ASTV ผู้จัดการ - ผบ.ตร.รับปมส่ง 109 ชาวอุยกูร์กลับจีน ทำลายขบวนการค้ามนุษย์ ชนวนบึ้มกรุง มั่นใจมีหลักฐานโยง “อาเดม” ส่ง “จักรทิพย์” บินไปกัวลาลัมเปอร์ ยังไม่ชัด 3 ผู้ต้องสงสัยที่มาเลเซียพัวพันบึ้ม แต่เชื่อได้ข้อมูลเป็นประโยชน์
วันนี้ (15 ก.ย.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจมาเลเซียได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดที่ศาลท้าวมหาพรหม แยกราชประสงค์ และท่าน้ำสาทรว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจของประเทศมาเลเซียได้จับกุมผู้ต้องหาซึ่งกระทำความผิดกฎหมายมาเลเซียจริง แต่ตนยังไม่ยืนยันว่าผู้ที่ถูกควบคุมตัวมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการก่อเหตุระเบิดที่แยกราชประสงค์ และท่าน้ำสาทร เมื่อวันที่ 17 ส.ค.ที่ผ่านมาหรือไม่ ต้องให้ทางตำรวจของมาเลเซียดำเนินการสอบสวนก่อน ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความกระจ่างและให้เกิดการประสานงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจประเทศมาเลเซียและประเทศไทยอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น โดย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล (ผบช.ส.) พล.ต.ต.ชาญเทพ เสสะเวช รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) และ พล.ต.ต.อภิชาติ สุริบุญญา ผู้บังคับการกองการต่างประเทศ (ผบก.ตท.) จะเดินทางไปมาเลเซียในวันนี้ เพื่อไปหารือ ประสานงานและแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เจ้าหน้าที่ของไทยจะไม่ได้เข้าไปร่วมสอบสวนแต่อย่างใดเพราะเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง แต่เป็นเพียงการประสานในเรื่องของข้อมูลเท่านั้น เท่าที่ได้รับรายงานตอนนี้ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมได้ทั้ง 3 คน ยังไม่มีความเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุระเบิด เพียงแต่เชื่อว่ามีข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับคนกลุ่มนี้จึงจะได้มีการตรวจสอบประสานงานและขอความช่วยเหลือจากมาเลเซียต่อไป
ทั้งนี้ การเดินทางไปมาเลเซียเพื่อสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับผู้ต้องสงสัยดังกล่าวเพื่อต้องการตรวจสอบข้อมูลให้แน่ชัด และเพื่อตอบคำถามของสังคมและสื่อมวลชนต่างๆ ที่ได้นำเสนอข่าวสารไปก่อนหน้านี้ โดยยืนยันว่าการประสานงานระหว่างตำรวจไทยและตำรวจมาเลเซียเป็นไปด้วยดี เพราะมีความใกล้ชิดกันมากในการให้ความร่วมมือเรื่องต่างๆ ตั้งแต่อดีตที่ผ่านมา ทั้งนี้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ มีความสนิทสนมกับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมาเลเซีย เนื่องจากเคยประสานงานและทำงานร่วมกันระหว่างสองประเทศตั้งแต่สมัยทำงานกับอดีตผู้บังคับบัญชา การเดินทางไปครั้งนี้ทำให้มั่นใจว่าจะทำให้ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อคดี
ผู้สื่อข่าวถามถึงการติดตาม นายอาบูดูซาทาร์ อาบูดูเรเฮมาน หรืออิซาน อายุ 28 ปี สัญชาติจีน ผู้ต้องหาตามหมายจับร่วมขบวนดังกล่าว ที่ล่าสุดทางการตุรกีปฏิเสธการเดินทางเข้าประเทศของนายอิซาน ผบ.ตร.กล่าวว่า ชุดคลี่คลายคดีก็ต้องเดินหน้าทำงานต่อไปเพื่อติดตามตัวผู้ต้องหาในขบวนการนี้มาดำเนินการตามกฎหมาย ส่วนข้อมูลที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับจากสถานทูตบังกลาเทศนั้นระบุว่านายอิซานเดินทางออกจากบังกลาเทศโดยมีจุดหมายปลายทางที่แจ้งไว้และมีหลักฐานการเดินทางไปนั่นคือประเทศตุรกี ขณะนี้ตำรวจไทยก็ยังไม่ทราบแน่ชัดว่านายอิซานเดินทางไปตุรกีจริงหรือไม่ แต่ทางการตุรกีได้ออกมาปฏิเสธแล้ว ตนก็ไม่ทราบเช่นกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า ข้อมูลการเดินทางของนายอิซานมีจุดหมายที่ตุรกีนั้นจะมีความเกี่ยวพันกับกลุ่มเครือข่ายในตุรกีหรือไม่ พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า มันมีอยู่แล้ว มีอยู่นานแล้ว โดยเป็นลักษณะของขบวนการค้ามนุษย์หรือเคลื่อนย้ายชาวอุยกูร์จากประเทศหนึ่งไปอีกประเทศหนึ่ง และเหตุระเบิดที่แยกราชประสงค์เมื่อวันที่ 17 สิงหาคมที่ผ่านมาจนสร้างความเสียหายแก่ประเทศไทยนั้นก็เกิดจากทางการไทยไปทำลายหรือไปขัดขวางการทำธุรกิจการค้ามนุษย์ให้ยุติลง จึงเกิดความโกรธเคืองขึ้นมา ได้สร้างปัญหาให้พวกเขาจนมาก่อเหตุดังกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายอิซานเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความวุ่นวายที่สถานทูตไทยประจำประเทศตุรกี เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคมที่ผ่านมาหลังจากไม่พอใจที่ทางการไทยส่งผู้อพยพชาวอุยกูร์กลับไปประเทศจีนด้วยหรือไม่ ผบ.ตร.กล่าวว่า เขาจะเกี่ยวข้องหรือไม่ ยังไม่ทราบ แต่เหตุระเบิดที่แยกราชประสงค์กับความรุนแรงที่เกิดขึ้นที่สถานทูตไทยประจำประเทศตุรกีนั้นมาจากสาเหตุเดียวกัน และขบวนการค้ามนุษย์นั้นมีขั้นตอนการนำคนเข้าเมืองโดยมีประเทศต้นทางและปลายทาง ซึ่งต้นทางคือประเทศไทยและปลายทางคือตุรกี เมื่อต้นทางถูกขัดขวางจึงสร้างความโกธรแค้นจึงไปลงที่ประเทศปลายทางก็คือตุรกี และสถานที่ที่สามารถแสดงออกซึ่งความโกธรแค้นได้ก็คือสถานทูตไทยที่อยู่ที่นั่น
ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่าชาวอุยกูร์ 109 คนถูกส่งไปยังจีนเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการ พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า ก็เป็นเรื่องที่ขบวนการค้ามนุษย์เสียประโยชน์และถูกทำลายไป โดยยืนยันว่าการส่งตัวชาวอุยกูร์ 109 คนกลับไปยังประเทศจีนนั้นรัฐบาลได้ทำไปตามกฎหมายระหว่างประเทศที่มีต่อกัน ซึ่งไทยไม่ได้ส่งไปให้จีนเพียงประเทศเดียว แต่ได้ส่งกลับไปประเทศตุรกีด้วยเช่นกัน ส่วนเหตุผลที่ส่งไปประเทศใดนั้นเพราะมาจากการพิสูจน์สัญชาติ หากพิสูจน์พบว่าบุคคลนั้นมีสัญชาติตุรกีก็ส่งให้ตุรกี ส่วนผู้ที่พิสูจน์ทราบว่ามีสัญชาติจีนก็ส่งไปจีน ซึ่งเป็นไปตามหลักกฎหมายสากล
“ยกตัวอย่างเช่นคนต่างชาติเข้ามาอาศัยในประเทศไทย เขาไม่ได้ถือสัญชาติไทย แต่ถ้าเขาอยู่จนออกลูกออกหลาน ลูกหลานของเขาก็เป็นคนไทย กรณีนี้ก็เช่นเดียวกัน เมื่อรัฐบาลไทยพิสูจน์ทราบว่าคนกลุ่มหนึ่งเป็นชาวตุรกีก็ส่งกลับไปให้ประเทศตุรกีส่วนหนึ่ง ขณะที่ลูกหลานของเขาซึ่งเป็นคนจีนเพราะเกิดที่นั่นและมีหลักฐานยืนยัน เช่น ทะเบียนบ้าน บัตรประชาชน เราก็ส่งให้จีน ซึ่งรัฐบาลปฏิบัติตามกฎหมายถูกต้องแล้ว แต่ยอมรับว่าความรู้สึกนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งเมื่อเกิดเหตุความแค้นจะมีการหยุดเรื่องนี้ได้อย่างไรนั้น โลกนี้มีกฎหมายแบบนี้ทุกประเทศก็ต้องปฏิบัติตาม จะทำอย่างอื่นไม่ได้ ฉะนั้นสิ่งที่รัฐบาลทำจึงถูกต้องแล้ว เพียงแต่ความรู้สึกของเขาอาจไม่พอใจเพราะคิดว่าเราไปปิดกั้นการย้ายถิ่นฐานของเขา แต่ขอให้เข้าใจว่าเราเป็นประเทศทางผ่านทั้งของชาวโรฮีนจามาจนถึงชาวอุยกูร์ เราจึงจำเป็นต้องแก้ปัญหาของเราโดยไม่ยอมให้เป็นทางผ่าน เช่น การปิดชายแดนทางภาคใต้ไม่ให้ชาวโรฮีนจาเดินทางเข้ามา เขาจึงไปเข้าประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นจุดหมายของเขาแทน ขณะที่อุยกูร์มาจากจีนผ่านเวียดนาม ลาว กัมพูชา ฉะนั้นเราจึงต้องแก้ปัญหาโดยต้องปิดชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออกไม่ให้เขาเข้ามาได้ เมื่อช่วงที่ผ่านมาเขาเข้าไม่ได้เขาก็ต้องไปหาทางของเขาเองซึ่งก็เป็นเรื่องของเขา เราไม่เกี่ยวแล้ว แต่เมื่อไม่พอใจที่เราไม่ให้ใช้เป็นทางผ่านกลับมาโกรธแค้นเรามากระทำกับเรา ผมว่าไม่ถูกต้อง” พล.ต.อ.สมยศกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ตอนนี้มีชาวอุยกูร์เข้ามาอยู่ในจังหวัดปริมณฑลหรือไม่ พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า คงไม่มีเนื่องจากตอนนี้เรื่องดังกล่าวเป็นประเด็นสำคัญอยู่คงไม่มีการเข้ามาเพิ่ม แต่อาจจะมีชาวอุยกูร์ที่เข้ามาก่อนเกิดเหตุระเบิดซึ่งไม่ทันได้เดินทางออกไปก็อาจเป็นไปได้ ส่วนการสืบสวนสอบสวนขณะนี้เจ้าหน้าที่ก็ได้ทำงานอย่างเต็มที่และต่อเนื่องเพื่อคลี่คลายคดีนี้ให้ได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีนายอาเดม คาราดัก หรือบิลาเติร์ก มูฮัมหมัด หนึ่งในผู้ต้องหาคดีระเบิดปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ระเบิด แค่มาหางานทำนั้น พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า เป็นเรื่องสุดแท้ว่าใครจะพูดอย่างไรก็ได้ ทั้งนี้คำให้การคำบอกเล่าของผู้ต้องสงสัยหรือพยานต้องให้แน่ชัดว่าพูดความจริงหรือไม่ หรือพูดเพื่อให้พ้นจากการดำเนินการทางกฎหมาย ต้องฟังหูไว้หู ส่วนจะมีพยานหลักฐานที่สามารถเอาผิดนายอาเดมได้หรือไม่นั้น ชี้แจงว่าทุกคนที่ถูกศาลออกหมายจับ เชื่อมั่นความสามารถพนักงานสอบสวน ว่าการจะทำอะไรที่ศาลสามารถออกหมายจับได้ ต้องมีความเชื่อมั่นว่าสามารถทำอะไรที่สามารถดำเนินคดีกับคนเหล่านั้นได้ และที่สำคัญคือสามารถดำเนินคดีและให้อัยการสั่งฟ้องต่อศาลได้ด้วย จะลงโทษได้หรือไม่เป็นหน้าที่ศาลจะเป็นผู้ตัดสิน
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีการรับสารภาพของ น.ส.ปณิฐ์สรา ชาลีรัฐรมย์ อายุ 39 ปี ที่ถูกควบคุมตัวไว้หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจนำกำลังเข้าตรวจค้นหอพักย่านมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ว่าเป็นผู้เรียกแท็กซี่ให้กับชายเสื้อฟ้า พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า ต้องฟังว่าที่พูดมาจริงหรือไม่ คำรับสารภาพสอดคล้องกับความเป็นจริงหรือไม่ ต้องมีการนำพยานหลักฐานต่างๆมาประกอบกันว่าทุกอย่างเจือสมกันหรือไม่ด้วย ส่วนกรณีที่ หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์รายงานว่าเสื้อเหลืองหลบหนีไปอยู่ที่ประเทศปากีสถาน เป็นเพียงการเสนอข่าว อยากให้การนำเสนอข่าวใจเย็นๆ เพราะบางอย่างไม่มีการฟันธง ข่าวก็คือข่าวชิงความได้เปรียบ ส่วนชื่อของชายเสื้อเหลืองยังไม่ทราบ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ขบวนการก่อเหตุระเบิดทั้งหมดเกี่ยวข้องกับอุยกูร์ใช่หรือไม่ พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า เกี่ยวเนื่องกับการอพยพของชาวต่างชาติที่ผิดกฎหมายและผิดปกติ ส่วนปากีสถานก็เป็นหนึ่งในเส้นทางผ่านของอุยกูร์ซึ่งเราก็เชื่อว่าประเด็นอุยกูร์มีความเกี่ยวข้องจะมีการประสานงานด้วยหรือไม่นั้นก็คงจะมีการประสาน ประสานทุกประเทศอยู่แล้ว เชื่อว่าทุกประเทศให้ความร่วมมืออยู่แล้ว เพราะการก่อเหตุลักษณะนี้ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น