ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -พลันที่ “บิ๊กอ๊อด” ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) หลุดปากให้สัมภาษณ์ปมบึ้มราชประสงค์โยงแก๊งค้ามนุษย์ชาวอุยกูร์ ชนิดตดยังไม่ทันหายเหม็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก็เสียงเขียวสวนกลับทันทีว่าไม่เกี่ยวข้อง สุดท้ายบิ๊กอ๊อดก็หันมาจวกสื่อเสนอข่าวคลาดเคลื่อน สร้างความมึนงงสงสัยและเบี่ยงเบนความสนใจของสังคมไปจากประเด็นสำคัญที่ว่าการติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุถึงวันนี้ยังคงคว้าน้ำเหลว ทั้งๆ ที่ตำรวจเพิ่งโชว์ผลงานลากคอขบวนการบึ้มออกสื่อเอารางวัลนำจับกันโจ่งครึ่ม
ปฏิบัติการไล่ล่าคนร้ายที่คล้ายกับงวดเข้าใกล้ขบวนการที่ก่อเหตุสะเทือนขวัญใจกลางเมืองหลวงเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา จากการให้สัมภาษณ์ของบรรดาบิ๊กตำรวจที่ผูกโยงเรื่องราวเข้าด้วยกันจนเกือบจะต่อจิ๊กซอว์สำเร็จแล้ว มาวันนี้ก็กลับกลายคล้ายกับเหมือนจะเริ่มนับหนึ่งใหม่ ไม่มีความชัดเจนอะไรไปเสียดื้อๆ ความคาดหวังว่าจะได้ตัวผู้ต้องสงสัยที่หลบหนีไปยังมาเลเซีย ซึ่งจะทำให้รูปคดีมีความชัดเจนขึ้นสุดท้ายก็เผ่นหายเข้ากลีบเมฆไปแล้ว
พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ด้านความมั่นคง (รอง ผบ.ตร.) ให้สัมภาษณ์หลังเดินทางกลับจากประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 16 กันยายนที่ผ่านมา เพื่อไปตามคดีหลังจากทางการมาเลเซียควบคุมผู้ต้องสงสัย 3 คน ซึ่งพัวพันกับขบวนการค้ามนุษย์และอาจเกี่ยวข้องกับการนำพาขบวนการวางระเบิดที่ราชประสงค์และท่าน้ำสาทร ว่าตอนแรกทางเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนของเราคิดว่าผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมได้เป็นเรื่องเดียวกับเหตุระเบิดที่ประเทศไทย เพราะจากการสืบสวนพบมีข้อมูลว่ามีส่วนนำพาผู้ก่อเหตุระเบิดหลบหนี แต่ทางการมาเลเซียไม่ยืนยันข้อมูล พอไปคุยแล้วพบว่าเป็นผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมประท้วงในมาเลเซีย โดยบุคคลทั้ง 3 เข้าไปเกี่ยวข้องในฐานะผู้สนับสนุน และเกี่ยวพันกับขบวนการลักลอบนำคนเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายของมาเลเซีย
“ตามแนวทางการสืบสวนที่เจ้าหน้าที่ทำมาตลอด 20 กว่าวันนั้น ผมเชื่อว่ามาถูกทางแล้ว ข้อมูลมันพอไปได้อยู่แล้ว พบว่าผู้ต้องหาหลบหนีเข้าไปที่นั่นเมื่อ 2 - 3 สัปดาห์ก่อน แต่หลังสื่อเสนอข่าวคนร้ายก็อาจหลบหนีไปแล้ว บางครั้งการเสนอข่าวของสื่อก็ทำให้ตำรวจหนักใจ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ โยนบาปให้สื่อหน้าตาเฉย
รอง ผบ.ตร. ด้านความมั่นคง ยังร่ายยาวว่า เมื่อสัปดาห์ที่แล้วยอมรับว่าการสืบสวนนั้นใกล้ถึงตัวคนร้ายเสื้อเหลืองแล้ว แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไป โดยชายเสื้อเหลืองมีความเชื่อมโยงกับ นายยูซุฟู ไมไรลี ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมได้ที่ จ.สระแก้ว แน่นอน ไม่เช่นนั้นตนตัดออกไปแล้ว โดยไปพักเคลื่อนไหวที่พูลอนันต์ อพาร์ตเม้นต์ และไมมูณา การ์เด้นโฮม ด้วย เรารู้ชื่อ ตรวจสอบพบว่า โดยเดินทางเข้ามาในประเทศไทยมากกว่าหนึ่งครั้งแน่นอน มีการใช้พาสปอร์ตชาวซินเจียง เดินทางเข้ามาระยะหนึ่ง แต่ขณะออกจากประเทศไทยไม่พบหลักฐานการเดินทาง 2 - 3 สัปดาห์ก่อน เราพบว่าเขาเคลื่อนไหวแนวชายแดนไทย - มาเลเซีย หนีไปมาเลเซีย แต่ตอนนี้เชื่อว่าออกจากมาเลเซียไปแล้ว ส่วนชายเสื้อฟ้า ทราบว่าชื่อ นายซูแบร์ ส่วนเสื้อเหลือง นั้นยังไม่ขอเปิดเผย และยังไม่มีการประสานกับฝ่ายสอบสวนเพื่อออกหมายจับแบบระบุชื่อ ทั้งนี้ การจะดำเนินการอยู่ที่ฝ่ายสอบสวนจะประสานกับศาล
เมื่อถามว่า ชายเสื้อเหลืองกับนายอาบูดูซาตาร์ อบูดูเระห์มาน หรือนายอิซาน ซึ่งเจ้าหน้าที่เชื่อว่าน่าจะเป็นผู้บงการ เป็นสัญชาติเดียวกันหรือไม่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า ยังไม่อยากระบุสัญชาติ “บางทีการให้ข่าวว่าอุยกูร์เร็วไปก็ไม่ดี เพราะยังไม่รู้ว่าเป็นอุยกูร์ อุยผม อุยคุณ ก็ยังไม่รู้ จะอุยกูร์ หรืออุยมึงก็ไม่รู้จริงๆ ไม่อยากให้ลงข่าวเรื่อยเปื่อย อาจเป็นอุยเอ็ง อุยข้า หรืออุ๊ยตาย ก็ไม่รู้เช่นกัน”
“สำหรับมูลเหตุการณ์ก่อเหตุนั้น ผมไม่พูดแน่นอนตราบใดที่ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัด ต่อให้เอามีดจ่อคอก็ไม่พูด” พล.ต.อ.จักรทิพย์ รูดซิปปาก
ถึงตอนนี้ หาก รอง ผบ.ตร.ด้านความมั่นคง ยังเชื่อมั่นว่า ชายเสื้อเหลืองมีความเชื่อมโยงกับ นายยูซุฟู ไมไรลี แน่นอน และมีการใช้พาสปอร์ตชาวซินเจียง แล้วเหตุใดถึงจะบอกว่าไม่รู้เกี่ยวกับอุยกูร์หรือไม่ ทั้งที่ข้อมูลก่อนหน้านี้ของฝ่ายความมั่นคง ก็ระบุว่า นายยูซุฟู มีสัญชาติจีน เชื้อชาติอุยกูร์ นับถือศาสนาอิสลาม มีที่อยู่ตามพาสปอร์ต คือ มณฑลซินเจียง ประเทศจีน และนายยูซุฟู มีความสนิทสนมกับนายอิซาน ที่เชื่อกันว่าเป็นจอมบงการใหญ่
ที่สำคัญคือรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์โกลบอลไทมส์ ระบุว่า นายยูซุฟู เป็นคนของขบวนการอีสต์ เตอร์กีสสถาน อิสลาอิก กลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่ปฏิบัติการอยู่ในมณฑลซินเจียงทางตะวันตกของจีน
ยังมีคำถามต่อว่า แล้วความคืบหน้าในการติดตามนายอิซาน จอมบงการ ไปถึงไหนแล้ว “บิ๊กอ๊อด” ตอบคำถามนี้กับผู้สื่อข่าว เมื่อวันที่ 15 กันยายนที่ผ่านมาว่า ข้อมูลที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับจากสถานทูตบังคลาเทศ ระบุว่า นายอิซาน เดินทางออกจากบังกลาเทศโดยมีจุดหมายปลายทางที่แจ้งไว้และมีหลักฐานการเดินทางไปนั่นคือ ประเทศตุรกี ขณะนี้ตำรวจไทยก็ยังไม่ทราบแน่ชัดว่านายอิซาน เดินทางไปตุรกีจริงหรือไม่ แต่ทางการตุรกี ได้ออกมาปฏิเสธแล้ว “ผมก็ไม่ทราบเช่นกัน”
“บิ๊กอ๊อด” ทำงงไม่ทราบ ขณะที่ก่อนหน้านี้ คือเมื่อวันที่ 14 กันยายนที่ผ่านมา พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วย ผบ.ตร. และโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เพิ่งแถลงเป็นเรื่องเป็นราวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับข้อมูลล่าสุดจากทางสถานเอกอัครราชทูตบังกลาเทศ แจ้งว่า นายอาบูดูซาตาเออร์ อาบูดูเรห์มาน หรือ อิซาน อายุ 27 ปี สัญชาติจีน ผู้ต้องหาตามหมายจับร่วมขบวนการระเบิดแยกราชประสงค์ และท่าเรือสาทร ได้เดินทางออกจากกรุงธากา ประเทศบังกลาเทศ เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ที่ผ่านมา ไปยังกรุงเดลี ประเทศอินเดีย โดยสายการบินเจ็ท แอร์เวย์ส จากนั้นได้เดินทางจากกรุงเดลี ต่อไปยังกรุงอาบูดาบี ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จากนั้นก็เดินทางไปยังนครอิสตันบูล ประเทศตุรกี ทั้งนี้ ทั้งหมดเป็นการเดินทางต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 30 สิงหาคม และถึงปลายทางประเทศตุรกีในวันที่ 31 สิงหาคมที่ผ่านมา และใช้หนังสือเดินทางเล่มเดียวกับที่เป็นข่าวโดยตลอด
ส่วนข้อมูลการเดินทางของนายอิซานมีจุดหมายที่ตุรกีนั้น จะมีความเกี่ยวพันกับกลุ่มเครือข่ายในตุรกีหรือไม่ พล.ต.อ.สมยศ ตอบคำถามว่า มันมีอยู่แล้ว มันมีอยู่นานแล้ว โดยเป็นลักษณะของขบวนการค้ามนุษย์หรือเคลื่อนย้ายชาวอุยกูร์จากประเทศหนึ่งไปอีกประเทศหนึ่ง และเหตุระเบิดที่แยกราชประสงค์เมื่อวันที่ 17 สิงหาคมที่ผ่านมาจนสร้างความเสียหายแก่ประเทศไทยนั้น ก็เกิดจากทางการไทยไปทำลายหรือไปขัดขวางการทำธุรกิจการค้ามนุษย์ให้ยุติลง จึงเกิดความโกรธเคืองขึ้นมา มันจึงได้สร้างปัญหาให้กับพวกเขาจนมาก่อเหตุดังกล่าว
ถามอีกว่านายอิซานเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความวุ่นวายที่สถานทูตไทยประจำประเทศตุรกี เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม ที่ผ่านมา หลังจากไม่พอใจที่ทางการไทยส่งผู้อพยพชาวอุยกูร์กลับไปประเทศจีนด้วยหรือไม่ “บิ๊กอ๊อด” ตอบว่า เขาจะเกี่ยวข้องหรือไม่ผมยังไม่ทราบ แต่เหตุระเบิดที่แยกราชประสงค์กับความรุนแรงที่เกิดขึ้นที่สถานทูตไทยประจำประเทศตุรกีนั้นมาจากสาเหตุเดียวกัน และขบวนการค้ามนุษย์นั้นมีขั้นตอนการนำคนเข้าเมืองโดยมีประเทศต้นทางและปลายทาง ซึ่งต้นทางคือประเทศไทยและปลายทางคือตุรกี เมื่อต้นทางถูกขัดขวางจึงสร้างความโกธรแค้นจึงไปลงที่ประเทศปลายทางก็คือตุรกี และสถานที่ที่สามารถแสดงออกซึ่งความโกธรแค้นได้ก็คือสถานทูตไทยที่อยู่ที่นั่น
ถ้าเช่นนั้น แสดงว่าชาวอุยกูร์ 109 คนถูกส่งไปยังจีนเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการ พล.ต.อ.สมยศ ตอบว่า ก็เป็นเรื่องที่ขบวนการค้ามนุษย์เสียประโยชน์และถูกทำลายไป โดยยืนยันว่าการส่งตัวชาวอุยกูร์ 109 คนกลับไปยังประเทศจีนนั้นรัฐบาลได้ทำไปตามกฎหมายระหว่างประเทศที่มีต่อกัน ....
“นี่คือสิ่งที่ผมพูด ผมไม่เคยพูดว่าสาเหตุเกิดจากการส่งตัวชาวอุยกูร์” บิ๊กอ๊อด ย้ำอีกครั้ง หลังจากที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 15 กันยายน ที่ทำเนียบรัฐบาล ถึงข้อสรุปสาเหตุการวางระเบิดที่แยกราชประสงค์ที่มีแนวโน้มอาจจะเกี่ยวข้องกับการส่งชาวอุยกูร์ให้แก่รัฐบาลจีนว่า “ไม่เกี่ยว ชั้นต้นนี้ยังไม่เกี่ยว คิดว่ายังไม่เกี่ยว เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นมันจะต้องมีคนออกมาแสดงความรับผิดชอบ แต่เขาก็ไม่ได้ตัดทิ้งประเด็นดังกล่าว มันก็เป็นได้ทั้ง 3 เรื่อง ทั้งอาชญากรรมธรรมดา ค้ามนุษย์ธรรมดา”
ฟังน้ำเสียงของนายกรัฐมนตรีแล้ว ออกมาในท่วงทำนองที่ว่าเหตุการณ์บึ้มราชประสงค์นั้น ไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับการส่งชาวอุยกูร์ให้จีน และไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับขบวนการค้ามนุษย์ชาวอุยกูร์ที่ฝ่ายตำรวจมีข้อมูลและหลักฐานอยู่ในมือว่ามีพวกแบ่งแยกดินแดนชาวอุยกูร์อยู่ร่วมในขบวนการด้วย ถึงจะบอกว่ายังไม่ตัดประเด็นนี้ทิ้งก็ตาม
ระหว่างที่ยังหาความชัดเจนไม่ได้แต่คดีนี้ถือเป็นคดีความมั่นคงที่สำคัญ ทางเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ จึงควบคุมตัวนายอาเดม คาราดัก อายุ 24 ปี และนายไมไรลี ยูซุฟู อายุ 26 ปี สองผู้ต้องหาคดีระเบิดที่แยกราชประสงค์ และท่าเรือสาทร จากเรือนจำพิเศษมีนบุรี ไปควบคุมตัวที่เรือนจำชั่วคราว แขวงถนนนครไชยศรี ภายในกองพันทหารราบมณฑลทหารบกที่ 11 หรือ (พัน.ร.มทบ.11) แทน
ขณะเดียวกัน นายชูชาติ กันภัย ทนายความของนายอาเดม คาราดัก หรือนายบิลา เติร์ก มูฮัมหมัด ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดมีนบุรี ในข้อหาร่วมกันมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดราชประสงค์ และท่าเรือสาทร และถูกจับกุมได้ภายในพูลอนันต์ อพาร์ต์เมนต์ ย่านหนองจอก เมื่อวันที่ 29 ส.ค.ที่ผ่านมา เดินทางเข้าเยี่ยมนายอาเดมภายหลังถูกนำตัวมาควบคุมไว้ยังเรือนจำชั่วคราวแขวงถนนนครชัยศรี พร้อมกับนายไมไรลี ยูซุฟู ผู้ต้องหาคดีนี้อีกคน
นายชูชาติ ได้แก้ต่างให้กับลูกความของเขาด้วยว่า จากการพูดคุยก่อนหน้านี้นายอาเดมยืนยันว่าตัวเองมีสัญชาติตุรกี เดินทางมาจากเมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกี เมื่อช่วงเดือนเมษายน ก่อนเดินทางไปพักที่เวียดนามและทำพาสปอร์ตปลอมโดยใช้ชื่อว่านายอาเดม คาราดัก จากนั้นเดินทางไปลาว และอาศัยอยู่ที่ลาว 35 วัน ก่อนที่นายหน้าทราบชื่อคือ นายอับดุลเลาะห์ เป็นผู้พาเข้าประเทศไทยเมื่อวันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยพาไปพักอาศัยอยู่ที่พูลอนันต์ อพาร์ทเมนต์ ย่านหนองจอก และวันที่ 24 สิงหาคม นายอับดุลเลาะห์ก็ได้มาพบนายอาเดม พร้อมระบุว่าอยู่ระหว่างดำเนินการพาไปประเทศที่ 3
และนายอาเดมยังอ้างว่าระหว่างพักอาศัยในประเทศไทยอาศัยอยู่แต่ภายในห้องพัก มีเพียงตู้เย็นและหม้อหุงข้าวเป็นสิ่งอำนวยความสะดวก จนกระทั่งถูกจับกุมในวันที่ 29 ส.ค. โดยอ้างว่าภายในห้องพักไม่มีสารประกอบระเบิด แต่ของกลางที่พบเจ้าหน้าที่ได้นำมาจากที่อื่นก่อนนำมาในห้องพักของนายอาเดมและบันทึกภาพ และยืนยันไม่มีความรู้เกี่ยวกับการประกอบระเบิดด้วย
ปฏิเสธแก้ต่างกันไปมา แต่พอสืบลึกลงไปกลับกลายเป็นว่า นายชูชาติซึ่งเป็นทนายของนายอาเดม คาราดักเคยว่าความให้กับคนเสื้อแดงหลายต่อหลายคดีด้วยกัน เช่น เป็นทนายความประจำตัวให้กับ นางพะเยาว์ อัคฮาด ในคดีการเสียชีวิตของ น.ส.กมลเกด อัคฮาด บุตรสาวซึ่งเป็นผู้เสียชีวิตจากเหตุสลายการชุมนุม 6 ศพ ในวัดปทุมวนาราม เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2553
ต่อมาในปี 2555 นายชูชาติได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว นายเอกชัย มูลเกษ จำเลยคดีครอบครองกระสุนปืน, นายสายชล แพบัว และนายพินิจ จันทร์ณรงค์ จำเลยคดีเผาศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ รายละ 1 ล้านบาท กระทั่งวันต่อมาได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว นายพศิน แสนจิตต์ ผู้ชุมนุม นปช. ผู้ต้องหาคดีลักทรัพย์ และนายสุรภัค ภูไชยแสง จำเลยคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ รายละ 1 ล้านบาท ผ่านกองทุนยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม ได้อนุมัติในการช่วยเหลือยื่นประกันกับกลุ่มผู้ต้องขัง คดีเกี่ยวกับชุมนุมทางการเมือง
ดังนั้น เรื่องนี้จึงมีข้อสงสัย โดยเฉพาะข้อสงสัยที่ว่า นายคาราดัคไปพบทนายตั้งแต่เมื่อไหร่ ใครติดต่อหาทนายให้ ใครว่าจ้างและใครจ่ายค่าทนายให้ ซึ่งทำให้ย้อนกลับไปนึกถึงสิ่งที่ พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด กระบอกเสียง คสช.แถลงในวันแรกๆ ว่า “เป็นความอาฆาตมาดร้ายของคนที่เคยกล่าวว่า เมื่อตนไม่สุข ก็อย่าหวังที่คนอื่นจะสุขได้”
และแน่นอนว่า ทำให้ทฤษฎีสมคิดระหว่างผู้เสียผลประโยชน์ชาวไทยกับพี่เบิ้มมหาอำนาจโลกที่ต้องการดิสเครดิตประเทศจีนและไม่ชอบรัฐบาลทหารไทยกลับมาดังกระหึ่มอีกครั้ง
แต่ไม่ว่าจะสับขาหลอกกันไปมาอย่างไร หลักฐานก็ประจักษ์แจ้งอยู่โทนโท่ว่าสาเหตุของการระเบิดที่สี่แยกราชประสงค์นั้นเกี่ยวข้องกับขบวนการแบ่งแยกดินแดนของชาวอุยกูร์ซึ่งไม่พอใจที่รัฐบาลส่งชาวอุยกูร์ที่หลบหนีเข้าเมืองกลับไปให้จีน ไม่ใช่แค่เรื่องการค้ามนุษย์เพราะไม่มีขบวนการค้ามนุษย์ที่ไหนในโลกที่จะปฏิบัติการตอบโต้รุนแรงถึงขั้นก่อวินาศกรรมเช่นนี้
ปฏิบัติการไล่ล่าคนร้ายที่คล้ายกับงวดเข้าใกล้ขบวนการที่ก่อเหตุสะเทือนขวัญใจกลางเมืองหลวงเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา จากการให้สัมภาษณ์ของบรรดาบิ๊กตำรวจที่ผูกโยงเรื่องราวเข้าด้วยกันจนเกือบจะต่อจิ๊กซอว์สำเร็จแล้ว มาวันนี้ก็กลับกลายคล้ายกับเหมือนจะเริ่มนับหนึ่งใหม่ ไม่มีความชัดเจนอะไรไปเสียดื้อๆ ความคาดหวังว่าจะได้ตัวผู้ต้องสงสัยที่หลบหนีไปยังมาเลเซีย ซึ่งจะทำให้รูปคดีมีความชัดเจนขึ้นสุดท้ายก็เผ่นหายเข้ากลีบเมฆไปแล้ว
พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ด้านความมั่นคง (รอง ผบ.ตร.) ให้สัมภาษณ์หลังเดินทางกลับจากประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 16 กันยายนที่ผ่านมา เพื่อไปตามคดีหลังจากทางการมาเลเซียควบคุมผู้ต้องสงสัย 3 คน ซึ่งพัวพันกับขบวนการค้ามนุษย์และอาจเกี่ยวข้องกับการนำพาขบวนการวางระเบิดที่ราชประสงค์และท่าน้ำสาทร ว่าตอนแรกทางเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนของเราคิดว่าผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมได้เป็นเรื่องเดียวกับเหตุระเบิดที่ประเทศไทย เพราะจากการสืบสวนพบมีข้อมูลว่ามีส่วนนำพาผู้ก่อเหตุระเบิดหลบหนี แต่ทางการมาเลเซียไม่ยืนยันข้อมูล พอไปคุยแล้วพบว่าเป็นผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมประท้วงในมาเลเซีย โดยบุคคลทั้ง 3 เข้าไปเกี่ยวข้องในฐานะผู้สนับสนุน และเกี่ยวพันกับขบวนการลักลอบนำคนเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายของมาเลเซีย
“ตามแนวทางการสืบสวนที่เจ้าหน้าที่ทำมาตลอด 20 กว่าวันนั้น ผมเชื่อว่ามาถูกทางแล้ว ข้อมูลมันพอไปได้อยู่แล้ว พบว่าผู้ต้องหาหลบหนีเข้าไปที่นั่นเมื่อ 2 - 3 สัปดาห์ก่อน แต่หลังสื่อเสนอข่าวคนร้ายก็อาจหลบหนีไปแล้ว บางครั้งการเสนอข่าวของสื่อก็ทำให้ตำรวจหนักใจ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ โยนบาปให้สื่อหน้าตาเฉย
รอง ผบ.ตร. ด้านความมั่นคง ยังร่ายยาวว่า เมื่อสัปดาห์ที่แล้วยอมรับว่าการสืบสวนนั้นใกล้ถึงตัวคนร้ายเสื้อเหลืองแล้ว แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไป โดยชายเสื้อเหลืองมีความเชื่อมโยงกับ นายยูซุฟู ไมไรลี ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมได้ที่ จ.สระแก้ว แน่นอน ไม่เช่นนั้นตนตัดออกไปแล้ว โดยไปพักเคลื่อนไหวที่พูลอนันต์ อพาร์ตเม้นต์ และไมมูณา การ์เด้นโฮม ด้วย เรารู้ชื่อ ตรวจสอบพบว่า โดยเดินทางเข้ามาในประเทศไทยมากกว่าหนึ่งครั้งแน่นอน มีการใช้พาสปอร์ตชาวซินเจียง เดินทางเข้ามาระยะหนึ่ง แต่ขณะออกจากประเทศไทยไม่พบหลักฐานการเดินทาง 2 - 3 สัปดาห์ก่อน เราพบว่าเขาเคลื่อนไหวแนวชายแดนไทย - มาเลเซีย หนีไปมาเลเซีย แต่ตอนนี้เชื่อว่าออกจากมาเลเซียไปแล้ว ส่วนชายเสื้อฟ้า ทราบว่าชื่อ นายซูแบร์ ส่วนเสื้อเหลือง นั้นยังไม่ขอเปิดเผย และยังไม่มีการประสานกับฝ่ายสอบสวนเพื่อออกหมายจับแบบระบุชื่อ ทั้งนี้ การจะดำเนินการอยู่ที่ฝ่ายสอบสวนจะประสานกับศาล
เมื่อถามว่า ชายเสื้อเหลืองกับนายอาบูดูซาตาร์ อบูดูเระห์มาน หรือนายอิซาน ซึ่งเจ้าหน้าที่เชื่อว่าน่าจะเป็นผู้บงการ เป็นสัญชาติเดียวกันหรือไม่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า ยังไม่อยากระบุสัญชาติ “บางทีการให้ข่าวว่าอุยกูร์เร็วไปก็ไม่ดี เพราะยังไม่รู้ว่าเป็นอุยกูร์ อุยผม อุยคุณ ก็ยังไม่รู้ จะอุยกูร์ หรืออุยมึงก็ไม่รู้จริงๆ ไม่อยากให้ลงข่าวเรื่อยเปื่อย อาจเป็นอุยเอ็ง อุยข้า หรืออุ๊ยตาย ก็ไม่รู้เช่นกัน”
“สำหรับมูลเหตุการณ์ก่อเหตุนั้น ผมไม่พูดแน่นอนตราบใดที่ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัด ต่อให้เอามีดจ่อคอก็ไม่พูด” พล.ต.อ.จักรทิพย์ รูดซิปปาก
ถึงตอนนี้ หาก รอง ผบ.ตร.ด้านความมั่นคง ยังเชื่อมั่นว่า ชายเสื้อเหลืองมีความเชื่อมโยงกับ นายยูซุฟู ไมไรลี แน่นอน และมีการใช้พาสปอร์ตชาวซินเจียง แล้วเหตุใดถึงจะบอกว่าไม่รู้เกี่ยวกับอุยกูร์หรือไม่ ทั้งที่ข้อมูลก่อนหน้านี้ของฝ่ายความมั่นคง ก็ระบุว่า นายยูซุฟู มีสัญชาติจีน เชื้อชาติอุยกูร์ นับถือศาสนาอิสลาม มีที่อยู่ตามพาสปอร์ต คือ มณฑลซินเจียง ประเทศจีน และนายยูซุฟู มีความสนิทสนมกับนายอิซาน ที่เชื่อกันว่าเป็นจอมบงการใหญ่
ที่สำคัญคือรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์โกลบอลไทมส์ ระบุว่า นายยูซุฟู เป็นคนของขบวนการอีสต์ เตอร์กีสสถาน อิสลาอิก กลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่ปฏิบัติการอยู่ในมณฑลซินเจียงทางตะวันตกของจีน
ยังมีคำถามต่อว่า แล้วความคืบหน้าในการติดตามนายอิซาน จอมบงการ ไปถึงไหนแล้ว “บิ๊กอ๊อด” ตอบคำถามนี้กับผู้สื่อข่าว เมื่อวันที่ 15 กันยายนที่ผ่านมาว่า ข้อมูลที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับจากสถานทูตบังคลาเทศ ระบุว่า นายอิซาน เดินทางออกจากบังกลาเทศโดยมีจุดหมายปลายทางที่แจ้งไว้และมีหลักฐานการเดินทางไปนั่นคือ ประเทศตุรกี ขณะนี้ตำรวจไทยก็ยังไม่ทราบแน่ชัดว่านายอิซาน เดินทางไปตุรกีจริงหรือไม่ แต่ทางการตุรกี ได้ออกมาปฏิเสธแล้ว “ผมก็ไม่ทราบเช่นกัน”
“บิ๊กอ๊อด” ทำงงไม่ทราบ ขณะที่ก่อนหน้านี้ คือเมื่อวันที่ 14 กันยายนที่ผ่านมา พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วย ผบ.ตร. และโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เพิ่งแถลงเป็นเรื่องเป็นราวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับข้อมูลล่าสุดจากทางสถานเอกอัครราชทูตบังกลาเทศ แจ้งว่า นายอาบูดูซาตาเออร์ อาบูดูเรห์มาน หรือ อิซาน อายุ 27 ปี สัญชาติจีน ผู้ต้องหาตามหมายจับร่วมขบวนการระเบิดแยกราชประสงค์ และท่าเรือสาทร ได้เดินทางออกจากกรุงธากา ประเทศบังกลาเทศ เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ที่ผ่านมา ไปยังกรุงเดลี ประเทศอินเดีย โดยสายการบินเจ็ท แอร์เวย์ส จากนั้นได้เดินทางจากกรุงเดลี ต่อไปยังกรุงอาบูดาบี ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จากนั้นก็เดินทางไปยังนครอิสตันบูล ประเทศตุรกี ทั้งนี้ ทั้งหมดเป็นการเดินทางต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 30 สิงหาคม และถึงปลายทางประเทศตุรกีในวันที่ 31 สิงหาคมที่ผ่านมา และใช้หนังสือเดินทางเล่มเดียวกับที่เป็นข่าวโดยตลอด
ส่วนข้อมูลการเดินทางของนายอิซานมีจุดหมายที่ตุรกีนั้น จะมีความเกี่ยวพันกับกลุ่มเครือข่ายในตุรกีหรือไม่ พล.ต.อ.สมยศ ตอบคำถามว่า มันมีอยู่แล้ว มันมีอยู่นานแล้ว โดยเป็นลักษณะของขบวนการค้ามนุษย์หรือเคลื่อนย้ายชาวอุยกูร์จากประเทศหนึ่งไปอีกประเทศหนึ่ง และเหตุระเบิดที่แยกราชประสงค์เมื่อวันที่ 17 สิงหาคมที่ผ่านมาจนสร้างความเสียหายแก่ประเทศไทยนั้น ก็เกิดจากทางการไทยไปทำลายหรือไปขัดขวางการทำธุรกิจการค้ามนุษย์ให้ยุติลง จึงเกิดความโกรธเคืองขึ้นมา มันจึงได้สร้างปัญหาให้กับพวกเขาจนมาก่อเหตุดังกล่าว
ถามอีกว่านายอิซานเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความวุ่นวายที่สถานทูตไทยประจำประเทศตุรกี เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม ที่ผ่านมา หลังจากไม่พอใจที่ทางการไทยส่งผู้อพยพชาวอุยกูร์กลับไปประเทศจีนด้วยหรือไม่ “บิ๊กอ๊อด” ตอบว่า เขาจะเกี่ยวข้องหรือไม่ผมยังไม่ทราบ แต่เหตุระเบิดที่แยกราชประสงค์กับความรุนแรงที่เกิดขึ้นที่สถานทูตไทยประจำประเทศตุรกีนั้นมาจากสาเหตุเดียวกัน และขบวนการค้ามนุษย์นั้นมีขั้นตอนการนำคนเข้าเมืองโดยมีประเทศต้นทางและปลายทาง ซึ่งต้นทางคือประเทศไทยและปลายทางคือตุรกี เมื่อต้นทางถูกขัดขวางจึงสร้างความโกธรแค้นจึงไปลงที่ประเทศปลายทางก็คือตุรกี และสถานที่ที่สามารถแสดงออกซึ่งความโกธรแค้นได้ก็คือสถานทูตไทยที่อยู่ที่นั่น
ถ้าเช่นนั้น แสดงว่าชาวอุยกูร์ 109 คนถูกส่งไปยังจีนเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการ พล.ต.อ.สมยศ ตอบว่า ก็เป็นเรื่องที่ขบวนการค้ามนุษย์เสียประโยชน์และถูกทำลายไป โดยยืนยันว่าการส่งตัวชาวอุยกูร์ 109 คนกลับไปยังประเทศจีนนั้นรัฐบาลได้ทำไปตามกฎหมายระหว่างประเทศที่มีต่อกัน ....
“นี่คือสิ่งที่ผมพูด ผมไม่เคยพูดว่าสาเหตุเกิดจากการส่งตัวชาวอุยกูร์” บิ๊กอ๊อด ย้ำอีกครั้ง หลังจากที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 15 กันยายน ที่ทำเนียบรัฐบาล ถึงข้อสรุปสาเหตุการวางระเบิดที่แยกราชประสงค์ที่มีแนวโน้มอาจจะเกี่ยวข้องกับการส่งชาวอุยกูร์ให้แก่รัฐบาลจีนว่า “ไม่เกี่ยว ชั้นต้นนี้ยังไม่เกี่ยว คิดว่ายังไม่เกี่ยว เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นมันจะต้องมีคนออกมาแสดงความรับผิดชอบ แต่เขาก็ไม่ได้ตัดทิ้งประเด็นดังกล่าว มันก็เป็นได้ทั้ง 3 เรื่อง ทั้งอาชญากรรมธรรมดา ค้ามนุษย์ธรรมดา”
ฟังน้ำเสียงของนายกรัฐมนตรีแล้ว ออกมาในท่วงทำนองที่ว่าเหตุการณ์บึ้มราชประสงค์นั้น ไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับการส่งชาวอุยกูร์ให้จีน และไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับขบวนการค้ามนุษย์ชาวอุยกูร์ที่ฝ่ายตำรวจมีข้อมูลและหลักฐานอยู่ในมือว่ามีพวกแบ่งแยกดินแดนชาวอุยกูร์อยู่ร่วมในขบวนการด้วย ถึงจะบอกว่ายังไม่ตัดประเด็นนี้ทิ้งก็ตาม
ระหว่างที่ยังหาความชัดเจนไม่ได้แต่คดีนี้ถือเป็นคดีความมั่นคงที่สำคัญ ทางเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ จึงควบคุมตัวนายอาเดม คาราดัก อายุ 24 ปี และนายไมไรลี ยูซุฟู อายุ 26 ปี สองผู้ต้องหาคดีระเบิดที่แยกราชประสงค์ และท่าเรือสาทร จากเรือนจำพิเศษมีนบุรี ไปควบคุมตัวที่เรือนจำชั่วคราว แขวงถนนนครไชยศรี ภายในกองพันทหารราบมณฑลทหารบกที่ 11 หรือ (พัน.ร.มทบ.11) แทน
ขณะเดียวกัน นายชูชาติ กันภัย ทนายความของนายอาเดม คาราดัก หรือนายบิลา เติร์ก มูฮัมหมัด ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดมีนบุรี ในข้อหาร่วมกันมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดราชประสงค์ และท่าเรือสาทร และถูกจับกุมได้ภายในพูลอนันต์ อพาร์ต์เมนต์ ย่านหนองจอก เมื่อวันที่ 29 ส.ค.ที่ผ่านมา เดินทางเข้าเยี่ยมนายอาเดมภายหลังถูกนำตัวมาควบคุมไว้ยังเรือนจำชั่วคราวแขวงถนนนครชัยศรี พร้อมกับนายไมไรลี ยูซุฟู ผู้ต้องหาคดีนี้อีกคน
นายชูชาติ ได้แก้ต่างให้กับลูกความของเขาด้วยว่า จากการพูดคุยก่อนหน้านี้นายอาเดมยืนยันว่าตัวเองมีสัญชาติตุรกี เดินทางมาจากเมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกี เมื่อช่วงเดือนเมษายน ก่อนเดินทางไปพักที่เวียดนามและทำพาสปอร์ตปลอมโดยใช้ชื่อว่านายอาเดม คาราดัก จากนั้นเดินทางไปลาว และอาศัยอยู่ที่ลาว 35 วัน ก่อนที่นายหน้าทราบชื่อคือ นายอับดุลเลาะห์ เป็นผู้พาเข้าประเทศไทยเมื่อวันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยพาไปพักอาศัยอยู่ที่พูลอนันต์ อพาร์ทเมนต์ ย่านหนองจอก และวันที่ 24 สิงหาคม นายอับดุลเลาะห์ก็ได้มาพบนายอาเดม พร้อมระบุว่าอยู่ระหว่างดำเนินการพาไปประเทศที่ 3
และนายอาเดมยังอ้างว่าระหว่างพักอาศัยในประเทศไทยอาศัยอยู่แต่ภายในห้องพัก มีเพียงตู้เย็นและหม้อหุงข้าวเป็นสิ่งอำนวยความสะดวก จนกระทั่งถูกจับกุมในวันที่ 29 ส.ค. โดยอ้างว่าภายในห้องพักไม่มีสารประกอบระเบิด แต่ของกลางที่พบเจ้าหน้าที่ได้นำมาจากที่อื่นก่อนนำมาในห้องพักของนายอาเดมและบันทึกภาพ และยืนยันไม่มีความรู้เกี่ยวกับการประกอบระเบิดด้วย
ปฏิเสธแก้ต่างกันไปมา แต่พอสืบลึกลงไปกลับกลายเป็นว่า นายชูชาติซึ่งเป็นทนายของนายอาเดม คาราดักเคยว่าความให้กับคนเสื้อแดงหลายต่อหลายคดีด้วยกัน เช่น เป็นทนายความประจำตัวให้กับ นางพะเยาว์ อัคฮาด ในคดีการเสียชีวิตของ น.ส.กมลเกด อัคฮาด บุตรสาวซึ่งเป็นผู้เสียชีวิตจากเหตุสลายการชุมนุม 6 ศพ ในวัดปทุมวนาราม เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2553
ต่อมาในปี 2555 นายชูชาติได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว นายเอกชัย มูลเกษ จำเลยคดีครอบครองกระสุนปืน, นายสายชล แพบัว และนายพินิจ จันทร์ณรงค์ จำเลยคดีเผาศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ รายละ 1 ล้านบาท กระทั่งวันต่อมาได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว นายพศิน แสนจิตต์ ผู้ชุมนุม นปช. ผู้ต้องหาคดีลักทรัพย์ และนายสุรภัค ภูไชยแสง จำเลยคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ รายละ 1 ล้านบาท ผ่านกองทุนยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม ได้อนุมัติในการช่วยเหลือยื่นประกันกับกลุ่มผู้ต้องขัง คดีเกี่ยวกับชุมนุมทางการเมือง
ดังนั้น เรื่องนี้จึงมีข้อสงสัย โดยเฉพาะข้อสงสัยที่ว่า นายคาราดัคไปพบทนายตั้งแต่เมื่อไหร่ ใครติดต่อหาทนายให้ ใครว่าจ้างและใครจ่ายค่าทนายให้ ซึ่งทำให้ย้อนกลับไปนึกถึงสิ่งที่ พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด กระบอกเสียง คสช.แถลงในวันแรกๆ ว่า “เป็นความอาฆาตมาดร้ายของคนที่เคยกล่าวว่า เมื่อตนไม่สุข ก็อย่าหวังที่คนอื่นจะสุขได้”
และแน่นอนว่า ทำให้ทฤษฎีสมคิดระหว่างผู้เสียผลประโยชน์ชาวไทยกับพี่เบิ้มมหาอำนาจโลกที่ต้องการดิสเครดิตประเทศจีนและไม่ชอบรัฐบาลทหารไทยกลับมาดังกระหึ่มอีกครั้ง
แต่ไม่ว่าจะสับขาหลอกกันไปมาอย่างไร หลักฐานก็ประจักษ์แจ้งอยู่โทนโท่ว่าสาเหตุของการระเบิดที่สี่แยกราชประสงค์นั้นเกี่ยวข้องกับขบวนการแบ่งแยกดินแดนของชาวอุยกูร์ซึ่งไม่พอใจที่รัฐบาลส่งชาวอุยกูร์ที่หลบหนีเข้าเมืองกลับไปให้จีน ไม่ใช่แค่เรื่องการค้ามนุษย์เพราะไม่มีขบวนการค้ามนุษย์ที่ไหนในโลกที่จะปฏิบัติการตอบโต้รุนแรงถึงขั้นก่อวินาศกรรมเช่นนี้