ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - นับจากวันที่เกิดวินาศกรรม 17 สิงหาคม 2558 ที่แยกราชประสงค์ กระทั่งถึงบัดนี้ ต้องบอกว่า แม้รัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) ยังไม่ยอมสรุปว่า ปมเหตุและต้นตอของปัญหาของเรื่องราวทั้งหมดคืออะไร ทั้งๆ ที่รู้เต็มอกว่ามาจากกรณี “อุยกูร์” และ “เป็นการก่อการร้าย” แต่ก็ถือว่า มีความคืบหน้าไปมากแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจับผู้ต้องหาคนสำคัญคือ “นายไมไรลี ยูซุฟู” ที่ชายแดนจังหวัดสระแก้ว เพราะสามารถต่อจิ๊กซอว์ขบวนการก่อวินาศกรรมได้เป็นรูปเป็นร่างว่ามีทั้งชาวอุยกูร์และชาวไทยนอกเหนือจาก “น.ส.วรรณา” หรือ “ไมซาเราะห์” ร่วมด้วย
การจับกุมนายยูซุฟูทำให้เห็นว่า การก่อวินาศกรรมที่ศาลท้าวมหาพรหม เอราวัณ ทำเป็นขบวนการ ซึ่ง พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติให้ข้อมูลชัดเจนว่า “ขบวนการนี้มีเป็น 10 ในกลุ่มบางคนรู้จักกัน แต่บางคนไม่รู้จักกันเลย วิธีการค่อนข้างจะลึกลับซับซ้อน มีการส่งข้อความผ่านโซเชียลมีเดีย”
ทั้งนี้ โดยมี นายอาบูดูซาตาร์ อบูดูเระห์มาน หรือที่รู้จักกันในชื่อ “อิซาน” เป็นจอมบงการใหญ่
“จากการซักถามผู้ต้องหาในขบวนการนี้ทราบว่านายอาบูดูซาตาร์ อบูดูเระห์มาน หรืออิซาน เป็นระดับหัวหน้าขบวนการที่เชื่อว่าใหญ่สุดในการก่อเหตุระเบิด ตำรวจกำลังตามแกะรอยเบาะแสหลังมีข่าวว่าหลบหนีออกประเทศไปแล้ว โดยจะให้ตำรวจสากลประสานไปที่ประเทศบังกลาเทศหลังมีข่าวว่านายอิซานเดินทางไปจริง”พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ด้านความมั่นคง ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีระเบิดศาลท้าวมหาพรหม แยกราชประสงค์ และท่าน้ำสาทร เปิดเผยข้อมูล
และหากยังจำกันได้นายยูซูฟูพักอาศัยอยู่ในห้องเช่าเดียวกันกับ “นายอาเดม คาราดัค” หรือ “นายบิลาเติร์ก มูฮัมหมัด” ผู้ต้องต้องที่ถูกจับกุมได้เป็นรายแรกที่ห้องเช่าย่านหนองจอก กรุงเทพฯ
กล่าวสำหรับผู้ต้องหาคนสำคัญคือนายยูซุฟูนั้น จากการตรวจสอบข้อมูลของฝ่ายความมั่นคงพบว่า มีประวัติที่ไม่ธรรมดา โดยนายยูซุฟูเกิดเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2532 มีสัญชาติจีน เชื้อชาติอุยกูร์ นับถือศาสนาอิสลามและมีที่อยู่ตามพาสปอร์ตคือ มณฑลซินเจียง ประเทศจีน
นายยูซุฟูเคยเรียนมหาวิทยาลัยที่มณฑลซินเจียงในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์การแพทย์ ใช้เวลาศึกษา 6 ปี แต่เรียนไม่จบ จากนั้นในปี 2556 ได้เดินทางออกจากซินเจียงไปยังกว่างโจว และต่อไปยังมาเลเซียในที่สุด
ที่น่าสนใจคือ นายยูซุฟูเคยทำน้ำหอมและสบู่ขายในมณฑลซินเจียง และ เคยขายโทรศัพท์มือถือยู่ที่ย่านรามคำแห่งเป็นเวลานานถึง 6 เดือน
และแน่นอนว่า นายยูซุฟูมีความสนิทสนมกับนายอิซาน ซึ่งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังขบวนการระเบิดที่สี่แยกราชประสงค์
แต่ที่ต้องขีดเส้นใต้เอาไว้ก็คือ หนังสือพิมพ์เดอะโกลบอลไทมส์รายงานอีกว่า นายยูซุฟูเป็นคนของกลุ่มขบวนการอีสต์ เติร์กสถาน อิสลาอิก กลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่ปฏิบัติการอยู่ในมณฑลซินเจียงทางตะวันตกของจีน
จากการสืบสวนสอบสวน นายยูซุฟูให้การรับสารภาพว่าร่วมขบวนการก่อเหตุระเบิด โดยพักอาศัยอยู่ที่มูไมณาการ์เด้นโฮม ย่านมีนบุรี และก่อนเกิดเหตุที่ศาลพระพรหมได้เดินทางไปที่พูลอนันต์อพาร์ทเมนท์ย่านหนองจอกเพื่อเอากระเป๋าเป้สีดำ จากนั้นนั่งรถแท็กซี่มาเพียงคนเดียว ทว่า นายยูซูฟูปฏิเสธว่าไม่มีส่วนรู้เห็นในการประกอบระเบิด กดรีโมตระเบิด รวมทั้งไม่ทราบว่าของในกระเป๋าเป็นระเบิดแสวงเครื่องที่นำมาใช้ก่อเหตุ โดยนำกระเป๋ามาส่งให้ชายเสื้อเหลืองและชายเสื้อฟ้าที่หย่อนระเบิดทิ้งบริเวณท่าน้ำสาทร
นอกจากนั้น มีรายงานด้วยว่า นายยูซุฟูให้การว่า นายอิซานเข้าออกประเทศไทยหลายครั้ง โดยเป็นคนให้จัดการเปิดบริษัทจำหน่ายเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์และขายโทรศัพท์มือถือที่โรงแรมแห่งหนึ่งย่านสุรวงศ์ไว้บังหน้าเพื่อยืดอายุวีซ่า แต่ไม่ได้มีการทำกิจการแต่อย่างใด รวมทั้งรู้จักมักคุ้นเป็นอย่างดีกับขบวนการปลอมพาสปอร์ตในประเทศไทย
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่เชื่อว่า นายอิซานน่าจะเป็นผู้บงการวางแผน จัดส่งกำลังบำรุงและหาสถานที่พักก่อนลงมือก่อเหตุวางระเบิด จากนั้นวันที่ 16 สิงหาคม ก่อนเกิดเหตุระเบิด 1 วัน นายอิซานก็หลบหนีออกนอกประเทศโดยเที่ยวบินบีจี 00789 ปลายทางประเทศบังคลาเทศ
ขณะเดียวกันก็มีรายงานว่า ฝ่ายสืบสวนทราบชื่อ “ชายเสื้อฟ้า” ที่ถูกออกหมายจับในฐานะเป็นมือนำระเบิดไปทิ้งที่ท่าเรือสาทรแล้วคือ “นายซูแบร์” ซึ่งมีสัญชาติจีนเช่นกัน
เมื่อเห็นภาพรวมของเหตุการณ์และสามารถเชื่อมโยงปะติดปะต่อ “ผู้ต้องหา” ได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทีนี้ก็เหลือเพียงแค่ว่า จะสามารถลากคอผู้ร่วมขบวนการระเบิดราชประสงค์-สาทรมาดำเนินคดีได้หรือไม่ และเมื่อไหร่จะยอมรับว่า สาเหตุของการวินาศกรรมครั้งนี้คืออะไร
อีกไม่ช้าไม่นานคงรู้กัน