ผบ.ตร.ปฏิเสธข่าวการควบคุมตัวผู้ก่อเหตุระเบิดแยกราชประสงค์ในประเทศมาเลเซีย ด้านโฆษกตร.ระบุยังเป็นแค่ผู้ต้องสงสัยพาผู้ก่อเหตุหนี บช.น.คุมตัว 3 สาวผู้เช่าห้องพักสตรีอู๊ด ส่งให้ทหารสอบ ยันอาจมีการออกหมายจับเพิ่ม ระบุอีซานกบดานอยู่ในประเทศแถบเอชีย คุมเข้ม พัน.ร.มทบ.11 รับ 2 ผู้ต้องหาบึ้มกลางกรุง เข้าเรือนจำชั่วคราวแขวงถนนไชยศรี ใช้จนท.เรือนจำร่วมกำลังทหารดูแล เสริมรั้วลวดหนามกำแพง 3 ชั้น ห้ามสื่อเข้าทำข่าว "สมยศ" ยันโยกย้าย ตม.เสร็จสิ้นก่อนเกษียณราชการแน่นอน
วานนี้ (14 ก.ย.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงความคืบหน้าคดีระเบิดแยกราชประสงค์ และท่าน้ำสาทร ว่า พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น.ได้รายงานการขยายผลจับกุมผู้ต้องสงสัยร่วมขบวนการเพิ่มเติม จึงได้กำชับชุดสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานให้รอบคอบ เพื่อให้ศาลพิจารณาออกหมายจับตามขั้นตอนที่ถูกต้องรัดกุมต่อไป ส่วนรายละเอียดการสอบสวนและความเชื่อมโยงกับกลุ่มผู้ต้องหาในขบวนการที่ออกหมายจับและจับกุมไปก่อนหน้านี้นั้นยังไม่ขอเปิดเผย
ส่วนกระแสข่าวว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจมาเลเซียจับกุมผู้ต้องหามือวางระเบิดได้นั้น ยังไม่ได้รับการประสานจากทางการมาเลเซีย แต่ขอให้สื่อนำเสนอข่าวด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากประเด็นดังกล่าวกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพราะการระบุว่าทางการไทยส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปทำงานในประเทศเพื่อนบ้านนั้นไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง ผิดกฎหมาย และทำให้ตำรวจทำงานยาก ดังนั้นตนจึงขอปฏิเสธข่าวทั้งหมดที่เกิดขึ้นว่าทางรัฐบาลไทยได้ส่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงเข้าไปทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ของมาเลเซีย
“หากมีการจับกุมตัวผู้ต้องหาได้จริง ยืนยันว่าเราจะดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมาย และที่ผ่านมาขอปฏิเสธว่าตำรวจไทยไม่ได้ส่งเจ้าหน้าที่ลงไปสืบสวนกรณีดังกล่าวในประเทศมาเลเซียตามที่มีกระแสข่าวแต่อย่างใด รวมทั้งกรณีข่าวที่ว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร.ได้เดินทางไปประสานขอตัวผู้ต้องหาที่มาเลเซียช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ขอยืนยันว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ไม่ได้เดินทางไปประเทศมาเลเซีย และไม่ได้ไปเรื่องคดีดังกล่าวแต่เดินทางไปด้วยเรื่องส่วนตัว ท่านได้มาขอลาหยุดกับผมเอง และผมก็ได้อนุญาตให้ท่านไป แต่ท่านจะไปที่ใดนั้นเป็นเรื่องส่วนตัวของท่าน” ผบ.ตร.กล่าว
สำหรับการติดตามตัวนายอิซาน ผู้ต้องหาในคดีนี้ที่ถูกออกหมายจับคนล่าสุดนั้น เป็นเรื่องของชุดสืบสวนที่ต้องตรวจสอบว่าหลบหนีไปอยู่ที่ประเทศใด โดยจากกระแสข่าวว่าผู้ต้องหาได้หลบหนีต่อเข้าไปประเทศปากีสถาน ซึ่งทางการไทยต้องขอข้อมูลจากทางการปากีสถานว่าผู้ต้องหาได้เดินทางออกไปหรือยังไม่ได้เดินทางออกไปกันแน่ ตอนนี้ยังไม่ได้รับรายงานเกี่ยวกับข้อมูลยืนยันแต่อย่างใด
ส่วนกรณีการย้ายตัวผู้ต้องหาไปคุมขังที่มณฑลทหารบกที่ 11 อาจจะเป็นเรื่องของความปลอดภัยรวมทั้งความจำเป็นในเรื่องการสอบปากคำเพิ่มเติม หากดำเนินการในเรือนจำปกติอาจติดขัดในเรื่องของระเบียบเวลาการเข้าพบ ทุกอย่างตนเชื่อว่าทุกคนทำเพื่อประเทศชาติ ขณะที่คดีนี้จะพิจารณาที่ศาลไหนก็แล้วแต่ก็ต้องเป็นไปตามระเบียบข้อกฎหมายไม่สามารถหลีกเลี่ยงไปได้
พล.ต.อ.สมยศกล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบความเชื่อมโยงในคดีระเบิดนั้นพบว่าเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์ โดยคนร้ายเป็นกลุ่มที่เสียผลประโยชน์จากธุรกิจการค้ามนุษย์ และเมื่อตำรวจไปทำลายธุรกิจของพวกเขาจึงเกิดความไม่พอใจและมาก่อเหตุเพื่อล้างแค้นเจ้าหน้าที่รัฐที่ไปทำให้ขบวนการของเขาพังทลายลงนั่นเอง อย่างไรก็ตามตอนนี้สำนวนในคดีทั้งหมดได้ถูกรวมไว้หมดแล้ว โดยมี พล.ต.อ.จักรทิพย์เป็นหัวหน้าสำนวนดังกล่าว
**** โฆษกตร.ยันแค่ผู้ต้องสงสัยพาผู้ก่อเหตุหนี
พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากการประสานกับทางการมาเลเชียล่าสุด ยอมรับว่า มีการจับกุมผู้ต้องสงสัยพัวพันคดีระเบิดแยกราชประสงค์และท่าเรือสาทรได้จริง โดยเป็นชาวมาเลเชีย 2 คน และชาวปากีสถานอีก 1 คน ฐานลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย แต่ยังไม่ได้รับการยืนยันว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดทั้งสองจุดหรือไม่ ซึ่งต้องมีพยานหลักฐานที่แน่ชัดว่า มีการกระทำผิดในไทย จึงเข้าสู่ขั้นตอนการขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนได้
ทั้งนี้ มีข้อมูลว่า ทั้ง 3 คนไม่ใช่บุคคลที่ทางการไทยต้องการตัว แต่อาจเป็นกลุ่มคนที่พาผู้ต้องหาในคดีระเบิดหลบหนี ซึ่งต้องรอการสอบสวนจากทางการมาเลเซียอีกครั้ง และตำรวจไทย ยังคงติดตามการข่าวของชายเสื้อเหลืองและเสื้อฟ้า ที่ถูกออกหมายจับอย่างใกล้ชิด เนื่องจากคาดว่ายังเคลื่อนไหวอยู่บริเวณชายแดนไทย-มาเลเชีย
****คุมตัว 3 สาวส่งให้ทหารสอบเอี่ยวบึ้ม
ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ภัคพงษ์ พงษ์เภตรา รองผบช.น. และเจ้าหน้าที่ๆเกี่ยวข้อง ร่วมกันประชุมเกี่ยวกับคดีระเบิดแยกราชประสงค์ และท่าเรือสะพานสาทร ว่า กรณีการสอบปากคำบุคคลต้องสงสัย บริเวณหอการค้า หอพักสตรีอู๊ดนั้น จะต้องรอผลการสอบสวนทางกองทัพ แต่คาดจะมีความเชื่อมโยง เท่าที่สอบปากคำผู้ต้องสงสัย ถ้าพบว่ามีการพาดพิง ก็อาจจะมีการออกหมายจับเพิ่มอย่างน้อย 1 ราย แต่ก็ต้องดูจากพยานหลักฐานก่อน ส่วนกรณีที่ผู้ต้องสงสัยมีความเชื่อมโยงกับชายเสื้อฟ้าที่ท่าเรือสาทรนั้น ตนยังไม่สามารถระบุได้ เนื่องจากต้องรอทางกองทัพสรุปผลเสียก่อน เพราะไม่ได้ส่งพนักงานสอบสวนไปร่วมสอบสวนกับทางกองทัพ ส่วนกรณีที่ทางการมาเลเซียสามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยในคดีวางระเบิดได้ 3 รายนั้น ตนยังไม่ทราบเรื่อง เพราะหน้าที่ของตนดูแลเรื่องสำนวนการสอบสวน และดูแลในพื้นที่นครบาลเท่านั้น
พล.ต.ท.ศรีวราห์ กล่าวอีกว่า กรณีการย้ายตัวนายอาเดม คาราดัก และนายเมียไรลี ยูซูฟูไป ที่มทบ.11นั้น ตนยังไม่ได้รับการประสานให้พนักงานสอบสวนเข้าไปสอบสวนเพิ่มเติมในประเด็นต่างๆ แต่ถ้าจะต้องสอบประเด็นเพิ่ม ทางเจ้าหน้าที่ก็จะต้องสอบ ไม่ว่าผู้ต้องหาจะอยู่ในกรมราชทัณฑ์ หรือเรือนจำพิเศษ แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าประเด็นเกี่ยวกับอะไร หรือเรื่องอะไร
นอกจากนี้ การติดตามตัวนายอิซาน ทางเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการออกหมายจับ และส่งหมายจับไปยังสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง(สตม.)เรียบร้อยแล้ว โดยล่าสุดทราบว่านายอิซานหลบหนีอยู่ภายในโซนเอเชีย แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าประเทศอะไร ทางพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง.ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ดำเนินการถึงที่สุด หากพบว่ามีการกระทำความผิดก็ได้ดำเนินการทันที และให้ติดตามรายงานผลเป็นระยะ ส่วนองค์ประกอบที่จะแจ้งข้อหาก่อการร้ายนั้น จะต้องประกอบด้วยองค์ประกอบทางเทคนิค นิยามศัพท์ทางกฎหมาย และผลการตรวจสอบทางเทคนิค ซึ่งขณะนี้การสอบสวนก็ยังไม่ถึงขั้นตอนดังกล่าว เพราะผลการตรวจสอบยังไม่ออก ข้อกฎหมายบ้างข้อก็ตีความกันอยู่ หากพาดพิงถึงใครก็จับกุมทันที ไม่มีการลดลาวาศอก ซึ่งจะต้องดูด้วยว่าข้อเท็จจริงทางเทคนิคว่าเป็นวัตถุระเบิดหรือไม่เป็น หรือเป็นความผิดทางพ.ร.บ.อาวุธปืนธรรมดา หรือเป็นความผิดทางพ.ร.บ.ยุทธภัณฑ์ เป็นแล้วเป็นแค่ไหน เข้าประกาศคสช.หรือไม่ หรือเข้ากับป.วิอาญาปกติ มันต้องดูทั้งข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง ซึ่งทางสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) รายงานมาแค่เส้นทางการเงินเท่านั้น ยังไม่เพียงพอต่อการแจ้งข้อหาเพิ่ม
ทั้งนี้ ในวันที่ 1 ต.ค. ซึ่งเป็นวันชาติของจีนนั้น ทางพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. ได้มีหนังสือคำสั่งให้ดูแลความปลอดภัย ซึ่งทางนครบาลได้มีการวางมาตราป้องกันเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากทางสถานฑูตจีนได้ประสานมายัง191 และได้ร้องขอให้ดูแลความปลอดภัยสูงสุด ซึ่งนโยบายดังกล่าวตนจะต้องปฏิบัติตาม
*** คุมเข้ม พัน.ร.มทบ.11 รับ 2 ผู้ต้องหาบึ้ม
แหล่งข่าวจากหน่วยงานความมั่นคง เปิดเผยถึงกรณี พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ได้ออกคำสั่งที่ 314 /2558 ให้กองพันทหารราบมณฑลทหารบกที่ 11 (พัน.ร.มทบ.11) แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กทม. เป็นเรือนจำชั่วคราวแขวงถนนไชยศรี เพื่อประโยชน์ในด้านการรักษาความปลอดภัย และความเหมาะสมในการคุมขัง และการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังในคดีความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐ และคดีอื่นที่เกี่ยวเนื่อง ซึ่งเป็นผู้ต้องขังประเภทมีเหตุพิเศษ ที่ไม่ควรจะรวมคุมขังอยู่กับผู้ต้องขังอื่นนั้น ว่า ล่าสุดทางเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ จะใช้สถานที่ดังกล่าวควบคุมผู้ต้องหาในคดีลอบวางระเบิดแยกราชประสงค์ และท่าเรือสาทร โดยในวันนี้ (14 ก.ย.) ทางเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ จะนำตัวนายอาเดม คาราดัก อายุ 24 ปี และนายไมไรลี ยูซุฟู อายุ 26 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดมีนบุรี มาฝากขัง โดยเบื้องต้นการดูแลรักษาความปลอดภัยโดยรอบจะเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ทหาร ซึ่งถือว่าเป็นเจ้าของพื้นที่ แต่ในส่วนการดูแลผู้ต้องหา และพื้นที่ภายในเรือนจำชั่วคราวแขวงถนนไชยศรี จะเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่เรือนจำชั่วคราวแขวงถนนไชยศรี ร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหาร ภายหลังจากที่กรมราชทัณฑ์ ได้ส่งเจ้าหน้าที่มาอบรมให้กับทหาร เพื่อเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงานในการดูแลพื้นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเหมือนกับที่เรือนจำชั่วคราวหลักสี่
ด้านแหล่งข่าวนายทหารพัน.ร.มทบ.11 กล่าวว่า สำหรับการรักษาความปลอดภัยเรือนจำชั่วคราวแขวงถนนไชยศรีนั้น บริเวณรอบนอกจะมีเจ้าหน้าที่ทหารของ พัน.ร.มทบ.11 ทำหน้าที่ดูแลตามมาตรการปกติ ส่วนด้านในรอบพื้นที่ตัวเรือนจำชั่วคราว ทางเจ้าหน้าที่ทหารและเจ้าหน้าที่เรือนจำทำงานร่วมกันดูแลรักษาความปลอดภัย ทั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ได้นำรั้วลวดหนามเสริมความสูงต่อจากกำแพงขึ้นอีก 3 ชั้น ทำให้รั้วสูงขึ้นจากรั้วปกติ เพื่อเพิ่มความเข้มงวด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับมาตรการรักษาความปลอดภัยบริเวณด้านหน้า พัน.ร.มทบ.11 ได้มีมาตรการรักษาความปลอดภัยตามปกติ โดยมีจุดบริการประชาชนประจำจุด และมีเจ้าหน้าที่ทหารประจำการ ประมาณ 8-10 นาย ต่อผลัด เช่นเดียวกับป้อมดูแลความปลอดภัย หน้าทางเข้าพัน.ร.มทบ.11 ยังมีเจ้าหน้าที่ประจำการ ประมาณ 3-5 นายต่อผลัด และได้เพิ่มมาตรการตรวจตราบุคคลเข้า-ออกอย่างละเอียด ขณะที่ในส่วนของพื้นที่ภายในบริเวณพัน.ร.มทบ.11 มีมาตรการดูแลความปลอดภัยที่เข้มข้นมากขึ้น โดยมีการเพิ่มกำลังของเจ้าหน้าที่ทหารเป็นเท่าตัว เพื่อดูแลรักษาความปลอดภัยและเพิ่มความรอบคอบในการตรวจตราให้มากขึ้น ทั้งนี้ยังพบว่ามีเจ้าหน้าที่เรือนจำชั่วคราวแขวงถนนไชยศรี มาประจำการอยู่ที่พัน.ร.มทบ.11 จำนวนหนึ่งด้วย อย่างไรก็ตามทางเจ้าหน้าที่ทหารไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าไปทำข่าวหรือบันทึกภาพภายในพัน.ร.มทบ.11 อย่างเด็ดขาด โดยสามารถบันทึกภาพบริเวณด้านหน้าได้เท่านั้น
ทหารรับมือประกอบบึ้มขังที่ มทบ. 11
ที่เรือนจำพิเศษมีนบุรี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทหารชุดปฎิบัติการจากกองพันทหารราบมณฑลทหารบกที่ 11 นำขบวนรถคุ้มกันตัว นาย อาเดม คาราดัก หรือ นายบินลา เติร์ก มูฮัมหมัด และนาย ยูซุฟู ไมไรลี 2 ผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องกับคดีเหตุ ศาบท้าวมหาพรหมราชประสงค์ และท่าเรือสาทร ออกจากแดนคุมขัง 6 อาคาร 2 เรือนจำพิเศษมีนบุรี เพื่อไป ควบคุมตัวไว้เรือนจำชั่วคราวแขวงถนนนครไชยศรี มณฑลทหารราบที่11 ระหว่างการดำเนินคดี
โดยระหว่างปฏิบัติการเจ้าหน้าที่ ได้นำรถควบคุมผู้ต้องขังจำนวน 2 คันเข้าไปรับตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 ภายในเรือนจำ ก่อนจะขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดใดๆต่อสื่อมวลชน
ด้านนายชูชาติ กันภัย ทนายความของนายอาเดม ระบุว่า นายอาเดมยอมรับเป็นชาวตุรกี ที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยโดยผิดกฎหมาย ผ่านทางประเทศเวียดนาม และลาว ก่อนจะถึงประเทศไทย เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2558 ผ่านชายชื่อ อับดุลเลาะ อับดุลลามาน ซึ่งเป็นนายหน้าค้าแรงงาน พานายอาเดมมาพักอาศัยที่ พูลอนันต์อพาร์ทเม้น ย่านหนองจอก พร้อมจัดหาอาหารใส่ตู้เย็นไว้ให้ รวมทั้งสั่งไม่ไห้ออกจากห้องโดยเด็ดขาด จนมาถูกเจ้าหน้าที่จับกุมตัว เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2558
ทั้งนี้ นายอาเดม ปฏิเสธว่าไม่รู้เห็นหรือเกี่ยวข้องกับส่วนประกอบวัตถุระเบิด และของกลางที่เจ้าหน้าที่ค้นพบในอาคารพูลอนันต์ อพาร์ทเม้น ส่วนที่ปรากฎเป็นข่าวว่า ของกลางทั้งหมดเป็นของนายอาเดมนั้นอาจจะเกิดจากการสื่อสารที่ผิดพลาด
นายชูชาติ กล่าวอีกว่า สำหรับขบวนการเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายของนายอาเดมนั้น ได้เตรียมเงินเป็นค่าใช้จ่ายจำนวน 4,000 ดอลลาร์แบ่งเป็นค่าพาสปอร์ตปลอม 1,200 ดอลลาร์ ค่าผ่านเข้าออกประเทศไทยและลาว ครั้งละ 600 ดอลลาร์ โดยเป้าหมายเพื่อเข้าไปทำงานเป็นคนขับรถในประเทศมาเลเซีย
***ยันโยกย้ายตร.ตม.เสร็จก่อนเกษียณ
พล.ต.อ.สมยศกล่าวถึงการดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองว่า การโยกย้ายเป็นเรื่องของ ผบช.สตม. แต่เรื่องนโยบายการโยกย้ายสับเปลี่ยนหมุนเวียนนั้นไม่ใช่เเค่เรื่องระเบิดที่แยกราชประสงค์ และท่าเรือสาทรเท่านั้น แต่ประเด็นนี้มาตั้งแต่การปราบปรามขบวนการค้ามนุษย์ชาวโรฮีนจาในพื้นที่ภาคใต้แล้ว ซึ่งมีการให้ตำรวจ ตม.ที่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือบกพร่องปล่อยปละละเลยหน้าที่มาช่วยราชการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็ได้เตรียมสับเปลี่ยนโยกย้ายเจ้าหน้าที่ ตม.เหล่านั้นออกนอกพื้นที่ ทั้งนี้การย้ายเจ้าหน้าที่ระดับ ผกก.ลงไปนั้นเป็นหน้าที่ของผู้บัญชาการ ตม. ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยังไม่ได้สั่งการเกี่ยวกับเรื่องตำรวจ ตม.เป็นลายลักษณ์อักษรลงมา เพียงแต่ได้ให้สัมภาษณ์ว่าให้เข้ามาดำเนินการ แต่ต้องให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ซึ่งต้องสอบสวนตรวจสอบให้รอบคอบว่าเขามีความผิดจริงหรือไม่
“ผมก็ได้สั่งการให้ทางจเรตำรวจลงไปดำเนินการเรื่องนี้ ต้องรอว่าผลจะเป็นอย่างไร แต่ยืนยันว่าทุกอย่างจะเสร็จสิ้นภายในวันที่ 30 ก.ย.นี้ ก่อนที่ผมจะเกษียณอายุราชการแน่นอน ส่วนตำรวจ ตม. ที่จะต้องดำเนินการคงเป็นระดับที่เคยเรียกให้มาช่วยราชการก่อนหน้านี้ทั้งหมด” ผบ.ตร.กล่าว