xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“จักรทิพย์ ชัยจินดา”ใช้ทฤษฎีเกลือจิ้มเกลือ แชร์อำนาจให้ 3 บิ๊กมะเขือเทศคุม“เสื้อแดง”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เก่าไป-ใหม่มา นับเป็นวัฎจักรของข้าราชการทุกนายวันนี้ถอดหัวโขนกันไปแล้ว บางคนเตรียมตัวเตรียมใจใช้ชีวิตในบั้นปลายกับลูกหลาน บางคนยังไม่พออยากหา “เหา”และ “หัวโขน”อันใหม่เข้ามาครอบ ของแบบนี้คงว่ากันไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องนานาจิตตัง เท่าที่เห็นชัดเจนก็คือ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง อดีตผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ท่านออกตัวแล้วว่า เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมอาจจะลงสู้บนถนนการเมือง

1 ปีของ “เสี่ยอ๊อด” มีเรื่องราวมากมาย แต่ส่วนใหญ่ออกแนวลบ ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เท่าที่จำได้ในส่วนคดี คือ กรณีเกาะเต่า ตอนนี้ขั้นตอนอยู่ที่ศาล ถ้าใครติดตามอย่างต่อเนื่องจะเห็นร่องรอย -พิรุธต่างๆ อย่างมากมาย เช่น ระบบการตรวจเก็บดีเอ็นเอ. ของตำรวจไทย การวิเคราะห์ลักษณะทางกายภาพ เช่น การเดินอันเป็นเอกลักษณ์

คดีสังหารนักท่องเที่ยว 2 ชาวอังกฤษที่เกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี ได้รับความสนใจจากชาวไทยและอังกฤษ รวมทั้งพม่า เนื่องจากมีคนของตัวเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย คนไทยสนใจเพราะเป็นคดีอุกอาจ สะเทือนขวัญ อีกทั้งยังมีแง่มุมสลับซับซ้อนมีตัวละครเข้าไปเกี่ยวข้องอีกหลายคนรวมทั้งลูกชายคนดังบนเกาะ

ส่วนอังกฤษ แน่นอนว่า คนของเขาตกเป็นเหยื่อ และดูเหมือนว่าท่าทีการทำงานของทางการไทย มีกิตติศัพท์เรื่องแพะเรื่องแกะอยู่พอสมควร ทั้งญาติผู้เสียหาย ทางการของเขาตลอดจนพลเมืองแดนผู้ดีจึงติดตามเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง สังเกตจากบางเว็บเพจที่เสนอเรื่องราวอย่างต่อเนื่อง มีรายงานความคืบหน้าแทบทุกสัปดาห์

อีกประเทศที่ให้ความสนใจคือ พม่า เพราะผู้ต้องหา 2 คนประกอบด้วย นายซอริน นายเวพิว และนายเมาเมา ที่ถูกกันไว้เป็นพยาน ล้วนเป็นชาวพม่าที่เข้ามาขายแรงงานในประเทศไทย

นอกจากพ่อแม่ญาติพี่น้องของผู้ต้องหายังมีสถานทูตพม่า ติดตามอย่างใก้ลชิด เรียกว่าขยับซ้ายหรือขวา สังคมไทยสังคมโลกจับจ้องไปหมด

คดีเกาะเต่า จะออกมาหมู่หรือจ่า คนที่มีส่วนรับผิดชอบจริงๆก็คือ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง อดีต ผบ.ตร.และ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. คนปัจจุบันเพราะในตอนนั้นทั้งคู่ร่วมงานกันอย่างเข้มข้น เรียกว่าเป็นปี่เป็นขลุ่ยก็ว่าได้ และยังรวมไปถึงนายตำรวจใหญ่ นรต.รุ่น 36 อีกหลายนาย คดีนี้จึงเป็นเดิมพันเกียรติยศของประเทศไทย และศักดิ์ศรีของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมี “เสี่ยอ๊อด” กับ “บิ๊กแป๊ะ” เป็นผู้กำหนดชะตากรรมในตอนแรก

เรื่องราวของ พล.ต.อ.สมยศ ยังมีอีกมากมายเรียกว่าในเวลา 1 ปี ไม่เคยเห็นอธิบดีกรมตำรวจ หรือ ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คนไหนทำได้อย่างนี้ ทั้งในเรื่องเข้าไปเฉี่ยวกับคดีฆาตกรรมหน้าห้องหญิงคนสวยกับสามีอดีตตำรวจติดตาม
 
สารพัดเรื่องที่อดีต ผบ.ตร.ทิ้งไว้เบื้องหลังแต่ที่ยังไม่ยอมปล่อยก็คือ การผลักดันนโยบายบ่อนเสรี เห็นว่า “เสี่ยอ๊อด” ยังไม่ทิ้งลาย อาจจะปลุกผีกาสิโนคอมเพล็กซ์ ในอีกไม่ช้าไม่นานนี้

รวมทั้งเส้นทางในอนาคตมีการแบ่งรับแบ่งสู้ว่าจะเดินเข้าสู่ถนนสายการเมืองหรือเปล่า !?
 
ขอทำนายล่วงหน้าว่าถ้า “เสี่ยอ๊อด” จะลงสนามการเมือง ไม่น่าพ้นพรรคภูมิใจไทย หรือ พรรคทหาร อย่างแน่นอน เพราะผลงานที่เคยทำไว้กับพรรคการเมืองใดบ้าง กลุ่มการเมืองใดบ้าง บรรดาพรรคการเมืองต่างๆ เขารู้ใส้รู้พุงกันดี

ภาวนาให้ท่านลงเล่นการเมืองจริงๆ หรือยุส่งให้เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองไปเลย เปิดมาอีกพรรคหนี่ง ตำรวจไทยทั่วประเทศคงเฮโลช่วยกันคนละไม้ละมือ กลายเป็นพรรคการเมืองขนาดกลาง ผสมกับพรรคภูมิใจไทย และพรรคทหาร จัดตั้งรัฐบาลแข่งกับขั้วประชาธิปัตย์ หรือ เพื่อไทย ได้

โปรดกรุณาลงเล่นการเมืองจริงๆ เถิด อย่าปล่อยให้ชมรมคนรัก “เสี่ยอ๊อด” ต้องผิดหวังโดยเฉพาะตำรวจไทย เขารักท่าน ตื้นตันในพระคุณที่ท่านได้มอบให้แก่เขา ในตลอดเวลา 365 วัน ที่ผ่านมา ขอให้โชคดี ประสบความสำเร็จบนเส้นทางใหม่

“เก่า”ไปแล้วแต่ยังทิ้ง “มรดก” ให้คนใหม่รับไปดูแลหลายเรื่อง ทั้งลูกหลานองคาพยพตระกูล “พุ่มพันธ์ม่วง” ในสายสีกากี ลูกน้องคนใก้ลชิด “บิ๊กแป๊ะ” รับปากอย่างไร ไว้ต้องอย่าลืมคำพูดดูแลอย่างขาดตกบกพร่อง รวมทั้งนโยนบายที่ต้องสานต่อ เช่น โครงการสวัสดิการปืนพก มูลค่า 3.6 พันล้านบาท
 
อย่าให้ใครมาสวมรอยแทน!?

“เสี่ยอ๊อด” ผู้กลายเป็นอดีตลงจากเวทีไปแล้ว พระเอกคนใหม่ของแวดวงสีกากีก็คือ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. วันนี้มีการแบ่งหน้าที่ให้กับพี่ๆไปเรียบร้อยแล้ว ต้องถือว่าเป็นภารกิจแรกที่มีแนวโน้มดี ให้สัญญาณบวกเพราะพี่ๆ ทุกคนได้รับเกียรติจากน้องแป๊ะ กันถ้วนหน้า อย่างไม่มี “กั๊ก” ไม่มี “กัน” ไม่เล่นพรรคเล่นพวกแบบยุคสมัยที่ผ่านมา (หรืออาจเพราะเพื่อนวิ่งตามไม่ทัน)

เช่น หน้าที่รองผบ.ตร. ฝ่ายปราบปราบ 1-3 มอบหมายให้ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รอง ผบ.ตร.รุ่นเหนียงยาน ขวัญใจคนเสื้อแดงคุมกองบัญชาการตำรวจนครบาล ภาค 1 - 2 - 7 (เช่น สมุทรปราการ ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา นครปฐม พัทยา ชลบุรี เป็นต้น) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง แถมยังกำกับดูแลศูนย์ปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ศูนย์ปราบปรามยาเสพติด พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รอง ผบ.ตร. เสื้อแดง ลูกเขยพล.ต.อ.ประชา พรหมนอก คุมภาค 3 -5 -8 ( ภาคอีสานบางส่วน ภาคเหนือตอนบน ) ส่วน พล.ต.ท.วินัย ทองสอง หลานเขยนายทักษิณ ชินวัตร รรท.รอง ผบ.ตร.ได้รับมอบหมายคุมภาค 6 ( ภาคกลาง และเหนือตอนต้น)ยาเสพติด กองพิสูจน์หลักฐาน
 
ทั้ง 3 พระหน่อ พงศพัศ -เฉลิมเกียรติ -วินัย เคยอยู่ในสังกัด “ระบบทักษิณ” แต่ได้รับมอบหมายหน้าที่กันขนาดนี้ ต้องยอมรับว่าวิธีคิดของ “บิ๊กแป๊ะ” ยิ่งกว่าเซียนขี่เมฆเสียอีก ยิ่งมองพื้นที่รับผิดฃอบทั้งหมด ล้วนเขตอิทธิพลคนเสื้อแดง เมื่อหงายหน้าไพ่เล่นกันขนาดนี้ก็ “วัดใจ” กันไปเลยแบบเกลือจิ้มเกลือ - หนามยอกเอาหนามบ่ง

ส่วนพี่ๆ รองผบ.ตร.คนอื่นๆ ได้มอบหมายงานเดิมตามความถนัดอย่างเหมาะสม

ผ่านด่านแรกไปแล้ว ต้องรอดูด่านสอง เพราะยังมีการแต่งตั้ง-โยกย้ายระดับ ผบก. รองผบก. ผกก. รอง ผกก. และสารวัตร รออยู่ข้างหน้า

สูตรสำเร็จของการปรองดอง สมานฉันท์เพื่อให้บรรดาพี่ๆ มี่ความรู้สึกดีๆ กลับมา ยอมร่วมมือร่วมใจทำงานอย่างไม่มีเกียร์ว่างก็คือ แบ่งเค้กให้กับทุกคนด้วยความเหมาะสม ขนาดอาจจะลดโควต้าตัวเองเพื่อรักษาส่วนรวมไว้

ยังรวมไปถึงบรรดา “สายตรง” ทั้งหลาย เช่น พล.ต.ต.ศานิตย์ มหถาวร รรท.กองบัญชาการตำรวจนครบาล เมื่อเข้ามทำหน้าที่ “เจ้าพ่อนครบาล” ก็ต้องมีมือไม้ไว้ทำงาน ทั้งตำแหน่ง ผบก.สส.บช.น. และผู้การ 191 ถึงเวลาโละ “สายเก่า” ในฐานะมือประสาน 10 ทิศ ก็ต้องน้อมตัวไปคุยกับรุ่นพี่ ตกลง “บิ๊กปู”พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รรท.ผู้ช่วย ผบ.ตร. จะเอาไง ยอมหรือไม่ แต่ที่สุดคงไม่มีปัญหาเพราะปัญหาคาใจที่ผ่านๆมา มีผู้หลักผู้ใหญ่เคลียร์ใจให้เรียบร้อยคงคุยกันรู้เรื่อง

สรุปว่าในห้วงเวลานี้ คนที่จะต้องรับบทหนัก และเหนื่อยที่สุดก็คือ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ต้องควักวิชาประสาน 10 ทิศ มาใช้กันอีกเรื่อยๆ ไม่มีวันจบสิ้น

ทั้งในเรื่องสานประโยชน์ให้เป็นที่พอใจของก๊วนใหญ่แห่งฟาร์มโชคชัย ยังมีเพื่อนร่วมรุ่น นรต.36 หรือน้องๆ ที่ฝากความหวัง ฝากอนาคตไว้กับพี่แป๊ะ ไม่รวมคดีต่างๆ ทั้งในอดีตและปัจจุบันล้วนส่อเค้าลางของความวุ่นวายออกมาให้เห็น

ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ คดีระเบิดศาลท่านท้าวมหาพรหม สีแยกราชประสงค์ ทำให้มีประชาชนผู้บริสุทธ์ตายถึง 20 ราย ซึ่งผลการสืบสวนของตำรวจนครบาล สามารถจับผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องได้ 2 ราย ออกหมายจับไปอีกกว่า 10 ในจำนวนนั้นมีการโยงไปถึง นายยงยุทธ พยุงวงศ์ หรือ อ๊อด ผู้ต้องหาที่เคยเกี่ยวข้องคดีระเบิดสมานเมตตาแมนชั่น ย่านบางบัวทอง เมื่อปี 2553

นายยงยุทธ หรือ อ๊อด พยุงวงศ์ เป็นใคร ทำไมเมื่อเปิดตัวออกมาบรรดาแกนนำเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทย จึงร้อนรนออกมาแก้ต่างจนวุ่น นั่นเพราะฝ่ายตำรวจกล่าวหาว่า เป็นสมาชิกนปช. นอกจากเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดสมานเมตตาแมนฃั่น แล้วยังพันไปถึงคดีไปป์บอมบ์ ย่านมีนบุรี ปี 2557 ช่วย กปปส.ชุมนุมทางการเมือง

มีข้อสังเกตจากต่างๆ มากมาย ฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลเชื่ออย่างสนิทใจ ส่วนอีกข้างยกเหตุผลขึ้นมาค้านอย่างเข้มข้น และทิ้งท้ายว่านี่เป็นการหาเรื่องใส่ร้ายให้กับฝ่ายตรงข้าม เป็นการป้ายสีอย่างไร้คุณธรรม

“บิ๊กแป๊ะ”เคยอยู่หลังฉากมานาน วันนี้ต้องออกหน้าฉาก ในฐานะผู้รับผิดชอบอย่างเต็มตัวแล้ว คดีระเบิดสีแยกราชประสงค์ คือ หินลองทองก้อนแรก แม้จะสามารถผ่านไปได้แต่เรื่องของ “ความเชื่อ” อย่าว่าแต่เสียงค้านจากคนเสื้อแดงเลย แม้แต่คนกลางๆ คนที่มีประสบการณ์กับคดีอาชญากรรม เขาก็มองด้วยความเคลือบแคลงสงสัย

อย่างลืมหลักการมองเหรียญสองด้าน คดีนี้ฝ่ายตำรวจเองในฐานะคนทำคดี อย่าให้ถูกมองว่าเอาเลือดเนื้อของผู้บริสุทธิ์ มาสนองใครเพื่อเกมการเมืองเสียเอง

ทันทีเมื่อตำรวจพุ่งไปยังเหตุการณ์สยามเมตตาแมนชั่น ทุกฝ่ายมองออกว่า จุดจบคดีจะเป็นอย่างไร จริงอยู่รัฐอาจได้ประโยชน์ หรือแม้แต่ประเทศชาติก็อาจได้ประโยชน์ เพราะประเด็นการเข้าทำลายขบวนการค้ามนุษย์ จนเกิดความโกรธแค้นออกมาวางระเบิดสั่งสอนรัฐบาลไทย อาจจะทำให้มหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ และกลุ่มประเทศอียู สงสาร-เห็นใจ หรืออาจเชื่อตามนั้น แต่เขาจะเชื่อไหมล่ะ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามรวมทั้งการสืบอำนาจของทหาร

ต่อไปนี้ สังคมไทยควรตะหนักกันใหม่ เลิกเชื่อเสียทีกับคำว่า “ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย” เพราะมันไม่มีอยู่ ถ้า”จริง” ต้องใช้ได้เหมือนกันทุกครั้งมิได้ใช้ในบางเรื่อง แต่บางเรื่องใช้ไม่ได้ ขนาด “ความจริง”ยังมีสองมาตรฐาน ต่อไปก็อย่าเชื่อให้เสียเวลากันไปเลย...

 น่าเสียดายนัก ที่คดีนี้ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ (ลงรักปิดทองซะด้วย) แต่พอเหลาลงไป กลายเป็นบ้องกัญชา ซะงั้น


กำลังโหลดความคิดเห็น