และผู้บังคับหน่วยระดับกองพันทั่วประเทศ โดย พล.อ.ธีรชัย กล่าวหลังการประชุมว่า ตนได้เชิญผู้บังคับหน่วยระดับผู้พันมาทำความเข้าใจถึงแนวทางการปฏิบัติงานของปีงบประมาณ เน้นย้ำให้ดูแลประชาชนเป็นหลัก และต้องตอบสนองนโยบายของรัฐบาล ซึ่งปัญหาขณะนี้คือภัยแล้ง เราต้องร่วมมือกับศูนย์ดำรงธรรมในการเข้าไปดูแลประชาชน ส่วนการบรรเทาสาธารณภัยได้เน้นย้ำทหารต้องเข้าถึงประชาชนทุกพื้นที่ที่เกิดภัยพิบัติเพื่อเข้าไปช่วยเหลือประชาชนให้ทันท่วงที

ส่วนการสนองงานรัฐบาลและ คสช.ในการสร้างความปรองดองนั้น ผบ.ทบ.กล่าวว่า กองทัพบกตอบสนองนโยบายรัฐบาลและคสช.อย่างชัดเจนในทุกเรื่อง โดยกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) ศูนย์ปรองดองสมานฉันท์และการปฏิรูป (ศปป.) ที่ตนดูแลอยู่ทำงานสอดคล้องซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะศปป.จะทำงานร่วมกับศูนย์ดำรงธรรมทั้งจังหวัดและอำเภอ เพราะในพื้นที่จะรู้ปัญหาดี ดังนั้นจะให้หน่วยทหารพัฒนาและกกล.รส.ในพื้นที่ไปดูแลอิทธิพลอำนาจมืดต่างๆ รวมทั้งปัญหาที่เกิดขึ้นกับประชาชนที่ไม่เข้าใจต่อปัญหาที่เกิดขึ้นจะต้องไปชี้แจงทำความเข้าใจ ซึ่งกองทัพบกเน้นย้ำให้หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน (นรด.) เข้าไปในพื้นที่พูดคุยกับพ่อแม่พี่น้องถึงความถูกต้องที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ทั้งปัญหาภัยแล้งและปัญหาสังคม

“ไม่ได้กำชับอะไรมากเพราะเข้าใจดีว่าผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคนมีจิตใจที่จะปฏิบัติงานต่างๆ ให้ผู้บังคับบัญชาระดับผู้พัน ดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่ในระเบียบวินัยเป็นที่พึ่งของประชาชน” พล.อ.ธีรชัย กล่าว

** ยันทหารไม่ออกนอกแถวแน่นอน

เมื่อถามว่า สถานการณ์ปัจจุบันรัฐบาลและคสช.จะสร้างความมั่นใจให้ประชาชนได้หรือไม่ พล.อ.ธีรชัย กล่าวว่า ทหารจะไม่ออกนอกแถว และออกมาแทรกแซงทางการเมือง ทหารเข้าแถวตลอดเวลา เมื่อสักครู่ก็เข้าแถวอยู่นะ ยืนยันว่ากองทัพบก กองทัพไทย จะทำทุกอย่างทุกวิถีทางให้บ้านเมืองสงบ โดยปราศจากอิทธิพลอำนาจมืด ให้สร้างความปรองดอง ฉะนั้นก็จะทำทุกวิถีทางให้สภาวะแวดล้อมของบ้านเมืองอยู่ในภาวะสงบเรียบร้อย เพื่อให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีทั้งชีวิตและทรัพย์สิน

ผู้สื่อข่าวถามว่ามีความกังวลในกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญหรือไม่ พล.อ.ธีรชัย กล่าวว่า สื่อต้องเขียนให้ดี ลงข่าวให้ดีเพื่อให้การร่างรัฐธรรมนูญเดินต่อไปได้ เพราะจะเลือกตั้งได้ต้องมีรัฐธรรมนูญก่อน ร่างรัฐธรรมนูญที่กำลังร่างอยู่เวลานี้คิดว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่มุ่งเน้นประชาชนเป็นหลัก ประชาชนเป็นศูนย์กลาง อีกทั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญและรัฐบาลพยายามหาระบบการปกครองที่ดีที่สุด เหมาะสมกับประเทศเพื่อให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง ดังนั้นไม่ต้องเป็นห่วงเพราะเป็นหน้าที่ของ กกล.รส.ในการทำความเข้าใจกับประชาชนทั้งประเทศว่า ความจริงใจของรัฐบาลและคสช.นั้นคืออะไร ส่วนกลุ่มมวลชนต่างๆ นั้นก็เป็นคนที่มีปัญหาที่ไม่อยากให้บ้านเมืองสงบ

นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวพยายามถามถึงรายงานข่าวที่ระบุว่า มีทหารแอบอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์ พล.อ.ธีรชัย ไม่ตอบคำถามดังกล่าว พร้อมทั้งมีสีหน้านิ่งเงียบ

**คุก 2 ปีครึ่ง น.ศ.แชร์แถลงการณ์ปลอม

ที่ศาลทหารกรุงเทพ กรมพระธรรมนูญ นายกฤษณ์ บุดดีจีน อายุ 25 ปี นักศึกษาสถาบันราชภัฏแห่งหนึ่ง พร้อมทนายความ ได้เดินทางท่ตามกำหนดนัดสืบพยานโจทก์นัดแรก ในคดีที่อัยการศาลทหารได้ยื่นฟ้อง นายกฤษณ์ เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นสถาบัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 - พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 จากกรณีที่ถูกจับกุมหลังส่งต่อแถลงการณ์ปลอมสำนักพระราชวัง และมีการเผยแพร่ทางสื่อออนไลน์ เมื่อวันที่ 2 ก.พ. 58โดยในวันนี้ จำเลย ได้มีการถอนคำให้การเดิมที่เคยให้การปฏิเสธไปแล้ว และกลับคำให้การเป็นรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา

โดยศาลได้พิเคราะห์จากคำร้อง และคำแถลง ประกอบกับคำรับสารภาพ จึงพิจารณาตัดสินให้ลงโทษ จำคุก 5 ปี แต่จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ศาลจึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก ไว้ 2 ปี 6 เดือน ส่วนโทษจำคุกให้รอลงอาญาเป็นเวลา 3 ปี
กำลังโหลดความคิดเห็น