ASTV ผู้จัดการ - ผบ.ตร.ติงสื่อเสนอข่าวคลาดเคลื่อน ยันไม่เคยพูดเหตุบึ้มราชประสงค์มาจากกรณีส่ง 109 อุยกูร์กลับจีน แต่เกิดจากทางการไปทำลายเครือข่ายค้ามนุษย์ชาวอุยกูร์ที่ถูกทางการไทยทำลาย ย้ำกรณีส่งอุยกูร์กลับจีน รัฐบาลไทยทำถูกต้องตามหลักสากลแล้ว ส่วนกรณีส่ง “จักรทิพย์” ไปมาเลเซีย เพียงขอข้อมูล ไม่ใช่การขอตัวผู้ต้องสงสัย
วันนี้ (16 ก.ย.)ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ตร.) กล่าวถึงกรณีสื่อมวลชนเสนอข่าวเกี่ยวกับว่า ขอตำหนิการเสนอข่าวของสื่อมวลชนที่ระบุว่าเหตุระเบิดแยกราชประสงค์เกิดจากการส่งผู้อพยพชาวอุยกูร์ 109 คนไปยังประเทศจีน ตนให้สัมภาษณ์ว่ากรณีเหตุระเบิดที่แยกราชประสงค์นั้นสาเหตุเกิดจากที่ทางการไทยไปทำลายเครือข่ายหรือขบวนการค้ามนุษย์ชาวอุยกูร์ ส่วนนี้คือเนื้อหาสาระที่ตนให้สัมภาษณ์ ตนไม่เคยให้สัมภาษณ์ว่าเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นนั้นมีสาเหตุจากการที่รัฐบาลไทยส่งชาวอุยกูร์ 109 คนกลับไปยังประเทศจีน
“ให้สัมภาษณ์ว่าการกระทำของรัฐบาลไทย หรือการปฏิบัติของรัฐบาลไทยนั้นทำถูกต้องตามกฎหมาย หรือหลักสากลแล้ว เมื่อมีการพิสูจน์ทราบสัญชาติชาวอุยกูร์เป็นเชื้อชาติใดสัญชาติใดก็ส่งไปยังประเทศนั้น ถ้าเป็นชาวจีนก็ส่งไปประเทศจีน เป็นชาวตุรกีก็ส่งไปที่ประเทศตุรกี มีการส่งไปทั้งประเทศตุรกีและประเทศจีน เพราะฉะนั้นการปฏิบัติของรัฐบาลไทยหรือการกระทำของรัฐบาลไทยนั้นทำตามหลักกฎหมายสากล เป็นไปตามกฎหมายหรือสนธิสัญญาที่แต่ละประเทศมีต่อกัน ไม่ใช่เกิดจากการที่ผมให้สัมภาษณ์ว่าเป็นการส่งชาวอุยกูร์ 109 คนไปประเทศจีน ผมบอกว่าเหตุระเบิดที่แยกราชประสงค์เป็นสาเหตุอันสืบเนื่องมาจากการที่ทางการไทยหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจไทย หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลของประเทศไทย ได้ไปทำลายเครือข่ายโครงสร้างขบวนการการค้ามนุษย์ชาวอุยกูร์ที่มีมาอย่างยาวนานให้หมดสิ้นไป เขาจึงเกิดความโกรธแค้นที่ธุรกิจหรือสิ่งที่เขาทำผิดกฎหมายนั้นจะต้องถูกยุติลง หรือไม่สามารถทำต่อไปได้ส่วน นี่คือสิ่งที่ผมให้สัมภาษณ์” พล.ต.อ.สมยศกล่าว
พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า ส่วนกรณีการเดินทางไปยังประเทศมาเลเซียของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร.รับผิดชอบงานด้านความมั่นคง และคณะ เป็นการเดินทางเพื่อไปประสานงานหรือขอข้อมูล แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร เพื่อที่เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลไทยหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยทำงานร่วมกันกับเจ้าหน้าที่ของมาเลเซีย ไม่ใช่เดินทางไปขอตัวผู้ต้องหา เพราะยังไม่รู้เลยว่ารัฐบาลมาเลเซียเขาจับกุมผู้ต้องหาหรือกลุ่มบุคคลผู้ต้องสงสัยในข้อหาอะไร ในเบื้องต้นสันนิษฐานว่าบุคคลทั้ง 3 คนนั้นเป็นเพียงผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องหรืออยู่ในขบวนการค้ามนุษย์ชาวอุยกูร์เท่านั้น ในส่วนนี้คือสิ่งที่อยากจะชี้แจง อยากจะบอกสื่อมวลชนด้วยว่าช่วยเสนอข่าวให้ตรงกับที่ตนพูดด้วย
พล.ต.อ.สมยศกล่าวถึงกรณีที่สถานเอกอัครราชทูตตุรกียืนยันว่านายอิซาน ผู้ต้องหาในคดีระเบิด ไม่ได้เดินทางไปยังตุรกี ซึ่งขัดแย้งกับข้อมูลของตำรวจไทยที่ให้ข่าวกับสื่อมวลชนว่า เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวน ถ้าหลักฐานออกมาปรากฏว่าได้เดินทางออกจากประเทศไทยแล้วไปต่อที่ประเทศไหนเราก็ต้องขอความร่วมมือจากประเทศปลายทางประเทศแรกจากประเทศไทย เช่น ประเทศบังกลาเทศ บอกว่าเดินทางออกจากบังกลาเทศไปแล้ว ไปที่ประเทศตุรกี แต่ทางประเทศตุรกีปฏิเสธ ส่วนนี้ก็เป็นเรื่องที่เราจะทำอะไรได้เมื่อเขาออกมาปฏิเสธ ทั้งนี้อีกประเทศก็บอกว่าออกจากประเทศเขาไปแล้ว ปลายทางที่ผู้ต้องสงสัยกรอกข้อมูลแจ้งไว้คือจะเดินทางไปที่ประเทศตุรกี แต่ก็อย่าเชื่อใจการกรอกข้อมูลในเอกสารต่างๆ คนที่ทำผิดมักจะไม่กรอกตรงตามข้อเท็จจริง
ผู้สื่อข่าวถามว่าเบื้องต้นผู้ต้องสงสัยที่ทางมาเลเซียควบคุมตัวได้มีความชัดเจนหรือไม่ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิด พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า เบื้องต้นยังไม่ทราบ เพราะเมื่อสักครู่ที่ผ่านมาตนได้โทรศัพท์ติดต่อกับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ที่เพิ่งได้เข้าพบหรือกำลังรอเข้าพบผู้ใหญ่ทางมาเลเซียอยู่ เพราะฉะนั้นเบื้องต้นขณะนี้ยังไม่ทราบอะไร ขณะนี้อยู่ระหว่างพบปะพูดคุยหารือและแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ไม่ใช่เดินทางไปขอตัวผู้ต้องสงสัยทั้ง 3 คน เพราะเวลานี้เรายังไม่รู้เลยว่าผู้ต้องสงสัยถูกควบคุมในข้อหาอะไร และจะไปขอเขาได้อย่างไร เร็วเกินไปหรือเปล่าที่จะเสนอข่าวในลักษณะนี้
เมื่อถามว่าจากการสอบสวนเบื้องต้นหรือข้อมูลที่มีอยู่ มีปัจจัยอะไรที่บอกว่าการส่งตัวกลับ 109 คน เชื่อมโยงกับเหตุระเบิด พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า สิ่งที่รัฐบาลไทยปฎิบัติตามกฎหมายสากลหรือสนธิสัญญาระหว่างประเทศส่งคนกลับภูมิลำเนากลับถิ่นฐาน เมื่อมีการพิสูจน์ทราบว่าชาวอุยกูร์คนใดเป็นชาวจีนและสัญชาติจีนก็ส่งกลับไปประเทศจีน เป็นชาวตุรกีก็ส่งกลับประเทศตุรกี เพราะฉะนั้นไม่เกี่ยวกับเรื่องระเบิด เรื่องระเบิดเป็นเหตุหรือสาเหตุเกิดจากที่เจ้าหน้าที่ไทยไปทำลายโครงสร้างเครือข่ายขบวนการค้ามนุษย์ นี่คือสิ่งที่ตนพูด ไม่เคยพูดว่าสาเหตุเกิดจากการส่งตัวชาวอุยกูร์
เมื่อถามว่าแต่การที่สถานทูตบังกลาเทศมาเข้าพบมีการนำหลักฐานการเดินทางของผู้ต้องหาไปยังประเทศปลายทาง ผบ.ตร.กล่าวว่า ตนไม่ทราบรายละเอียดในตรงนั้น ทูตบังกลาเทศได้มาชี้แจงว่าเดินทางไปบังกลาเทศจริง และเดินทางออกไปแล้ว โดยมีปลายทางคือประเทศตุรกี ซึ่งทางประเทศตุรกีออกมาปฏิเสธก็ได้ เพราะการเข้าประเทศตุรกีไม่ได้เข้าออกเพียงช่องทางเดียว สามารถเข้าออกได้หลายทาง เพราะฉะนั้นอาจจะเข้าช่องทางที่ไม่ปรากฏหลักฐานการเดินทางเข้าออกจนทำให้รัฐบาลตุรกีไม่สามารถตรวจสอบได้ และไม่มีหลักฐานที่สามารถยืนยันได้ว่าผู้ต้องหาได้เดินทางเข้าประเทศตุรกีไป ก็เป็นสิ่งที่ทางประเทศตุรกีต้องชี้แจงว่าไม่มีหลักฐานปรากฏ ก็เป็นสิ่งที่ชอบธรรม ส่วนทาง ตร.จะมีการทำหนังสือเชิญและประสานไปยังสถานทูตต่างๆ หรือไม่นั้นเป็นเรื่องของพนักงานสอบสวน